ท่องภพสยบหล้า - ตอนที่ 104 ทุกอย่างล้วนมีจุดสิ้นสุด
บทที่ 104 ทุกอย่างล้วนมีจุดสิ้นสุด
ไป๋เหลียนรับชามน้ำแกง ถามขึ้นว่า “ตอนที่น้องสาวเจ้าป่วย เจ้าก็ดูแลนางอย่างนี้หรือ”
พอเอ่ยถึงเจียงอันอัน เจียงวั่งก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมาอย่างเป็นธรรมชาติ
“นางเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย ตอนป่วยก็ไม่อาละวาด อีกอย่างขอแค่ซื้อของอร่อยให้นาง นางก็จะดีอกดีใจ ข้าเลยซื้อให้นาง ทั้งเนื้อแพะตำรับลับตระกูลไช่ น้ำแกงของตู้เต๋อวั่ง ขนมจากร้านกลิ่นดอกกุ้ย…”
เจียงวั่งนับของกินที่เจียงอันอันชอบกินทีละอย่างๆ ไป๋เหลียนยิ่งฟังยิ่งทนไม่ไหว
น้ำแกงในมือจู่ๆ ก็…เดิมทีมันก็ไม่หอมอยู่แล้ว
‘ยามน้องสาวเจ้าป่วยเจ้าทำอย่างโน้นอย่างนี้ ประเคนอาหารเลิศรสให้มากมาย ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ เกือบเอาชีวิตไม่รอด เจ้ากลับให้ข้าดื่มของแบบนี้หรือ’
นางตะโกนอยู่ในใจ ใบหน้ายิ้มแห้งๆ
“พอแล้ว ขอบคุณเจ้ามาก”
ไป๋เหลียนหยุดคำพูดของเจียงวั่ง
นางพบว่าคนผู้นี้นับว่าพูดน้อย แต่ขอเพียงพูดถึงน้องสาวของเขา ก็เหมือนมีเรื่องอยากพูดมากมายขึ้นมาทันที
“อืม ร่างกายของเจ้ายังไม่ค่อยดีนัก ต้องพูดน้อยลงหน่อย” เจียงวั่งยกมือขึ้น “เจ้าดื่มเถอะ เจ้าดื่มเถอะ ในหม้อยังมีอยู่ ดื่มหมดแล้วข้าจะเติมให้”
ไป๋เหลียนปล่อยผ่านประโยคหลัง ลังเลอยู่หลายรอบถึงจะยกน้ำแกงมาตรงหน้า
นางหยุดกะทันหัน จากนั้นมองเจียงวั่งอีกครั้ง ดวงตาคู่สวยกะพริบปริบๆ “เจ้าจะดูข้าดื่มหรือ อยากเห็น…ว่าใบหน้าข้าเป็นอย่างไรสินะ”
“ขอโทษด้วย ขอโทษด้วย ข้าลืมไป ขออภัย” เจียงวั่งหันหลังจะเดินไปนอกถ้ำ
“นี่!” ไป๋เหลียนเรียกเขาไว้ รอให้เขาหันกลับมา แล้วจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ช่วยปลดผ้าคลุมหน้าให้ข้าหน่อย…”
น้ำเสียงนี้อ่อนโยน นุ่มนวล ชวนให้ใจเต้นแรง
เจียงวั่งรู้สึกริมฝีปากแห้งผาก ถ้าจะบอกว่าไม่สนใจรูปร่างหน้าตาของไป๋เหลียน นั่นก็เป็นไปไม่ได้ ถึงแม้ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันจะไม่มาก ทว่าทุกครั้งล้วนตราตรึงใจ
เสียงพูดกับเรือนร่างของสตรีผู้นี้ รวมถึงดวงตาที่เผยออกมาให้เห็นเพียงอย่างเดียว ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่งามล้ำ เจียงวั่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเขาไม่อยากเห็นใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมนั่น ถึงขั้นเฝ้ารออยู่รางๆ ด้วยซ้ำ
ทว่าตอนนี้ ไป๋เหลียนให้เขาปลดผ้าคลุมหน้าลง
ไม่จำเป็นต้องลังเล
เจียงวั่งสาวเท้าก้าวใหญ่เข้าไป ยื่นมือข้างหนึ่งปลดผ้าคลุมหน้าผืนนั้นเบาๆ…
ภายใต้ผ้าคลุมหน้า…คือหน้ากากที่งดงามใบหนึ่ง
นั่นเป็นหน้ากากลายดอกบัวที่องค์ประกอบสวยงาม ทำขึ้นอย่างประณีต มีทั้งความศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์และความประหลาดอยู่ด้วยกันอย่างน่าอัศจรรย์
“ฮ่าๆๆๆ!” ไป๋เหลียนหัวเราะจนตัวสั่น
มือของเจียงวั่งแข็งค้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะเก็บกลับมาด้วยความแห้งเหี่ยว
‘ข้าน่าจะรู้อยู่แล้ว…’ เขาคิด
“เจ้าดื่มน้ำแกงเถอะ” หลังกล่าวประโยคทิ้งไว้อย่างเย็นชา เจียงวั่งที่โดนหยอกเล่นอีกครั้งก็เดินออกจากถ้ำไปด้วยความขุ่นเคือง
เสียงหัวเราะของไป๋เหลียนทางด้านหลังดังอยู่นาน
เจียงวั่งยืนอยู่ด้านนอกถ้ำภูเขา มองไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าห่อเหี่ยว
หมีดำที่อยู่ในถ้ำภูเขามองแผ่นหลังของเขา สีหน้าก็ห่อเหี่ยวเช่นกัน
ครั้นเสียงหัวเราะหยุดลง…
“อึก..”
“พรวด!!”
เสียงตะคอกของไป๋เหลียนดังขึ้นอีกครั้ง “เจียงวั่ง! เจ้าคิดจะฆ่าข้าใช่ไหม ระดับความชวนอ้วกของมันมากกว่าระดับความน่าเกลียดเสียอีก!”
……
“มา นี่คือผลไม้กวนที่ข้าทำขึ้นมาเอง เลือกใช้ผลไม้ป่าที่หวานที่สุด ใช้วิชาเต๋าธาตุน้ำรวมน้ำที่สะอาดที่สุดออกมา ใช้พลังปราณธาตุไม้ที่บริสุทธิ์ที่สุดบำรุง จากนั้นก็ควบคุมไฟอย่างประณีต ทำขึ้นด้วยใจเลย” เจียงวั่งกล่าวด้วยสีหน้าจริงใจ “เจ้าลองดูไหม”
ไป๋เหลียนมองก้อนสีฉูดฉาด จากนั้นจึงใช้สายตาที่จริงใจมองเจียงวั่งพลางเอ่ยว่า “เจียงวั่ง ขอร้องเจ้าละ พวกผลไม้ป่าอะไรนั่น เด็ดเอามาให้ข้าเลยก็พอ ข้าชอบกินสดๆ จริงๆ นะ”
เมื่อเห็นสายตาจริงใจของไป๋เหลียน เจียงวั่งก็สดชื่นขึ้นมา
ในความทรงจำของเจียงวั่ง นี่เป็นความโอนอ่อนครั้งแรกที่ไป๋เหลียนมีต่อเขา และได้มาแค่เพราะฝีมือปรุงอาหารอันเยี่ยมยอดของเขาด้วย
มีทักษะมากหน่อยจะไม่ลำบาก คนโบราณว่าไว้ไม่ผิดเลย!
เขาวิ่งออกไปอีกครั้ง เด็ดผลไม้ป่ากองใหญ่กลับมา ไป๋เหลียนกินผลไม้อยู่ในถ้ำ เจียงวั่งเฝ้าอยู่นอกถ้ำต่อไป
เขามอง ‘หม้อ’ ทั้งสองใบของตน รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือ
สิ่งที่เรียกว่าหม้อนั้นก็คือหินที่ก้อนใหญ่ขึ้นมาหน่อย ตรงกลางคว้านเป็นหลุมเอาไว้
หม้อหนึ่งต้มน้ำแกงผักป่า อีกหม้อทำผลไม้ป่ากวน
หม้อหนึ่งสีเขียวอื๋อ อีกหม้อหนึ่งสีสันฉูดฉาด แข่งขันกันด้านความงาม ส่องสว่างกันและกัน
เขาเข้าไปใกล้ผลงานการทำอาหารของตนเอง ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ไม่กล้าชิม ถึงอย่างไรไป๋เหลียนก็ทำท่าทางน่าเวทนาเสียขนาดนั้น ตอนนางถูกจี้เสวียนเล่นงานเมื่อคืนยังไม่กรีดร้องเช่นนี้เลย
“สิ้นเปลืองเหลือเกิน…”
เจียงวั่งงึมงำ สายตากวาดออกไปอย่างไม่มีจุดหมาย จนไปตกอยู่บนตัวหมีดำที่นั่งสงบเสงี่ยมอยู่ตัวนั้น
“เจ้า มานี่ซิ” เจียงวั่งกวักมือไปทางมัน
……
เจียงวั่งกลับไปนานมากแล้ว
เขาเป็นศิษย์ของสำนักเต๋า มีพรสวรรค์ มีความพยายาม หนทางเบื้องหน้ารุ่งโรจน์ มีชีวิตของตนเอง มีสหายที่ดี มีน้องสาวที่น่ารัก
ชีวิตของเขาเดิมทีสงบและสว่างไสว
ไป๋เหลียนนั่งอยู่เงียบๆ ในถ้ำภูเขา ดวงตาหมองเศร้าเหมือนเสียบางอย่างไป
อันที่จริงร่างกายของนางฟื้นสภาพขึ้นมากแล้ว ผลของวิชาสร้างร่างคืนวิญญาณเข้ากันได้อย่างยอดเยี่ยม
นั่นเป็นวิชาลับที่นางแค่เคยได้ยินมาและไม่เคยใช้งานได้ เป็นพลังที่มาจากเหวลึกปรโลก
เรื่องนี้ยิ่งช่วยยืนยันข้อวินิจฉัยของนางอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่านางกลับเกิดความลังเลอย่างที่หาได้ยาก
เพราะน้ำแกงผักป่าที่รสชาติแย่ชามนั้นหรือ
หรือว่าเป็นเพราะอ้อมกอดอบอุ่นที่มาอย่างกะทันหันตอนที่นางเตรียมใจจะตายแล้ว?
ไป๋เหลียนไม่อาจแยกแยะได้เลย
นางไม่ใช่คนที่มีนิสัยอ่อนโยน แต่กลับให้ตนเองแสร้งทำเป็นอ่อนแออย่างไม่คาดคิดเสียนาน
นางถอนหายใจยาว
อย่างไรเสียทุกอย่างก็ล้วนมีจุดสิ้นสุด เหมือนกับเมื่อคืนนี้ที่ผ่านพ้นไปแล้ว
……
ตอนที่ทูตกระดูกปรากฏตัว ไป๋เหลียนกลับมาสวมผ้าโปร่งคลุมหน้าสีดำอีกครั้งแล้ว ดูไปแล้วลมหายใจยาว ไม่เหมือนคนที่ได้รับบาดเจ็บหนัก
ด้านนอกถ้ำภูเขามีหมีดำนอนปวกเปียกน้ำลายฟูมปากอยู่ตัวหนึ่ง
“ก็แค่สัตว์ป่าตัวหนึ่ง สังหารทิ้งก็สิ้นเรื่อง จะทรมานมันทำไม” ทูตกระดูกขาวที่ยืนอยู่นอกถ้ำกล่าวขึ้น
“เจ้าดูจะมีเมตตาเกินคาดนะ” ไป๋เหลียนเดินออกมาจากถ้ำภูเขาช้าๆ
“ดูท่าข่าวลือจะผิดพลาด เจ้าไม่ได้รับบาดเจ็บเสียหน่อย” ทูตกระดูกขาวย่อมไม่สนใจหมีดำที่นอนน้ำลายฟูมปาก เขาหาหัวข้อสนทนาไปตามเรื่อง และเอ่ยต่อว่า “ตอนข้าได้รับข่าวก็ใจร้อนเหมือนไฟเผา ยังดีที่เป็นแค่ความกังวลที่สูญเปล่า”
ไป๋เหลียนมองข้ามประโยคครึ่งหลังของเขาไป เอ่ยเสียงอ่อนว่า “ไม่รู้ว่าใครที่คิดจะเอาชีวิตข้าถึงเพียงนั้น รู้เส้นทางของข้าอย่างชัดเจนยังไม่เท่าไร นี่ยังดึงจี้เสวียนเข้ามาข้องเกี่ยวด้วยอีก ไม่กลัวข้าจะถูกจับเป็น…แล้วต้องเผยความลับทั้งหมดในองค์กรออกไปหรือไร”
“อย่างไรก็ไม่ใช่ข้า ถ้าหากเป็นข้า ข้าคงไม่มาคนเดียวเป็นแน่”
“แน่นอน ถึงตอนนี้ข้าตายไปก็ไม่มีผลดีอะไรกับเจ้า แต่หลังจากนี้หรือ ก็ไม่แน่นะ”
“ดูเจ้าพูดเข้าเถอะ ไม่ว่าเจ้าจะตายตอนไหน ข้าก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว” ทูตกระดูกขาวหันกายเดินไปด้านนอก กำจัดกิ่งไม้ที่ขวางทางออกไปอย่างระมัดระวัง
ทั้งสองคนเดินผ่านป่าเขา เท้าเหยียบย่ำใบไม้ร่วงเสียงดังกรอบแกรบ
ระยะห่างระหว่างพวกเขาซับซ้อนนัก ดูเหมือนสนิทสนม แต่ก็ระมัดระวังกันและกันอยู่
พวกเขาสามารถเป็นสหายร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ เป็นสหายที่ต่อสู้เพื่ออุดมการณ์เดียวกันได้ แต่ไม่ทันระวังเมื่อใด ก็จะกลายเป็นเป้าหมายที่กลืนกินกันและกัน
ไม่พูดไม่ได้ว่าความรู้สึกที่เหมือนยืนอยู่บนปลายดาบเช่นนี้ต่างหาก จึงจะเป็นสถานการณ์ที่ไป๋เหลียนคุ้นเคยที่สุด
ฝีเท้าของนางเบาลงเรื่อยๆ เดินไปเดินมา จู่ๆ ก็ถามขึ้นว่า “ทูต เคยมีคนสู้สุดชีวิตเพื่อเจ้าหรือไม่”
“มีสิ!” ทูตกระดูกขาวไม่ได้หันหน้ามา “เจ้าพวกที่คิดจะสังหารข้าไง สู้เอาเป็นเอาตายอยู่บ่อยๆ”
“ก็จริง” ไป๋เหลียนหัวเราะเสียงต่ำ “คนที่เหมือนกับพวกเรา”
……………………………………….