ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 23 สั่งฟ้าสั่งฝน
ไป๋อู๋เฉินยิ้มขื่น ในใจอมทุกข์
ไฉนก่อนหน้านี้ตนถึงไม่ตื่นรู้ในเจตนาของปรมาจารย์ ถึงกับไม่ได้จองภัตตาคารให้ปรมาจารย์ล่วงหน้า แต่กลับปล่อยให้หลินชิงอวิ๋นตัดหน้าไปเสียได้ ปรมาจารย์กำลังเตือนเขาอยู่!
ผู้เฒ่าจ้าวสังเกตเห็นว่าไป๋อู๋เฉินทอดถอนใจเป็นพักๆ จึงรู้สึกระแวงยิ่งกว่าเดิม ตั้งใจฟังเรื่องราวที่หลี่เนี่ยนฝานเล่า
ขณะนั้น เขาเล่ามาถึงตอนที่พระอาจารย์ผู่ถีถ่ายทอดคัมภีร์ให้ซุนหงอคงอยู่
“พระอาจารย์กล่าวว่า ‘บัดนี้เจ้ามีชะตา ข้าก็ยินดี ในเมื่อตีความในปริศนาออก เจ้าจงขยับขึ้นมา เงี่ยหูสดับให้ดี ข้าจักบอกซึ่งวิถีอายุวัฒนะแก่เจ้า’ หงอคงโขกศีรษะขอบคุณ ฟังอย่างจดจ่อ คุกเข่าบนอาสนะ…”
มีชะตา?
ยินดี?
วิถีอายุวัฒนะ?
หลินชิงอวิ๋น ไป๋อู๋เฉิน และผู้เฒ่าจ้าวล้วนชะงักงัน ส่วนลึกของดวงตาประกายวาบความตื่นเต้นระคนตกใจ
ร่างกายสั่นเทิ้มเล็กน้อย
บรรยายวิถีอายุวัฒนะได้จริงหรือ
ในใจของพวกเขาเชื่อมั่นว่าปรมาจารย์ท่านนี้หยิบยืมคำพูดของพระอาจารย์ผู่ถีมาถ่ายทอดให้ตน บอกเป็นนัยว่าพวกตนมีชะตา
โดยเฉพาะผู้เฒ่าจ้าว เขาเป็นไม้ใกล้ฝั่ง อยู่ดีๆ ก็ได้มาฟังวิถีอายุวัฒนะ แม้แต่ลมหายใจก็พลันชะงักไปอย่างห้ามไม่อยู่
มือซึ่งถือพู่กันของเมิ่งจวินเหลียงกำแน่น เม้มปาก ด้วยกลัวว่าจะฟังตกไปแม้แต่คำเดียว
“พระอาจารย์กล่าวว่า ‘การสำเร็จมรรคผล มิอาจเล่าสิ่งอื่นใด ล้วนมาจากฐานกาย พลังชีวิต และจิตวิญญาณ จงรักษาไว้ให้ดี อย่าให้รั่วไหล เก็บไว้กับตัว เจ้านำสิ่งที่ข้าบอกล่าวไปใช้…’”
พระสูตรสูตรแล้วสูตรเล่าถ่ายทอดจากหลี่เนี่ยนฝาน ประหนึ่งคำเทศนาคอยย้ำเตือน ระคนเสียงแห่งธรรมส่งผ่านมาในโสตประสาท ผู้คนบ้างก็พลันนัยน์ตามุ่งมั่น คล้ายว่าตื่นรู้ บ้างก็สีหน้าดังเดิม ไร้ซึ่งความรู้สึก
ไป๋อู๋เฉินยังคงร่างแข็งเกร็ง ห้วงสำนึกส่งเสียงอึกทึกอยู่ร่ำไป
วิถีทาง!
นี่คือวิถีทางแห่งอายุวัฒนะ!
สมองของเขาชาหนึบ ทั้งร่างขนลุกซู่จนแทบหลุดร่วงลงกับพื้น
ประโยคเหล่านี้ยากแก่การเข้าใจ พวกเขาฟังแล้วงงงวยสับสน ทำได้เพียงรีบจดจำใส่ใจ
ครืน!
เมฆดำหนาทึบเคลื่อนเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าเหนือเมืองลั่วเซียนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย สายอัสนีบาตผ่าฟาดบนชั้นเมฆราวกับงูสีเงิน ทำให้เมืองลั่วเซียนถูกอาบกลายเป็นสีเงิน
ซู่!
หลังจากนั้น สายฝนห่าใหญ่ก็เทลงมา หากมองจากระยะไกลจะดูราวกับถูกม่านฝนโอบล้อมไว้
ผู้คนบนถนนต่างรีบหาที่หลบฝน รู้สึกแปลกใจกับธรรมชาติที่ปรวนแปร
ผู้คนในภัตตาคารไม่รู้ความเคลื่อนไหวภายนอก ความสนใจของพวกเขาล้วนจดจ่ออยู่ในเนื้อเรื่อง
ซุนหงอคงร่ำเรียนวิชาความรู้ เหาะเหินเดินอากาศ มุดลงพื้นพิภพ แปลงกายเจ็ดสิบสองร่าง แต่ละอย่างล้วนทำให้
ผู้คนตื่นตะลึง
ไป๋อู๋เฉินเองก็ตื่นตะลึง กล่าวอย่างขมขื่น “พลังวิเศษเช่นนี้แข็งแกร่งกว่าวรยุทธ์ที่พวกเราฝึกไม่รู้ตั้งกี่เท่า”
“เมื่อเทียบกันแล้ว วรยุทธ์ของผู้บำเพ็ญเซียนอย่างพวกเราก็เป็นได้แค่ผายลมเท่านั้นละ!” ผู้เฒ่าจ้าวพูดตามตรง
ความเคลือบแคลงสงสัยในใจของเขามลายไปสิ้น โชคดีเหลือเกินที่ตนติดตามไป๋อู๋เฉินมา ไม่อย่างนั้นคงพลาดโอกาสอันดีงามเช่นนี้ไป
นี่คือโลกของเซียนหรือ? ความสามารถระดับนี้ช่างอัศจรรย์เหลือเกิน
ในตอนนั้น ต่อให้หลี่เนี่ยนฝานบอกว่าตนไม่ได้เป็นเซียน ก็คงไม่มีใครเชื่ออีกแล้ว
ถ้าหากไม่ใช่เซียน ทำไมท่านถึงรู้ว่าโลกที่เซียนอยู่นั้นเป็นอย่างไร ทำไมถึงเข้าใจพลังวิเศษของเซียนดีเพียงนั้นเล่า
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มบาง เล่าต่อ “เมื่อรู้ชื่อแซ่ของตนแล้ว ก็กลับสู่ครรลอง ปฏิบัติดีรอวันจารึกนามไว้เป็นเซียน สุดท้ายจะมีผลเช่นใดไม่อาจรู้ โลกนี้จะเป็นอย่างไร เชิญสดับในบทต่อไป”
จบอีกแล้วหรือ?
ฝูงชนต่างรู้สึกฉงนใจอยู่บ้าง ยามนี้ถึงได้พบว่าข้างนอกสายฝนโหมกระหน่ำ เมฆครึ้มคล้อยเข้าบดบังดวงอาทิตย์ ฟ้าฝ่าส่งเสียงดังเป็นระลอก
ปุถุชนไม่น้อยคำนับท้องฟ้าอย่างยำเกรง ขอพรให้เหล่าเซียนคุ้มครอง
ในร้อยปีมานี้ เมืองลั่วเซียนไม่เคยมีปรากฏการณ์ครั้งใหญ่เช่นนี้มาก่อน
ไป๋อู๋เฉินและผู้เฒ่าจ้าวมองหน้ากัน ในใจคาดเดาได้แล้ว
พลังของปรมาจารย์นั้นล้ำลึกเกินหยั่งรู้ เพียงแค่เล่านิทานสั้นๆ ก็นำพามาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน น่ากลัวจริงๆ
หลี่เนี่ยนฝานเดินไปยังประตูภัตตาคาร มองแพเมฆดำเหนือศีรษะ ก็ขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ “สภาพอากาศแปรปรวนผิดปกติ ฝนตกหนักเช่นนี้น่ารำคาญใจเหลือเกิน รีบหยุดตกเร็วๆ เถอะ”
ในสระน้ำหลังเรือนของเขา เงาร่างสีทองสายหนึ่งเคลื่อนผ่าน เข้าไปยังกลีบเมฆดำ
“คุณชายหลี่ มิสู้ให้ข้าไปส่งท่านดีกว่าหรือ รับรองว่าท่านจะไม่เปียกฝน” ไป๋อู๋เฉินรีบพูดขึ้น ฉวยจังหวะแสดงตน
ทว่าครู่ต่อมา แสงอาทิตย์สายหนึ่งก็ลอดผ่านกลีบเมฆฝนออกมา ส่องสว่างไปยังเท้าของหลี่เนี่ยนฝาน
จากนั้น เมฆครึ้มก็พลันร่นถอยกระจายตัว สายฝนแลดูคล้ายกับถูกบีบบังคับให้หยุดลงอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“เฮือก”
ไป๋อู๋เฉินและคนอื่นๆ สูดลมเย็นเฮือกหนึ่งพร้อมกันทันใด ต่างคนต่างหันขวับไปมองหลี่เนี่ยนฝาน
สั่งฟ้าสั่งฝนได้!
แม้แต่ธรรมชาติยังให้เกียรติปรมาจารย์!
หลี่เนี่ยนฝานกลับไม่ได้นึกเอะใจ เพียงแต่รู้สึกว่าตนเองโชคดีไม่เบา ก่อนจะเดินอาดออกไปจากภัตตาคาร
“คุณชายหลี่ช้าก่อน” เมิ่งจวินเหลียงไล่ตามมาจากด้านใน “คุณชายหลี่ ข้าขอเขียนนามของท่านไว้ในบันทึกท่อง
ประจิมได้หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ได้เด็ดขาด” หลี่เนี่ยนฝานส่ายหน้า
ที่นี่เป็นโลกผู้บำเพ็ญเซียน เขาไม่อยากทำตัวเอิกเกริกเป็นจุดสนใจ
“ที่จริงคนชื่ออู๋เฉิงเอินเป็นคนแต่งนิทานเรื่องนี้ เจ้าเขียนชื่อเขาเถิด”
“อู๋เฉิงเอิน อู๋เฉิงเอิน…”
เมิ่งจวินเหลียงพึมพำชื่อนี้กับตนเอง นัยน์ตากลับเป็นประกายวับ ก้มคำนับพร้อมพูดว่า “คุณชายหลี่ปราดเปรื่องยิ่งนัก ข้าเข้าใจแล้ว!”
เจ้าเข้าใจอะไร
หลี่เนี่ยนฝานแดกดันอยู่ในใจ ขี้คร้านจะสนใจเขาอีก
น่าอายจริงๆ
ไหนเลยจะคิดว่าไป๋อู๋เฉินและคนอื่นๆ ซึ่งอยู่ด้านข้างก็พลันกระจ่างเช่นกัน ต่างมองหลี่เนี่ยนฝานด้วยสายตาเลื่อมใส อู๋เฉิงเอิน[1]นี่ไม่ได้หมายถึงขอทุกคนอย่าได้รู้สึกซาบซึ้ง แบกรับบุญคุณหรอกหรือ
บันทึกท่องประจิมจะต้องสั่นสะเทือนโลกบำเพ็ญเซียนครั้งใหญ่เป็นแน่ ลำพังเรื่องวิถีอายุวัฒนะที่ได้ฟังวันนี้ก็
เรียกได้ว่าล้ำค่าหาสิ่งใดเปรียบ เล่าออกมาได้อย่างเปิดเผย นี่คือหนังสือที่ต้องเป็นเซียนเท่านั้นจึงจะอ่านได้!
ปรมาจารย์ไม่เพียงยินดีเล่าออกมา ทั้งยังเปลี่ยนชื่อของตนเป็นอู๋เฉิงเอิน พ้องเสียงกับคำว่าไม่ต้องแบกรับบุญคุณ
ล้ำ ล้ำเลิศเหลือเกิน!
ปรมาจารย์ทำสิ่งใด ย่อมแฝงนัยยะอันลึกซึ้ง
ผู้เฒ่าจ้าวรีบดึงไป๋อู๋เฉิน ส่งสายตาให้เขาอย่างบ้าคลั่ง
ไป๋อู๋เฉินจึงลากผู้เฒ่าจ้าวมายังข้างกายหลี่เนี่ยนฝาน เอ่ยแนะนำอย่างนอบน้อม “คุณชายหลี่ นี่คือสหายเก่าแก่
ของข้า มีนามว่าจ้าวซานเหอ เขาชื่นชมในความปราดเปรื่องของท่านมานาน ไหว้วานให้ข้าแนะนำให้ท่านรู้จักให้ได้”
“ที่แท้ก็เป็นท่านจ้าว” หลี่เนี่ยนฝานยิ้มน้อยๆ ในเมื่อเขาชื่นชมความเก่งกาจของฉัน ก็ต้องเป็นผู้มีอารยะคนหนึ่งในโลกบำเพ็ญเซียนอย่างแน่นอน
จ้าวซานเหอรีบทักทายด้วยความเคารพ “คำนับคุณชายหลี่”
“ท่านจ้าวเกรงใจเกินไปแล้ว”
หลี่เนี่ยนฝานยิ้มตอบ ผู้มีอารยะก็คือผู้มีอารยะวันยังค่ำ นิสัยใจคอสูงส่ง ต่อให้ตนเป็นปุถุชน เขาก็ยังปฏิบัติด้วยอย่างมีมารยาท
เป็นโชคดีของตนแท้ๆ ที่ผ่านมาล้วนแต่พบเจอกับผู้บำเพ็ญเซียนที่เป็นมิตร ทำให้สบายใจดีจริงๆ
จ้าวซานเหอและคนอื่นๆ เดินไปส่งหลี่เนี่ยนฝานที่ประตูเมือง
หลี่เนี่ยนฝานลูบศีรษะนานนาน ยิ้มเอ่ย “นานนาน แล้วเจอกันนะ”
นึกไม่ถึงว่านานนานจะถึงกับตอบตนเอง “เจอ…กัน”
ผลการรักษาดีเกินคาด ได้ผลดียิ่งกว่ายาวิเศษชนิดใดเสียอีก
ไป๋อู๋เฉินและคนอื่นๆ ลอบทอดถอนใจ “คุณชายหลี่เป็นผู้วิเศษโดยแท้!”
……………………………………..
[1] คำว่า ‘อู๋ (吴)’ ซึ่งเป็นแซ่ของอู๋เฉิงเอิน ผู้ประพันธ์เรื่องไซอิ๋ว พ้องเสียงกับคำว่า ‘อู๋ (无)’ ที่แปลว่าปราศจาก