ท่านพี่อย่าเย็นชากับข้านักเลย - บทที่ 13 อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์
สิบสาม
อาจารย์ให้กำลังใจศิษย์
ชายชราหนวดเคราขาวโพลนยาวถึงอกที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ที่แท้คืออาจารย์จากสำนักศึกษา และที่เขามาในครั้งนี้ ก็เพื่อตามเสวี่ยหยวนจิ้งกลับไปเรียนต่อ
ครั้นเสวี่ยหยวนจิ้งคำนับด้วยความนอบน้อม เขาก็รีบจับมือของเด็กหนุ่มพลางเอ่ยถาม “ข้าได้ยินว่าเจ้าจะไม่ไปเรียนที่สำนักศึกษาอีก เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งหลุบตาลงและเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยตอบด้วยเสียงแผ่วเบา “เรียนท่านอาจารย์ เป็นเช่นนั้นจริงขอรับ”
อาจารย์โจวกุมมือเขาแน่น “เหตุใดอยู่ดีๆ เจ้าถึงไม่ไปเรียนเล่า ด้านบทกวีเจ้าก็ถึงระดับชำนาญแล้ว หากปีหน้าเจ้าเข้าร่วมการสอบระดับซิ่วฉาย[1] ข้ามั่นใจว่าเจ้าต้องสอบได้ แต่เหตุใดเจ้า… เฮ้อ เจ้ายินดีจะอยู่อย่างไม่มีอนาคตในหมู่บ้านเล็กๆ บนภูเขาแห่งนี้ไปตลอดชีวิตเช่นนั้นหรือ”
เสวี่ยหยวนจิ้งพลันเงียบงัน ศีรษะยิ่งก้มต่ำลงกว่าเดิม เสวี่ยเจียเยว่มองเห็นริมฝีปากงดงามของเขาเม้มแน่นราวกับเส้นตรงก็มิปาน
ทันใดนั้นเสียงของซุนซิ่งฮวาก็ดังขึ้น “นี่! ข้าว่าข้าพูดกับอาจารย์รู้เรื่องแล้วมิใช่หรือ ที่เจ้ากล่าวเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร ดูถูกชาวนาอย่างพวกข้าใช่หรือไม่ หากไม่ใช่เพราะพวกข้า ทุกวันนี้เจ้าจะเอาอันใดกิน”
อาจารย์โจวมีรูปร่างผ่ายผอม แววตาขุ่นมัวเพราะความชรา เมื่อมองผู้คนก็เลือนรางลงบ้างแล้ว
เมื่อได้ยินซุนซิ่งฮวากล่าว เขาก็ตอบกลับทันที “ข้ามิได้หมายความว่าจะดูถูกชาวนาอย่างพวกเจ้า บรรพบุรุษของข้าก็เป็นชาวนาเช่นกัน”
เมื่อสิ้นเสียงของเขา ซุนซิ่งฮวาก็เอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ
“หากเจ้าไม่ได้ดูถูกชาวนาอย่างพวกข้า แล้วมันหมายความว่าอย่างไรกันเล่า เหตุใดเขาถึงต้องไปเรียนที่สำนักศึกษาเพื่อสอบซิ่วฉาย แต่ไม่ยินดีทำนา แม้จะเป็นบัณฑิตระดับซิ่วฉาย แต่ก็ต้องกินข้าวเหมือนกันไม่ใช่หรือ”
นางเอ่ยต่ออย่างเดือดดาล “อาจารย์ ในเมื่อเจ้ารู้ว่าบรรพบุรุษของเจ้าเป็นชาวนา เหตุใดเจ้าถึงได้ดูถูกชาวนาเช่นนี้เล่า ข้าว่าเจ้าคงลืมกำพืดตัวเองไปแล้วกระมัง ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาหรอก เรียนมาตั้งหลายปี คงจะเสียเงินเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์กระมัง”
ซุนซิ่งฮวาเข้าใจว่าเขาดูถูกชาวนา แม้อาจารย์โจวมิได้มีเจตนาเช่นนั้น และนางปิดท้ายด้วยการเย้ยหยันเรื่องการเป็นอาจารย์ของเขา ซึ่งไม่เป็นชาวนาเหมือนบรรพบุรุษ เป็นการด่าว่า ‘ลืมกำพืด’ เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกตะลึงกับความสามารถส่วนนี้ของซุนซิ่งฮวา
อาจารย์โจวเป็นผู้มีความรู้ ทุกครั้งที่ผู้อื่นเห็นเขาต่างก็เคารพในวิชาความรู้ที่เขาร่ำเรียนมาและเกรงใจเขาทั้งนั้น ไหนเลยจะเคยถูกคนว่ากล่าวเช่นนี้ เมื่อได้ยินคำด่าของซุนซิ่งฮวา เขาถึงขั้นโมโหจนร่างสั่นเทา ก่อนจะชี้นิ้วใส่นาง “เจ้า… เจ้า”
“ข้าทำไม” ซุนซิ่งฮวาเอ่ยแทรกอย่างเบื่อหน่าย “เรื่องของครอบครัวข้า คนนอกอย่างเจ้าจะสอดขาเข้ามายุ่งเพื่ออะไร พวกข้าไม่ได้ติดค้างค่าสอนของเจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าจะวิ่งมาถึงหน้าประตูเรือนข้าทำไม พวกข้าต้องรีบไปตีข้าวที่ลานบนเนินเขาอีก หากล่าช้าเจ้าจะชดใช้อย่างไร จะไปไหนก็ไปไป๊”
นางถึงขั้นขับไล่อาจารย์โจวออกไป
อาจารย์โจวโกรธจนเลือดขึ้นหน้า ประโยคนั้นทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ทั้งร่างสั่นเทาอย่างรุนแรง
เสวี่ยหยวนจิ้งก้าวไปพยุงอาจารย์โจวเอาไว้ และเอ่ยถามด้วยความกังวลใจ “ท่านอาจารย์ ท่านเป็นอย่างไรบ้างขอรับ”
จากนั้นเขาก็หันกลับไปมองซุนซิ่งฮวา
ซุนซิ่งฮวาสัมผัสได้ว่าสายตาของเขาเย็นชาเหลือเกิน ราวกับจะกรีดเข้าไปในกระดูกของนางก็มิปาน เมื่อเห็นดังนั้นใจนางก็อดสั่นสะท้านเพราะความหวาดกลัวไม่ได้ และไม่กล้าเอ่ยคำใดออกมาอีก
เสวี่ยเจียเยว่เอ่ยขึ้น “ท่านแม่ ในเมื่อท่านอาจารย์มาพูดด้วยตัวเองเช่นนี้แล้ว ท่านก็ให้ท่านพี่ไปเรียนที่สำนักศึกษาต่อเถิด ส่วนเรื่องงานในไร่นาของครอบครัว ข้าจะทำเพิ่มให้มากกว่านี้ก็ได้”
ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าเสวี่ยเจียเยว่จะพูดแทนเสวี่ยหยวนจิ้ง เขามองอีกฝ่ายด้วยความตกใจและประหลาดใจเป็นอย่างมาก ทว่าแสดงความรู้สึกออกมาทางสีหน้าเพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้น จากนั้นเขาก็กลับมามีสีหน้าเย็นชาราวกับไม่ได้ใส่ใจอย่างที่เคยทำเป็นประจำ
เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น ในใจก็รู้สึกเหมือนได้รับความสำเร็จไม่น้อย เธอคิดว่าการกระทำเชื่อมความสัมพันธ์ครั้งนี้ไม่เลวเลยทีเดียว อีกไม่นานเสวี่ยหยวนจิ้งจะต้องเปลี่ยนความคิดที่มีต่อเธออย่างแน่นอน
ซุนซิ่งฮวาก็ตะลึงไม่น้อยเช่นเดียวกัน แต่เมื่อได้สติกลับมา นางก็เดินไปเงื้อมือขวาขึ้น ก่อนจะตบไปที่แผ่นหลังของเสวี่ยเจียเยว่อย่างรุนแรง
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมาทันใด จึงงอตัวลงพลางสูดปากเบาๆ
ซุนซิ่งฮวาด่าเสวี่ยเจียเยว่ “เจ้าช่างอวดเก่งจริงๆ เจ้าทำงานอะไรได้บ้าง วันๆ ข้าก็เห็นว่าเจ้าหนักไม่เอา เบาไม่สู้ เอาแต่ตะกละตะกลาม เห็นเจ้าสนใจของกินมากกว่าแม่ของตัวเองเสียอีก วิ่งเข้าหาของกินตาเป็นประกาย อย่างกับหมาป่าในฤดูหนาวก็มิปาน เรียกให้เจ้ามาทำงาน แต่ทำท่าเหมือนกับล่อที่ใกล้ตาย หวดสามทีก็เดินต่อไม่ได้แล้ว เป็นเช่นนี้เจ้ายังจะบอกว่างานในไร่นาของครอบครัว เจ้าจะทำให้มากขึ้นอีกหรือ หากต้องพึ่งพาเจ้า ข้าไม่เหนื่อยตายเลยหรืออย่างไร”
นางหยุดไปครู่หนึ่งก่อนด่าต่อ “นางลูกอกตัญญู รู้อย่างนี้ข้าเลี้ยงหมายังดีกว่า มันยังรู้จักปกป้องข้าต่อหน้าผู้อื่น”
เสวี่ยเจียเยว่อดยกมือขึ้นมาปิดหูไม่ได้ ขณะเดียวกันก็หันไปมองเสวี่ยหย่งฝู เห็นเขายืนอยู่ข้างๆ คอหดราวกับเต่าตัวหนึ่งก็มิปาน นัยน์ตาของเขากลอกไปมา ไม่เอ่ยอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว
เห็นได้ชัดว่าเขาไม่อยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งไปเรียนที่สำนักศึกษา ถึงได้ยอมให้ซุนซิ่งฮวาเอ็ดตะโรเช่นนี้
เสวี่ยเจียเยว่รู้สึกว่าท่าทางของเสวี่ยหย่งฝูเหมือนกับบิดาของเธอในภพที่จากมา ในใจเธอสั่นสะท้านขึ้นมาทันที
บุรุษเช่นนี้ไม่คู่ควรกับการเป็นบิดาของผู้ใด
ซุนซิ่งฮวายังด่าไม่ยอมเลิกรา ในที่สุดเสวี่ยหยวนจิ้งก็กล่าวขึ้น
“ไม่ต้องพูดอะไรอีกแล้ว ข้าจะไม่กลับไปเรียนต่อ”
น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาเช่นเคย ไม่มีความโกรธแค้นแฝงอยู่ ทว่าเสวี่ยเจียเยว่มองหมัดที่กำแน่นของเขา และเส้นเลือดที่ปูดโปนขึ้นบนหน้าผาก พลันรู้ทันทีว่าเขากำลังเดือดดาลเป็นอย่างมาก
เธอเงียบงัน ไม่พูดอะไรออกมา มีบิดามารดาอย่างเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา ในฐานะลูกพูดอะไรก็ไร้ประโยชน์
หลังจากเอ่ยประโยคนั้นจบ เสวี่ยหยวนจิ้งก็กล่าวกับอาจารย์โจวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ท่านอาจารย์ ให้ศิษย์ส่งท่านกลับเถอะขอรับ”
เมื่อเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ติดลานเรือน เขาก็ได้ยินเสียงซุนซิ่งฮวาตะโกนด่าจากด้านหลัง
“เจ้าจะส่งเขากลับอย่างนั้นหรือ กว่าเจ้าจะไปส่งเขาถึงเรือน กว่าจะกลับมา วันนี้ก็ผ่านไปแล้ว ข้าวที่ลานบนเนินเขาจะให้ข้ากับพ่อเจ้าตีหรืออย่างไร เจ้าอยากให้พวกข้าเหนื่อยตายอย่างนั้นหรือ ต่อไปเรือนนี้จะได้ตกเป็นของเจ้าใช่หรือไม่”
เสวี่ยหยวนจิ้งพลันชะงักเท้า ทว่าเขาไม่ได้หันกลับไปมอง
เสวี่ยเจียเยว่เห็นเขายืนนิ่งราวกับต้นสนในหุบเขา แม้พายุหิมะจะโหมกระหน่ำ สายลมจะกระโชกอย่างรุนแรงสักเพียงใด ก็ไม่มีทางทำให้ต้นสนต้นนั้นหักงอได้แม้แต่น้อย
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว ก่อนจะรีบก้มหน้าลงทันที
เป็นอาจารย์โจวที่หันกลับไปมองเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวา และเอ่ยออกมาด้วยความเจ็บใจ “ข้าเป็นอาจารย์ตั้งแต่อายุสามสิบปี สอนลูกศิษย์มานับไม่ถ้วน หยวนจิ้งคือลูกศิษย์ที่ปราดเปรื่องที่สุดที่ข้าเคยเห็นมา วันข้างหน้าเขาต้องมีอนาคตที่ยาวไกลอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้กลับถูกพวกเจ้าทำเช่นนี้ ช่างเสียเวลาเหลือเกิน”
เขาถอนหายใจยาว ก่อนหมุนตัวเดินออกจากประตูลานเรือนอย่างช้าๆ ด้วยการพยุงของเสวี่ยหยวนจิ้ง
เมื่อมาถึงหน้าหมู่บ้าน อาจารย์โจวหยุดเดิน และมองเสวี่ยหยวนจิ้งพลางเอ่ย “ข้าได้ยินเรื่องที่บิดาเจ้าแต่งภรรยาใหม่เข้าบ้านมานานแล้ว ลือกันว่านางทำกับเจ้าไม่ดีนัก ทว่าข้าคิดไม่ถึงว่านางจะให้เจ้าหยุดเรียนไปทำนา ส่วนบิดาเจ้า ข้าก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่พูดอะไรเพื่อเจ้าแม้แต่ประโยคเดียว ศิษย์เอ๋ย พวกเขาช่างทำกับเจ้าเกินไปจริงๆ ทำให้เจ้าเสียเวลาทิ้งไปเปล่าๆ”
เสวี่ยหยวนจิ้งเม้มปากแน่น ไม่พูดไม่จา ทว่าในใจของเขารู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่มารดาจากโลกนี้ไป ก็ไม่มีใครคิดเพื่อเขาเช่นนี้อีก อาจารย์โจวช่างดีกับเขาจริงๆ
เขาเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์โจวด้วยแววตาแน่วแน่ “แม้ว่าศิษย์จะไม่ได้ไปเรียนที่สำนักศึกษาอีกแล้ว แต่ถ้าศิษย์อยากจะเรียน ก็สามารถเรียนอยู่ในเรือนได้เช่นกัน ท่านอาจารย์โปรดวางใจเถิด ศิษย์ไม่มีทางทิ้งการเรียนอย่างแน่นอน”
อาจารย์โจวได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างชื่นใจ “หากเจ้ามีความพยายาม ไม่ว่าอุปสรรคอันใดก็มาขวางเจ้าไม่ได้ ด้านบทกวีเจ้าถึงระดับที่ชำนาญแล้ว หากเจ้าอยากจะเข้าร่วมการสอบซิ่วฉาย เจ้าย่อมสอบผ่านอย่างแน่นอน”
การสอบซิ่วฉายต้องสอบทั้งหมดสามครั้ง แบ่งออกเป็นสามระดับ ได้แก่ เซี่ยนชื่อ ฝู่ชื่อ และย่วนชื่อ ผู้เข้าสอบจะต้องไปสอบในอำเภอก่อน และสุดท้ายก็ต้องไปสอบในเมือง แน่นอนว่าการเดินทางย่อมมีค่าใช้จ่าย อาจารย์โจวคิดถึงท่าทางของเสวี่ยหย่งฝูกับซุนซิ่งฮวาเมื่อครู่แล้ว เกรงว่าพวกเขาคงไม่ยอมออกค่าใช้จ่ายให้เด็กหนุ่มอย่างแน่นอน เขาจึงเอ่ยขึ้นมา
“หากเจ้ามีปัญหาอะไร มาหาข้าได้เสมอ เจ้าเป็นลูกศิษย์ที่ข้าภูมิใจที่สุด ข้าไม่อยากเห็นความรู้ของเจ้าถูกกลบฝังเอาไว้ใต้ดิน”
เสวี่ยหยวนจิ้งไม่เอ่ยอะไร แล้วค้อมกายลงเพื่อแสดงความเคารพต่ออาจารย์โจว
อาจารย์โจวถอนหายใจพลางใช้มือทั้งสองข้างจับมือเด็กหนุ่มและเอ่ยขึ้น “ตอนนี้เจ้ากลับไปก่อนเถอะ แม่เลี้ยงของเจ้าผู้นั้นก็ช่างนาง อย่าได้สนใจ บุรุษจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับสตรีป่าเถื่อนไร้ความรู้เพียงคนเดียวใช่หรือไม่ ตั้งใจเรียนให้มากจะดีกว่า วันข้างหน้าที่เจ้าสอบผ่านได้เป็นบัณฑิต และได้ตำแหน่งขุนนาง เมื่อนั้นนางจะต้องเสียใจที่ทำกับเจ้าในวันนี้”
เสวี่ยหยวนจิ้งพยักหน้ารับด้วยสีหน้าจริงจัง “ศิษย์น้อมรับคำสั่งสอนของอาจารย์ ศิษย์จะจำให้ขึ้นใจ”
อาจารย์โจวตบบ่าเด็กหนุ่มเบาๆ พลางถอนหายใจ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป
เสวี่ยหยวนจิ้งยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งเงาแผ่นหลังของอาจารย์โจวค่อยๆ เลือนหายจากปลายทางเดินสายเล็ก เขาถึงได้หมุนกายเดินกลับไป
เขาพบว่าประตูลานเรือนใส่กุญแจเอาไว้แล้ว เสวี่ยหย่งฝูกับคนอื่นๆ ออกไปที่ลานตากข้าวบนเนินเขาโดยไม่ได้รอเขากลับมา
เสวี่ยหยวนจิ้งยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเห็นกระดาษกลอนคู่สีแดงแปะอยู่บนประตู
กระดาษกลอนคู่ที่แปะอยู่บนประตูนี้เดิมทีเป็นสีขาว แต่เมื่อปีที่แล้วหลังมารดาของเขาจากโลกนี้ไป ใครจะคิดว่าไม่กี่เดือนต่อมาบิดาก็แต่งซุนซิ่งฮวาเข้าเรือน และตามประเพณีของที่นี่ พอคนใหม่เข้ามา แน่นอนว่าต้องฉีกกระดาษกลอนคู่สีขาวทิ้งไป แล้วแปะกระดาษสีแดงแทน… ช่างโชคร้ายจริงๆ
เสวี่ยหยวนจิ้งจำได้ว่าตอนนั้นเขาอยู่ที่ลานเรือน กอดน้องสาวซึ่งยังเล็กมองบิดาฉีกกระดาษกลอนคู่สีขาวทิ้ง แล้วแปะกระดาษสีแดงแทนที่ด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น ในเวลานั้นเขารู้สึกหนาวเหน็บจนถึงกระดูก
ตอนนี้เมื่อได้มองกระดาษกลอนคู่สีแดง เสวี่ยหยวนจิ้งก็รู้สึกเคืองตาเหลือแสน
เขาเอื้อมมือไปฉีกกระดาษสองแผ่นนั้นออกจากประตูอย่างช้าๆ จากนั้นก็ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆ และเดินไปยังลำธารที่อยู่ไม่ไกล ก่อนจะโยนเศษกระดาษเหล่านั้นลงไปในลำธาร แล้วล้วงของบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ
สิ่งนั้นคือกำไลเงินเรียบๆ วงหนึ่ง ไม่มีลวดลายบนกำไลนั้นแม้แต่เส้นเดียว หากมองให้ละเอียด ก็จะรู้ว่าเป็นเครื่องประดับของสตรี
เสวี่ยหยวนจิ้งมองกำไลครู่หนึ่ง ก่อนจะหรี่ตามองเศษกระดาษที่ลอยอยู่ในลำธาร
ขณะที่เขามองกำไลนั้น สีหน้าของเขาดูอ่อนโยนและอบอุ่นเป็นอย่างมาก ทว่าเมื่อมองไปที่เศษกระดาษเหล่านั้น สีหน้าของเขาพลันเย็นชาเช่นเดิม ดวงตาดำขลับคู่นั้นราวกับมีไอเย็นแผ่ออกมาก็มิปาน
เขามองเช่นนี้อยู่พักใหญ่ จากนั้นจึงเก็บกำไลเข้าไปในอกเสื้อตามเดิม แล้วหมุนกายสาวเท้ามุ่งหน้าไปยังลานตากข้าวบนเนินเขา
[1] ซิ่วฉาย (秀才) หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านระดับต้น หรือเรียกว่า ‘ถงเซิง’ ซึ่งจัดสอบเป็นประจำทุกปี รับสมัครผู้เข้าสอบตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้นขึ้นไป