ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 72 เหอะ หน้าไม่อาย!
บันทึกท่องประจิม!
พระยูไล!
หุบเขาห้านิ้ว!
คำเหล่านี้ลอบขึ้นมาในห้วงสำนึกของหลินชิงอวิ๋น ทำให้โลหิตสูบฉีดไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย
ที่แท้ก็เป็นผู้ยิ่งใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ มิน่าเล่าถึงได้แข็งแกร่งเช่นนี้
นางได้ฟังคุณชายหลี่เล่าบันทึกท่องประจิมตั้งแต่ต้นจนจบ ศรัทธาและปรารถนาในโลกนั้น ในยามนั้นเเลเห็นผู้ยิ่ง
ใหญ่ทั้งสองซึ่งดึงดูดความสนใจของผู้คนได้แล้ว ก็บังเกิดความรู้สึกซาบซึ้งเหลือล้น ราวกับแฟนคลับได้พบกับไอดอล
เก่งกาจยิ่งนัก คุณชายหลี่ถึงกับจินตนาการภาพของพวกเขาออกมาได้ บันทึกท่องประจิมต้องเป็นเรื่องราวที่คุณชายหลี่ประสบพบเจอมาไม่ผิดแน่!
บางทีอาจเป็นโลกเซียนครั้นบรรพกาล!
อีกทั้ง…คุณชายหลี่สามารถนึกภาพมรรคาของพระยูไลออกมาได้ หรือจะบอกว่าระดับของคุณชายหลี่นั้นเหนือ
กว่าพระยูไลเสียอีก?
น่ากลัว น่ากลัวเกินไปแล้ว!
ในตอนนั้น ฝ่ามือของพระยูไลก็ทาบทับลงมา พลังอันแข็งแกร่งทำให้ฟ้าดินแปรปรวน
ซุนหงอยังคงอยู่ใต้ฝ่ามือ แม้ว่าพลังตบะของเขาจะล้ำเลิศ ก็ยังไม่อาจหลบหนีจากอาณาเขตของทั้งห้านิ้วนี้ไปได้
หลินมู่เฟิงนิ่งค้างดั่งรูปสลัก ยืนทึ่มทื่ออยู่กับที่ สายตาจับจ้องพระธาตุแผ่ธรรม สัมผัสได้เพียงว่าความพิศวงนั้นทบทวีขึ้นทุกที
ชั่วขณะนั้นเขารู้สึกประหนึ่งเข้าไปแทนที่วานรตัวนั้น กลายเป็นสิ่งที่ถูกกดขี่อยู่ใต้ภูเขาห้านิ้ว ทำนองมรรคาระลอกนั้นก็โหมทับลงบนร่างอย่างไร้ปรานี ทำให้ดวงวิญญาณของเขาสั่นระรัว
แต่ทว่านัยน์ตาของเขากลับเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น
เขาเคยใช้พระธาตุแผ่ธรรมเพื่อให้ประจักษ์ในคำสอนของปฐมาจารย์ ดังนั้นย่อมรู้ว่าความรู้สึกเช่นนี้เป็นอย่างไร
ระดับพลังของคุณชายหลี่สูงส่งเหลือเกิน เพียงแค่สุ่มนึกภาพขึ้นมา ทำนองมรรคาที่แฝงอยู่ล้วนแต่ทำให้ผู้คนต้องตื่นตะลึง เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรียกว่าศาสตร์วิชานั่นของปรมาจารย์แล้ว ย่อมแข็งแกร่งกว่าไม่รู้กี่หมื่นเท่า!
ในครานั้นเอง เขาย่อมไม่รู้สึกเสียดายแม้แต่น้อยที่มรดกตกทอดของปฐมาจารย์สำนักตนถูกลบไป
พระธาตุแผ่ธรรมที่มีภาพเหตุการณ์นี้ ต่อให้อยู่ในโลกเซียนก็เกรงว่าจะเป็นสมบัติล้ำค่า นับประสาอะไรกับโลกบำเพ็ญเซียน!
ทว่าบัดนี้เขาถึงกับมีคุณสมบัติได้เข้าไปรู้แจ้งในคำสอน!
โอกาสครั้งใหญ่!
โอกาสอันยิ่งใหญ่!
คุณชายหลี่ต้องพอใจกับโทรทัศน์นี้มากเป็นแน่ ถึงได้มอบโอกาสอันยิ่งใหญ่นี้แก่ข้า!
โชคหล่นทับแล้ว ต่อให้บรรลุได้เพียงเศษเสี้ยวเดียว ก็มากพอให้ใช้ไปชั่วชีวิตแล้ว!
ตู้มๆๆ!
ฝ่ามืออาบไปด้วยแสงสีทอง ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นภูเขาลูกยักษ์ใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า สุดท้ายแล้วจึงลงมาทับซุนหงอคงไว้เบื้องล่าง
ภาพเหตุการณ์จบลง!
หลี่เนี่ยนฝานลืมตาขึ้น มองไปยังภาพภูเขาห้านิ้วซึ่งเริ่มต้นฉายในผลึกแก้วกลมจริงๆ ทันใดนั้นก็ผุดรอยยิ้มขึ้นมา
ของดี!
เมื่อมีของชิ้นนี้ ชีวิตของเขาต่อจากนี้ก็จะไม่น่าเบื่อแล้วละ
แม้ว่าจะเป็นโทรทัศน์ซึ่งฉายภาพที่ตนจินตนาการขึ้นมา แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีละครให้ดูล่ะมั้ง
หลี่เนี่ยนฝานก็ไม่ได้เกรงใจ บอกออกไปตามตรงว่า “โทรทัศน์นี้ข้าจะรับไว้ ขอบคุณทั้งสองท่าน”
“คุณชายหลี่เกรงใจแล้ว เป็นเพียงของเล่นเล็กน้อยก็เท่านั้น” หลินมู่เฟิงรีบฉีกยิ้ม
เขานึกลิงโลดอยู่ในใจ นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี
หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้า พร้อมเอ่ยเชื้อเชิญ “นี่ก็สายมากแล้ว มิสู้ทั้งสองท่านอยู่กินข้าวด้วยกันก่อน”
หลินมู่เฟิงทำท่าจะปฏิเสธอย่างสุภาพ แต่หลินชิงอวิ๋นกลับแย่งพูดขึ้นทันควันอย่างกระตือรือร้น “เช่นนั้นก็รบกวน
คุณชายหลี่แล้ว”
หลี่เนี่ยนฝานหัวเราะลั่น “ไม่ได้รบกวนหรอก วันนี้พวกท่านมาได้จังหวะ เมื่อวานข้าล่านกอินทรีตัวใหญ่มาได้พอดี
วันนี้จะกินน้ำแกงเห็ดตุ๋นเนื้อนกอินทรีน่ะ พวกท่านมีลาภปากแล้ว”
“นายท่าน อาหารจวนจะเสร็จแล้วขอรับ” เสียงของเสี่ยวไป๋ดังมาทันท่วงที
ในตอนนั้น เขาก็ยกหม้อดินใบยักษ์ใหญ่เดินออกมา ในน้ำแกงใส่เครื่องเทศหลายหลากชนิด เห็ดและเครื่องอื่นๆ ล้วนถูกหั่นเป็นแผ่นๆ อย่างประณีต เหลือรอเพียงน้ำเดือดเท่านั้น
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มบาง “ดูแล้วเวลาประจวบเหมาะพอดี พวกท่านนั่งรอสักประเดี๋ยว ข้าจะไปดูสักหน่อย”
หลินชิงอวิ๋นจึงได้จังหวะกระซิบบอกหลินมู่เฟิง “ท่านพ่อ ท่านเกือบพลาดโอกาสสำคัญไปแล้ว!”
“โอกาสอันใดหรือ” หลินมู่เฟิงงุนงงอยู่บ้าง ขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “เจ้าตอบรับไปเช่นนั้นเสียมารยาทเกินไป ไม่รู้จักเด็กรู้จักผู้ใหญ่ ระวังจะไปทำให้ปรมาจารย์ขุ่นเคือง!”
“ท่านพ่อ ท่านลืมที่ข้าเคยบอกกับท่านไปแล้วหรือเจ้าคะ เรื่องที่ครั้งก่อนลั่วซืออวี่กินข้าวต้มเปล่าแล้วทะลวงขั้นสำเร็จน่ะ” หลินชิงอวิ๋นเอ่ยอย่างคาดหวัง “สิ่งที่ปรมาจารย์กินจะเป็นของธรรมดาได้หรือ ย่อมต้องเป็นของดีอยู่แล้ว!”
ดวงตาของหลินมู่เฟิงเป็นประกายขึ้นในทันใด บ่งบอกว่ากระจ่างในสิ่งที่นางพูด
กระนั้นก็ยังคงส่ายหน้า เอ่ยตำหนิว่า “เจ้ายังไม่เข้าใจดีพอ! ต่อให้เป็นโอกาสครั้งใหญ่ก็ไม่อาจทำเช่นนี้! โอกาสเป็นของปรมาจารย์ เขามอบให้พวกเราย่อมนับว่าเป็นโชค หากไม่ให้ พวกเราก็ไม่อาจบากหน้าไปวอนขอ! เมื่อครู่ข้าไม่ว่าอย่างไรก็ต้องบอกปัดไปสักคำรบจึงจะตอบรับ ไหนเลยจะเสียมารยาทอย่างเจ้า! ครั้งหน้าระวังสักหน่อย เข้าใจไหม”
หลินชิงอวิ๋นแลบลิ้น รู้สึกกลัวขึ้นมาเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ จึงพูดขึ้นอย่างระแวง “ท่านพ่อ ข้าผิดไปแล้ว คุณชายหลี่จะโกรธไหมนะ”
หลินมู่เฟิงผ่อนลมหายใจแผ่วเบา “ความคิดของปรมาจารย์ ผู้ใดเล่าจะหยั่งรู้ พวกเราตามไปช่วย หวังว่าจะกู้ภาพลักษณ์ในใจของปรมาจารย์ได้”
พวกเขาเดินไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง กล่าวกับหลี่เนี่ยนฝานอย่างนบนอบ “คุณชายหลี่ มีสิ่งใดให้พวกข้าช่วยไหม”
หลี่เนี่ยนฝานชำเลืองมองกองฟืนซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะยิ้มพลางส่ายหน้า “ผู้มาเยือนนับเป็นแขก พวกท่านไปนั่งรอก็พอแล้ว”
“ได้ที่ไหนกัน พวกข้าจะมารอกินอย่างเดียวไม่ได้”
หลินมู่เฟิงพอจะจับความได้ จึงสาวเท้าไปยังกองฟืนด้านข้าง พับแขนเสื้อขึ้น “คุณชายหลี่ งานผ่าฟืนประเดี๋ยวข้าจัดการเอง!”
หลี่เนี่ยนฝานเห็นเขากระตือรือร้นเช่นนี้ ก็ไม่พูดอะไรอีก ทำได้เพียงรำพันในใจว่า ผู้บำเพ็ญเซียนที่ตนได้รู้จักนั้นช่างเป็นคนดีเหลือเกิน!
หรือว่าจะเป็นสูตรโกงของเขา?
ถึงแม้จะเป็นปุถุชน แต่ฉันก็มากับดวง ผู้คนที่ได้พบเจอก็เป็นคนดีทั้งนั้นเลยหรือ? ทำให้ฉันไม่ต้องกังวลใจ?
สูตรโกงนี้ไม่เลวเลย ฉันชอบ
หลี่เนี่ยนฝานพลันผุดยิ้มบนใบหน้า
ส่วนหลินมู่เฟิงก็กำลังนั่งอยู่หน้ากองฟืน มองซ้ายมองขวา ฉวยมือคว้ากระบี่จุ้ยหมัวข้างกองฟืนขึ้นมา
สายตาของเขาออกจะซับซ้อน สลดใจอย่างห้ามไม่อยู่ “เป็นถึงกระบี่จุ้ยหมัวอันเลื่องชื่อเชียวนะ ผู้ฝึกมารนับไม่ถ้วนปรารถนา เล่ากันว่าหากได้มาครอบครองย่อมเท่ากับได้รับพรจากโลกมาร คงไม่มีผู้ใดคิดว่ามันจะถึงกับกลายเป็นมีดผ่าฟืนกระมัง”
หากเป็นเมื่อก่อน เป็นไปได้มากว่าหลินมู่เฟิงคงจะหลีกให้ห่างจากกระบี่จุ้ยหมัว ทว่าบัดนี้กลับไม่ครั่นคร้ามแม้แต่น้อย
“จิตมารของเจ้าเล่า ไม่เก่งกาจเสียแล้วหรือ” หลินมู่เฟิงมองประเมินกระบี่จุ้ยหมัว อดนึกถึงพระธาตุแผ่ธรรมซึ่งตนมอบให้หลี่เนี่ยนฝานไปอย่างอดไม่ได้ “ของเหล่านี้หนอ ยามปกติแกร่งกล้าเหลือล้น ต่อหน้าปรมาจารย์กลับว่านอนสอนง่ายขึ้นมาทันที แม้แต่ความทะนงตนก็ยังไม่มี เหอะ หน้าไม่อาย!”
ไม่ได้การ ข้าต้องรีบผ่าฟืน แสดงความสามารถต่อหน้าปรมาจารย์ให้ดี
หลินมู่เฟิงจัดแจงวางไม้ท่อนหนึ่งลง จากนั้นจึงยกกระบี่จุ้ยหมัวขึ้น แล้วผ่าลงเต็มแรง!
ฉับ!
กระบี่จุ้ยหมัวตัดลงกลางไม้เพียงสามชุ่นก่อนจะหยุดลง
หลินมู่เฟิงตะลึงงัน
เกิดอะไรขึ้นกัน
ข้าผ่าลงครั้งเดียว ไม้ก็ควรจะแยกออกเป็นสองซีกไม่ใช่หรือ
………………………………………….