ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 26 ในหม้อมีแต่หลักคำสอน
เมื่อเอ่ยถึงกินข้าว ทุกคนจึงได้สติจากความตื่นตะลึงในโคลงคู่
จ้าวซานเหอะและไป๋อู๋เฉินสบตากัน เม้มปากด้วยสีหน้าซับซ้อน
พลังของปรมาจารย์ท่านนี้สูงส่งเหลือเกิน เกรงว่าแค่คำว่าเซียนคงไม่อาจพรรณนาเขาได้กระมัง
เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง ต่อให้ขอเพียงตัวอักษรเดียวจากเขาได้ ก็นับว่าเป็นวาสนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดแล้ว สามารถนำไปเก็บเป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล ส่งต่อให้คนรุ่นหลัง
จ้าวซานเหอหัวใจคันยุบยิบชักจะทนไม่ไหว จึงกระซิบว่า “ไป๋อู๋เฉิน เจ้าได้ภาพเขียนนั่นมาจากคุณชายหลี่ไม่ใช่
หรือ เอามาให้ข้าดูหน่อยเร็ว”
“ตอนนี้เกรงว่าคงไม่ได้” ไป๋อู๋เฉินมีสีหน้าขมขื่น ดวงตามีน้ำตาเอ่อล้น
“ทำไมกัน มิตรภาพของพวกเรามีมานานเพียงนี้ เจ้ายังจะปิดบังข้าอีกหรือ ให้ดูสักหน่อยก็ไม่ได้” จ้าวซานเหอเอ่ย
อย่างเดือดดาล
“ไม่ใช่ข้าไม่ให้ แต่ภาพเขียนแผ่นนั้น…ถูกมารกระบี่ทำลายไปแล้ว” ไป๋อู๋เฉินพูดอย่างชอกช้ำ
“อะไรนะ!”
ใบหน้าแก่ชราของจ้าวซานเหอพลันแดงก่ำ โมโหจนเคราแทบชี้ขึ้นฟ้า ยกนิ้วชี้หน้าไป๋อู่เฉินบริภาษยกใหญ่ “เจ้ามันไม่ได้เรื่อง ของล้ำค่าเช่นนี้รักษาเอาไว้ไม่ได้ ไม่มีภาพวาดนั้นแล้ว เจ้ายังมายืนหน้าสลอน ไม่อายบ้างรึ!”
ไป๋อู๋เฉินในใจเจ็บปวดราวกรีดเลือด สิ่งที่เขาไม่ยินดีทำมากที่สุดในชีวิตก็คือการนึกถึงเรื่องนี้ “ผู้เฒ่าจ้าว ท่านคิดว่าข้าอยากให้เป็นเช่นนี้หรือ ตอนนั้นข้าอยากจะตาย แต่ไม่ยอมให้ภาพนั้นเป็นอะไรเสียด้วยซ้ำ!”
เขามีอายุตั้งกี่ร้อยปีแล้ว เวลานี้ดวงตาทั้งสองข้างมีน้ำตาเอ่อคลอ จวนจะร่ำไห้อยู่รอมร่อ
ภาพวาดนั้นทำให้สำนักเซียนวั่นเจี้ยนธำรงอยู่ได้เป็นหมื่นชาติเชียวนะ!
จ้าวซานเหอรู้ว่าไป๋อู๋เฉินเจ็บใจจริงๆ หากเปลี่ยนเป็นตนเอง ก็ย่อมรู้สึกย่ำแย่เช่นเดียวกัน สุดท้ายก็ทำได้เพียงทอดถอนใจยาวๆ “เฮ้อ!”
“พวกท่านทั้งสองถอนหายใจทำไมหรือ ระหว่างกินข้าวควรทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ไม่เช่นนั้นจะเป็นการดูแคลนอาหารเลิศรส” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มพลางพูดกับพวกเขาสองคน
ผู้พูดมิได้ใส่ใจ ผู้ฟังกลับเข้าใจ
“คุณชายหลี่…”
ไป๋อู๋เฉินมองไปยังหลี่เนี่ยนฝาน ขอบตาแดงเรื่อ ดวงตาเอ่อท้นด้วยน้ำตาแห่งความซาบซึ้งใจ
คุณชายหลี่กำลังเตือนเขาอยู่!
เขารู้แต่แรกเป็นแน่ว่าตนไม่อาจรักษาภาพวาดของเขาให้ดีได้ ในเมื่อยามนี้บอกให้ทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว นัยยะแฝงของคำพูดก็คือไม่กล่าวโทษตนเองแล้ว
ฮือๆๆ คุณชายหลี่ใจกว้างเหลือเกิน!
ในชั่วพริบตาเดียว ไป๋อู๋เฉินก็บังเกิดความซื่อสัตย์ภักดีกับหลี่เนี่ยนฝาน
เวลานั้น พวกเขาถึงได้เบนสายตาไปยังโต๊ะหินซึ่งอยู่ไม่ไกลออกไป
ทันที่ที่มองไป ไป๋อู๋เฉินและจ้าวซานเหอก็พลันเผยสีหน้าตกตะลึง
อาหารเหล่านี้…งดงามเหลือเกิน
งดงามถึงขั้นว่าแลดูราวกับประณีตศิลป์ก็มิปาน
เนื้อม้วนแผ่นบางเหล่านั้น ความบางสม่ำเสมอกัน ม้วนจนเป็นเส้น จัดเรียงไว้บนจานเป็นระเบียบเรียบร้อย เนื้อแดงแทรกเนื้อมันอย่างสมดุล ตระการตาขั้นสุด
เมื่อมาพิศดูผักก็จัดวางไว้เป็นระเบียบเช่นกัน จัดจำแนกผักสีเดียวกันไว้ด้วยกัน เจริญตาเจริญใจเสียจริง
นอกจากนั้นแล้ว ยังมีอาหารซึ่งมองจากภายนอกเป็นทรงกลมดิก พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่ามองแล้วก็ชวนให้อยากกิน
“นี่ นี่คือ…”
ไป๋ลั่วซวงมองอาหารอันโอชะเบื้องหน้า อ้าปากพะงาบจนเป็นรูป ‘O’ น้ำลายสอออกมาที่มุมปากอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว จนเกือบหยดย้อยลงมา
หลินชิงอวิ๋นไม่อาจต้านทานความยั่วยวนของอาหารได้เช่นกัน กลืนน้ำลายอึกแล้วอึกเล่า ไม่คาดคิดว่าหัวใจอันแข็งแกร่งเย็นชามาแต่ไหนแต่ไรกลับไม่อาจทนต่อการโจมตีของอาหารแสนอร่อยนี้
ยังไม่ทันได้เริ่มต้นด้วยซ้ำไป ลำพังรูปลักษณ์ภายนอกของอาหารก็ยั่วยวนจนทนไม่ไหว
นี่คืออาหารของเซียนหรืออย่างไร
วันนี้มีลาภปากได้ลิ้มลอง ชั่วชีวิตนี้ไม่เสียดายแล้ว
“โครกครากๆ”
ตำแหน่งตรงกลางของสำรับ น้ำแกงในหม้อใบนั้นเริ่มเดือดพล่าน ฟองน้ำแกงกลิ้งวนไม่หยุด
“หืม? หม้อใบนี้…”
ไป๋อู๋เฉินและคนอื่นๆ ชะงัก มองไปในหม้อก็คล้ายกับเห็นมรรคาอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดิน
หม้อรูปร่างกลมถูกแบ่งด้วยเส้นโค้ง ฝั่งหนึ่งของเส้นโค้งเป็นน้ำมันพริกสีแดงฉาน อีกฝั่งหนึ่งเป็นน้ำต้มกระดูกสีขาวข้น ดูแล้วคล้ายกับสัญลักษณ์ไท่จี๋
นี่มันวิถีหยินหยางชัดๆ!
ปรมาจารย์ก็คือปรมาจารย์ แม้แต่หม้อสำหรับกินข้าวยังแฝงไปด้วยหลักธรรมคำสอน ข้าไม่อาจเทียบเทียมได้
ทุกคนได้เรียนรู้แล้วอย่างเงียบเชียบ
หลี่เนี่ยนฝานสังเกตเห็นสีหน้าของเขา อดลอบขบขันตนเองไม่ได้ ผู้บำเพ็ญเซียนแล้วยังไง เมื่อมาอยู่ต่อหน้าฉันก็เป็นเพียงเต่าทองตัวหนึ่ง แค่หม้อสุกี้สองช่อง ก็ทำให้ทุกคนตกอกตกใจได้แล้ว
ไป๋ลั่วซวงอดใจรอไม่ไหว เอ่ยถาม “คุณชายหลี่ อาหารนี้กินอย่างไรหรือ”
“ง่ายมาก เพียงแค่ใส่ลงไปต้มในหม้อ ประเดี๋ยวเดียวก็สุกแล้ว” หลี่เนี่ยนฝานยังทำเป็นตัวอย่าง คีบเนื้อเสือชิ้นหนึ่งขึ้นมาใส่ลงในน้ำมันพริกเดือดปุดๆ
เขาคุ้นชินกับการกินเผ็ด ทำให้เจริญอาหาร
เนื้อนั้นบางมาก ต้มในน้ำเพียงสิบวินาทีก็กินได้แล้ว ความสุกกำลังพอดี
“หลังจากสุกแล้ว ก็จิ้มลงในน้ำจิ้ม”
หลี่เนี่ยนฝานอ้าปาก งับเนื้อเข้าเต็มปาก
ว้าว ความรู้สึกนี้มัน สุดยอด!
ไป๋ลั่วซวงทำตามหลี่เนี่ยนฝาน คีบเนื้อม้วนลงต้มจนสุกในหม้ออย่างอดรนทนไม่ไหว
“โอ๊ย เผ็ดเหลือเกิน!”
ทันทีที่เนื้อเข้าปาก ไป๋ลั่วซวงก็ร้องออกมาด้วยความตกใจอย่างห้ามไม่อยู่
น้ำมันพริกเคลือบเนื้ออยู่ชั้นหนึ่ง ด้านนอกอาบด้วยเครื่องเทศในน้ำจิ้ม เข้ากับเนื้อร้อนกรุ่นอย่างลงตัว ทำให้รสอร่อยล้ำแผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก
ความรู้สึกนั้นช่างเหมือนกับเป็นถังใส่ผงดินปืน จุดเพียงนิดเดียวก็ติดไฟแล้ว
ใบหน้าของไป๋ลั่วซวงเป็นปื้นแดง ความเผ็ดผสมผสานกับความร้อนทำให้ปากของนางชาไป ทว่าความรู้สึกนี้ดีเหลือเกิน ทำให้รับรสได้มากอย่างยิ่งยวด
แรกเริ่มหลินชิงอวิ๋นออกจะเหนียมอายอยู่บ้าง กระนั้นหลังจากที่เนื้อแผ่นแรกเข้าปาก นางก็ไม่อาจรักษาภาพสักษณ์ได้อีก
อร่อยเกินไปแล้ว!
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยามที่นางคีบอาหารใส่ปาก ส่วนลึกในใจก็จะปรากฏความรู้สึกอิ่มเอมอย่างที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อน เรื่องราวชวนปวดเศียรเวียนเกล้าพลันมลายหายไปทันใด
ทุกคนล้วนกินกันจนปากมัน เคี้ยวอย่างเร็วรี่ พ่นไอร้อนออกมาเรื่อยๆ มุมปากของพวกเขายกขึ้นด้วยความเปรมปรีดิ์โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
หลี่เนี่ยนฝานมองพวกเขา อดคลี่ยิ้มออกมาไม่ได้
จำได้ว่าในโลกเดิมมีคำพูดติดปากว่า ‘การกินหม้อไฟทำให้คนลืมความทุกข์’
คิดไม่ถึงว่าจะใช้กับผู้บำเพ็ญเซียนได้เช่นกัน
ในการกินหม้อไฟ สิ่งที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ย่อมเป็นเนื้อม้วน
เนื้อม้วนแผ่นบางเฉียบ ถึงแม้จะได้รสสัมผัสที่ดี แต่กินเท่าไรก็ไม่พอ แรกเริ่มเดิมทีความสนใจนั้นล้วนจดจ่ออยู่ที่การสวาปามเนื้อ
มิหนำซ้ำยังเป็นเนื้อปีศาจอีกด้วย
กระนั้นแล้ว หลังจากกินไปสักพัก ไป๋อู๋เฉินก็รู้สึกว่าตนเองกินเนื้อเพียงอย่างเดียวออกจะดูไม่ดีนัก กลัวว่าปรมาจารย์จะไม่พอใจ จึงคีบผักกวางตุ้งชิ้นหนึ่งมาต้มลงในหม้อ
ปุดๆๆๆ
ไม่นาน ผักกวางตุ้งก็ลอยขึ้นมาพร้อมน้ำแกงเดือด
ไป๋อู๋เฉินคีบผักกวางตุ้งขึ้นมา จิ้มลงในน้ำจิ้มเฉกเช่นก่อนหน้า แล้วจึงใส่เข้าปากเคี้ยวกลืน
เอ๊ะ?
รสชาติของผักก็อร่อยนี่นา
ไป๋อู๋เฉินลิ้มลองอย่างละเมียดละไม
ถึงแม้จะไม่ทำให้รู้สึกทึ่งอย่างเนื้อม้วน แต่ก็มีรสชาติกลมกล่อมเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
กินเนื้อมากเกินไปอาจเลี่ยนได้ ทว่าผักยิ่งกินยิ่งอร่อย
กระนั้นแล้วผ่านไปไม่ทันไร ไป๋อู๋เฉินก็หยุดเคี้ยวลงฉับพลัน นัยน์ตาหดวูบเหลือเท่าปลายเข็ม ใบหน้าเปี่ยมไปด้วยความเหลือเชื่อ
“นี่ นี่มัน…”
ไป๋อู๋เฉินหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง สัมผัสได้เพียงหัวใจที่เต้นระส่ำ
ในผักก็เจือทำนองมรรคาหรือนี่!