ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ - ตอนที่ 2132 ซวนอู่ ปี้ฟาง
ยาลูกกลอนเหล่านี้มาจากนักปรุงยาคนอื่นที่ขึ้นพิชิตหอโอสถว่านฉง เพราะในตอนแรกนั้นมีคนมากมายที่นำหน้ามู่เฉียนซีไป จึงทำให้ได้รับสมบัติเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
หากเป็นงานประมูลเหมือนรอบก่อนหน้านี้ เมื่อยาลูกกลอนเหล่านี้ถูกเสนอออกมามันก็จะทำให้คนเริ่มแย่งชิงกันทันที แต่เนื่องจากคราวนี้มีมู่เฉินซีที่ทำลายสถิติผู้นั้นอยู่ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่ามันทำให้ผู้เข้าร่วมการประมูลในคราวนี้มีความสนใจต่อสิ่งของเหล่านี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เหตุใดถึงยังไม่มียาลูกกลอนที่ปรมาจารย์มู่ส่งมาประมูลเสียทีเล่า!”
“นี่ก็ผ่านมาหลายรอบแล้ว! เร็วหน่อยสิ เป้าหมายที่ข้ามาในวันนี้ คือยาลูกกลอนที่ท่านมู่ได้มาเป็นรางวัลมาจากชั้นที่หนึ่งพันนั้นต่างหากล่ะ”
“ข้าก็ด้วย…”
สิ่งนี้ทำให้นักปรุงยาอัจฉริยะคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกผิดหวังเป็นอย่างมาก หากอีกฝ่ายมีความสามารถสูงกว่าพวกเขาเพียงเล็กน้อย บางทีพวกเขาก็อาจจะแค่ไม่มีความมั่นใจ
แต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นมีความสามารถสูงกว่าพวกเขามาก จนพวกเขาไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะไม่มีความมั่นใจเลยด้วยซ้ำ
หลังจากที่กระตุ้นความอยากของทุกคนเพียงพอแล้ว ผู้ดูแลการประมูลก็กล่าวต่อไปว่า “ขวดนี้คือยาน้ำที่ท่านมู่เป็นผู้กลั่นออกมาเอง สามารถขจัดสิ่งแปลกปลอมในพลังวิญญาณและพลังจิตวิญญาณได้ ซึ่งมันทำให้เห็นผลได้ทันที”
“ยาน้ำเช่นนี้ เป็นยาน้ำของหอหมอปีศาจใช่หรือไม่? ได้ยินมาว่ามู่เฉินซีมาจากหอหมอปีศาจ หรือว่านี่จะเป็นเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ?”
“สิ่งที่พวกเราต้องการคือยาขั้นเทวะที่นางได้รับมาจากในหอโอสถว่านฉง แล้วนางจะเอาสิ่งของพวกนี้มาล่อลวงเราไปทำไมกัน? หรือว่านางไม่คิดที่จะเอาออกมาแต่แรก ทำใจไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าจะร้องตะโกนหาพระแสงอะไร? ถึงจะเอาออกมาก็ใช่ว่าเจ้าจะซื้อมันได้เสียหน่อย!”
เมื่อยาลูกกลอนที่นำออกมาไม่ใช่รางวัลที่ได้รับมาจากหอโอสถว่านฉง มันจึงทำให้มีคนมากมายเกิดความไม่พอใจขึ้น
แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ให้ความร่วมมืออย่างกระตือรือร้น และพยายามที่จะเสนอสมบัติตนเอง เพียงเพื่อหวังว่าจะได้รับความโปรดปรานจากท่านมู่บ้าง
“ที่ข้ามีหญ้าแสงจันทร์ยะเยือกที่เป็นสมุนไพรวิญญาณขั้นกึ่งเทพอยู่ด้วย!”
“ที่ข้าก็มี…”
“……”
คนส่วนใหญ่นั้นล้วนเสนอเป็นสมุนไพรวิญญาณทั้งนั้น เพราะว่าเหล่านักปรุงยานั้นมีความชื่นชอบในสมุนไพรวิญญาณมากที่สุดนั่นเอง
ในที่สุดมู่เฉียนซีก็เลือกสมุนไพรวิญญาณที่ชื่นชอบที่สุดได้แล้ว และในตอนที่ความสนใจของผู้คนเกือบจะหมดไป ยาลูกกลอนที่ได้จากชั้นที่เก้าร้อยก็ถูกนำขึ้นมาในทันที
จากนั้นสถานการณ์ก็เริ่มร้อนระอุและระเบิดขึ้นมาอีกครั้ง และเมื่อยาลูกกลอนจำนวนมากได้ประมูลออกไปติดต่อกัน ก็ทำให้มู่เฉียนซีแลกเปลี่ยนสมบัติล้ำค่ามาได้มากมายเลยทีเดียว
มู่เฉียนซีมองไปยังใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของว่านซือเยี่ยนที่อยู่ด้านข้างพลางกล่าวว่า “ทำไม? สายตาของข้าก็ไม่ได้แย่เท่าไรใช่ไหมล่ะ?”
“ใช่ สายตาของเจ้าดีเลยทีเดียว! เจ้าชอบฟังคำพูดเช่นนี้สินะ!”
เนื่องจากสถานการณ์ที่ร้อนระอุ จึงทำให้แม้แต่ยาลูกกลอนที่มู่เฉียนซีกลั่นออกมาเองก็ได้รับความนิยมไปด้วยเช่นกัน
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ก็ได้มาถึงช่วงเวลาที่สำคัญแล้ว
“ยาขั้นเทวะของชั้นที่หนึ่งพัน!”
“ข้าเสนอยาวิเศษ…”
“ที่ข้าก็มียาวิเศษ…”
“ข้า…”
ส่วนคนที่ไม่มียาวิเศษ ต่างก็ไม่สามารถเสนออะไรออกมาได้เลย
คนที่ต้องการนำยาขั้นเทวะไปช่วยชีวิตคนก็มีอยู่เช่นกัน แต่ทว่าไม่ยอมเสียค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย
ส่วนบางคนที่รู้สึกว่ายาขั้นเทวะนั้นหายาก ซึ่งไม่ว่าจะมีประโยชน์หรือไม่ก็จะต้องเอามาให้ได้ และถึงตอนนี้จะไม่มีประโยชน์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าในอนาคตจะไร้ประโยชน์
พวกเขาส่วนใหญ่ได้เตรียมยาวิเศษเอาไว้ ซึ่งเป็นสมบัติการกลั่นยาที่หาได้ยากยิ่ง และในเวลานี้มีใครบางคนกล่าวขึ้นมาว่า “ข้าของเสนอเศษภาพค่ายกลขั้นเทวะ หรือก็คือค่ายกลหยินหยางแห่งกลียุค!”
“เศษภาพค่ายกลขั้นเทวะหรือ อ๊ากกกกก!” เมื่ออากุ่ยได้ยินก็กระโดดโลดเต้นขึ้นอย่างตื่นเต้น
เขาล่องลอยไปดึงแขนเสื้อของว่านซือเยี่ยนไว้พลางกล่าวว่า “พี่เยี่ยน พี่เยี่ยน ข้าต้องการสิ่งนี้…”
“พระเจ้า! คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอกับค่ายกลหยินหยางแห่งกลียุค แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่เศษภาพ แต่นั่นก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว”
แต่ทว่าว่านซือเยี่ยนกลับปฏิเสธอย่างไร้ความปรานีว่า “ไม่ได้!”
คนที่อยู่ภายนอกกล่าวว่า “ท่านมู่คือนักปรุงยาไม่ใช่ปรมาจารย์ค่ายกลเสียหน่อย ถึงแม้ว่าภาพค่ายกลนี้จะล้ำค่ามาก แต่เกรงว่าท่านมู่คงจะไม่สนใจหรอก!”
จากนั้นเสียงที่แหบแห้งเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา “นี่เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดสำหรับข้า ถึงอย่างไรข้าก็ต้องเดิมพันดูสักครั้ง! เพราะข้าไม่อาจพลาดยาลูกกลอนนี้ไปได้”
“พี่เยี่ยน พี่เยี่ยน หากท่านไม่ตกลงข้าจะหนีออกจากบ้าน และข้าจะไปอยู่ที่หัวเตียงของท่านเพื่อทำให้ท่านหวาดกลัวทุกวันเลย!” ขณะนี้อากุ่ยกำลังแยกเขี้ยวข่มขู่ว่านซือเยี่ยน
ในเวลานี้เอง มู่เฉียนซีก็กล่าวขึ้นมาว่า “เช่นนั้นก็เอาเศษภาพค่ายกลขั้นเทวะแล้วกัน!”
ทุกคนต่างก็ไม่อยากจะเชื่อ คนผู้นั้นจะโชคดีเกินไปแล้ว! คิดไม่ถึงเลยว่าท่านมู่จะเปลี่ยนความต้องการตามปกติไปเป็นภาพค่ายกลอันนั้นได้
ชายชราผู้นั้นดีใจอย่างบ้าคลั่ง มันช่างยอดเยี่ยมมากเหลือเกิน!
รอหลังจากที่มู่เฉียนซีทำการประมูลยาลูกกลอนเสร็จสิ้นแล้ว บรรยากาศก็สงบลงมากขึ้นเลยทีเดียว และหลังจากนั้นผุ้อาวุโสใหญ่ก็รีบนำเอาสมบัติมามอบให้กับมู่เฉียนซีอย่างรีบร้อน
“แม่นางมู่ ทั้งหมดอยู่ที่นี่แล้ว เจ้าสามารถตรวจสอบดูได้!”
สมุนไพรวิญญาณเหล่านี้ไม่เลวเลย และคราวนี้ก็ถือว่าเก็บเกี่ยวได้สมบูรณ์เลยทีเดียวล่ะ!
ส่วนเศษภาพค่ายกลขั้นเทวะนั้น มู่เฉียนซีก็ส่งออกไปพร้อมกล่าวว่า “อากุ่ย อ่ะ นี่ของที่เจ้าอยากได้”
อากุ่ยตื่นเต้นจนอยากที่จะเข้าไปตะครุบในทันที แต่ทว่ากลับถูกว่านซือเยี่ยนรั้งเอาไว้ก่อนกล่าวว่า “อากุ่ย อย่าอยากได้ของของคนอื่นส่งเดช”
“แต่อย่างไรเสียคนขี้เหนียวอย่างเจ้าก็ไม่มีทางยอมซื้อให้ข้าอยู่แล้วนี่!” อากุ่ยขบริมฝีปากด้วยความสับสนเป็นอย่างมาก
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าเพียงแค่ไม่อยากกินอยู่ฟรีอีกทั้งยังมาหักค่าขนมของคนอื่นเหมือนใครบางคนเท่านั้นเอง อากุ่ยเจ้าเก็บไปเถิด ข้ามอบสิ่งนี้ให้เจ้าเป็นค่าที่พักก็แล้วกัน!”
“ฮะ! ค่าที่พักมันขึ้นราคามากถึงขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน”
นี่คาดว่าน่าจะเป็นค่าที่พักที่ราคาแพงที่สุดในประวัติศาสตร์แล้วกระมัง
จากนั้นมู่เฉียนซีก็กล่าวว่า “หากหลังจากนี้เมื่อไรที่ข้ามีเวลาว่างแล้วมาเที่ยวที่เมืองหุยชุน ขอเพียงแค่ให้ข้าพักอยู่ที่บ้านของเจ้าได้ก็พอแล้ว”
“ไม่มีปัญหา! เสี่ยวซีอยากจะอยู่นานเท่าไรก็ได้ทั้งนั้น!”
อากุ่ยรับภาพค่ายกลนั้นไปทันที จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีความสุข และในเวลานี้เขาก็เปลี่ยนเป็นมีชีวิตชีวาขึ้นมากเลยทีเดียว
“ขอบคุณเสี่ยวซี เจ้าดีที่สุดเลย”
มู่เฉินซีเอาภาพค่ายกลแผ่นหนึ่งมาเทียบเท่ากับยาขั้นเทวะ ซ้ำยังมอบให้คนอื่นตามใจชอบอีก นี่มันก็ทำให้ว่านซือเยี่ยนต้องจดจำและระวังเอาไว้
เมื่อมองไปที่สีหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มของอากุ่ย เขาก็ตะคอกอย่างเย็นชาว่า “ปี้ฟาง!”
อากุ่ยยืนตัวตรงพลางกล่าวว่า “ขะ…ข้าชอบมันมากจริง ๆ”
“ดังนั้นเจ้าเลยถูกนางซื้อไปแล้วอย่างนั้นหรือ! ชิงหลงก็บอกแล้วนี่ว่า ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาน่ะ”
“ข้าเป็นคนที่ถูกคนซื้อได้ง่ายดายขนาดนั้นเลยหรืออย่างไรกัน?”
อย่างไรก็ตามอากุ่ยก็มาหลบอยู่ข้างหลังมู่เฉียนซีพลางกล่าวว่า “เสี่ยวซี เจ้าต้องปกป้องข้านะ อย่าปล่อยให้เจ้าคนขี้งกนี้มาแย่งสมบัติของข้าไปได้”
อากุ่ยนั้นสนิทสนมกับว่านซือเยี่ยนเป็นอย่างมาก และมู่เฉียนซีก็รู้อยู่แล้วว่าตัวตนของเขานั้นไม่ธรรมดา แต่กลับไม่คิดเลยว่าเขาจะเหมือนกันพวกชิงหลงและจูเชว่
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ว่านซือเยี่ยน ข้าก็แค่มีน้ำใจมอบสิ่งของให้เพื่อนตามประสาคนร่ำรวยเท่านั้น เจ้าจะมายุ่งวุ่นวายให้มากมายไปทำไมกัน? เจ้าเป็นแค่พี่ชายของอากุ่ย อีกทั้งยังไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของเขาด้วย คนอย่างข้าก็แค่ชื่นชอบที่จะให้ของขวัญชิ้นใหญ่กับคนอื่นเมื่อมีความสุข ฉะนั้นคนขี้เหนียวอย่างเจ้าไม่มีทางมาเข้าใจความเห็นใจผู้อื่นของข้าหรอก!”
“มู่เฉินซี เจ้านี่มัน ดี ช่างดีจริง ๆ! คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีเงินมากกว่านายน้อยอย่างข้า ช่างไม่เจียมเนื้อเจียมตัวเอาเสียเลย”
“ข้ายอมรับว่าเทียบนายน้อยอย่างเจ้าไม่ได้ แต่ข้าก็มีความใจกว้าง และเป็นคนดียิ่งกว่าคนอย่างเจ้าแน่นอน! คนเราสามารถหาเงินได้ก็ต้องใช้เงินให้เป็นสิถึงจะถูก!”
“……”
หลังจากนั้นทั้งมู่เฉียนซีและว่านซือเยี่ยนก็ไม่ได้ใส่ใจกับงานประมูลในลำดับต่อไปอีกแล้ว และเริ่มปะทะกันไปมานับครั้งไม่ถ้วนแทน
อากุ่ยกล่าวอย่างรู้สึกผิดมากว่า “เลิกทะเลาะกันได้แล้ว!”
มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ข้าไม่ได้ทะเลาะกับเขา แต่ข้ากำลังสั่งสอนเขาต่างหาก!”
“ข้าไม่ได้อยากจะเถียงกับผู้หญิงคนนี้เสียหน่อย!”
และหลังจากนั้น งานประมูลก็ได้สิ้นสุดลง
“ยังไม่รีบไปกันอีก คิดจะอยู่ที่นี่ข้ามปีกันเลยหรืออย่างไร?”
ในตอนที่พวกเขาเดินออกมา ผู้อาวุโสใหญ่ก็กล่าวว่า “แม่นางมู่ ต้องการให้ข้าพาเจ้าออกไปส่งหรือไม่?”
“มีข้าอยู่ทั้งคน มันยังไม่ถึงคราวที่จะต้องให้พวกท่านยื่นมือเข้ามายุ่งหรอก!” ว่านซือเยี่ยนกล่าว
“เช่นนั้นแม่นางมู่โปรดระวังด้วย” แม้ว่าแม่นางมู่ในตอนนี้จะน่าดึงดูดใจมาก แต่ในเมื่อมีนายน้อยว่านซื่อคอยคุ้มครองอยู่ก็ไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไรได้อย่างแน่นอน
.