ที่แท้ข้าก็คือลูกพี่เซียน - ตอนที่ 12 ข้าคือกระบี่มาร
หงส์ฟ้าสีเพลิงปรากฏตัวแล้ว สถานที่แห่งนี้ก็พลันร้อนแรงขึ้นมา ทะเลเพลิงลุกโชน
พื้นที่โดยรอบราวกับถูกกักขัง ไม่มีผู้ใดเคลื่อนไหวไปได้
“อ๊าก! ตายซะเถอะ!”
มารกระบี่คำรามลั่น ปราณมารพลุ่งพล่าน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับหงส์ฟ้าแล้วก็เหมือนกับเปลวเทียนกับดวงจันทร์วันเพ็ญ
หงส์ฟ้าสยายปีก สายตาไม่แม้แต่จะเหลือบมองมารกระบี่ หางกวาดไปอย่างไร้ทิศทาง เพลิงยักษ์ลุกโหมดุจมังกร ปกคลุมมารกระบี่ไว้ ในชั่วพริบตาเดียวก็อันตรธานหายไปในอากาศ
“เคร้ง!”
กระบี่จุ้ยหมัวร่วงหล่นลงจากกลางอากาศ มารกระบี่กลับสลายกลายเป็นไอน้ำ จากไปโดยที่ไม่อาจนำสิ่งใดติดไปได้เลย
หงส์ฟ้ากลับไปยังป้ายหยก ทุกสิ่งพลันเงียบสงบ ราวกับเมื่อครู่เป็นเพียงความฝัน
“เอ่อ…”
พวกไป๋อู๋เฉินตกตะลึงอ้าปากค้าง เม็ดเหงื่อใสบนใบหน้าหยดลงมาไม่ขาดสายประหนึ่งน้ำไหล ตกใจสุดขีด
“มารกระบี่…ตายแล้ว?”
สตรีสวมอาภรณ์ทางการเลียรีมฝีปากแห้งผาก พึมพำกับตัวเอง
ใครจะไปคิดเล่าว่ามารกระบี่ที่ยโสโอหัง สังหารผู้คนนับหมื่นจะมาตายแบบนี้ ตายไปอย่างไร้ร่องรอยอยู่บนภูเขาไร้ชื่อ ไม่เหลือทิ้งไว้แม้กระทั่งผายลม
“ปรมาจารย์ ปรมาจารย์ผู้สูงส่ง!”
ไป๋อู๋เฉินตื่นเต้นเหลือเกิน น้ำเสียงสั่นเครืออยู่บ้าง
“ซวงเอ๋อร์ เจ้าพูดไว้ไม่ผิด ได้พบกับปรมาจารย์เช่นนี้ เดิมทีก็นับว่าเป็นวาสนาที่ยิ่งใหญ่ น่าเสียดายที่ม้วนภาพวาดที่ผู้อาวุโสให้เจ้านั้นถูกทำลายไปแล้ว ไม่รู้ว่าจะทำให้ปรมาจารย์โกรธเคืองหรือไม่” ไป๋อู๋เฉินเอ่ยอย่างวิตกกังวล
หากปรมาจารย์โกรธขึ้นมา เพียงแค่เป่าลมออกมา สำนักเซียนวั่นเจี้ยนทั้งสำนักก็คงไม่เหลือแล้ว
ไป๋ลั่วซวงก็เพิ่งตั้งสติได้จากความตื่นตระหนก นางไม่อาจจินตนาการได้ว่าบนโลกนี้จะมีคนที่เก่งกาจขนาดนี้ นั่นเป็นถึงมารปีศาจ ไม่ได้แม้แต่จะพบหน้าปรมาจารย์ ก็ถูกป้ายหยกสังหารจนมอดไหม้ไปแล้ว
น่ากลัว ลูกพี่ก็คือลูกพี่จริงๆ
“ท่านพ่อ ข้าว่าไม่หรอก ภาพวาดนั้นเป็นเพียงภาพร่างของท่านปรมาจารย์ เขาให้พวกข้ามาโดยไม่ได้ใส่ใจ” ไป๋ลั่วซวงพูด
“ภาพร่าง?” ไป๋อู๋เฉินชะงักงันไปชั่วขณะ จากนั้นก็ยิ้มอย่างขมขื่น “ใช่แล้วละ ภาพวาดนี้สำหรับพวกเราแล้วประเมินค่าไม่ได้ แต่สำหรับปรมาจารย์ระดับนั้นย่อมไม่ได้มีค่าอะไร อาจเพียงขีดเขียนเล่นๆ ก็เท่านั้น”
ไม่ว่าจะเป็นสตรีสวมชุดทางการหรือว่าเป็นไป๋อู๋เฉิน ในใจล้วนแต่เกิดความเคารพยำเกรงปรมาจารย์ผู้นี้อย่างถึงที่สุด บุคคลท่านนี้เป็นเซียนจากสวรรค์ซึ่งลงมาอยู่บนโลกมนุษย์ หรือว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ลงมาจุติกัน
สรุปก็คือ ห้ามล่วงเกิน ต้องประจบประแจงอย่างเต็มที่
ไป๋ลั่วซวงลงมาที่พื้น มองประเมินกระบี่จุ้ยหมัวด้วยความสงสัย
“ซวงเอ๋อร์ อย่าแตะต้องกระบี่นั้นนะ!” ไป๋อู๋เฉินตวาด “กระบี่จุ้ยหมัวเป็นกระบี่มาร ถึงแม้จะสามารถเพิ่มพลังให้กับผู้ถือกระบี่ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็จะทำให้ผู้ถือกระบี่สติวิปลาส กลายเป็นเพียงคนเลือดเย็นสังหารไม่เลือกหน้า!”
ไป๋ลั่วซวงนึกถึงท่าทางคลุ้มคลั่งของมารกระบี่ ก็รีบดึงมือกลับมาทันที
สตรีสวมชุดทางการก็พูดขึ้นว่า “ซวงเอ๋อร์ มารกระบี่ถูกผู้อาวุโสที่นี่สังหาร ก็มอบกระบี่นี้ให้เขาเป็นของกำนัลที่ได้รับชัยชนะเถิด พวกเราไม่ควรแตะต้องสุ่มสี่สุ่มห้า”
ไป๋อู๋เฉินเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง “ใช่ ถูกต้องแล้ว!”
“คุณชายหลี่คนนั้นจะได้รับผลกระทบจากกระบี่หรือเปล่านะ” ไป๋ลั่วซวงพูดขึ้นด้วยความเป็นห่วง
“ฮ่าๆๆ ผู้อาวุโสท่านนี้เป็นใคร แค่กระบี่จุ้ยหมัวจะไปทำอะไรเขาได้” ไป๋อู๋เฉินหัวเราะร่า “ประเดี๋ยวผู้อาวุโสท่านนี้มา พวกเราต้องขอบคุณเขาสักครั้ง”
สตรีสวมชุดทางการเงียบงันไปครู่หนึ่ง กระซิบว่า “ศิษย์พี่ พวกเรามาโดยไม่ได้รับเชิญ เกรงว่าจะทำให้ผู้อาวุโสโกรธเคืองเอา รั้งอยู่ที่นี่มิใช่เรื่องดีเท่าไร ไม่สู้กลับกันก่อน เตรียมของขวัญแล้วค่อยกลับมาขอบคุณจะดีกว่าหรือ”
“ศิษย์น้องพูดมีเหตุผล” ไป๋อู๋เฉินพยักหน้าตาม
ในใจของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยความเคารพและเกรงกลัว จะทำเรื่องที่ล่วงเกินปรมาจารย์ท่านนี้ไม่ได้แม้แต่น้อย มาทักทายเสวนาพาทีในวันนี้ไม่ใช่โอกาสที่ดีเอาเสียเลย
ทั้งสามไม่กล้ารั้งอยู่นาน ขี่กระบี่ขึ้นฟ้ากลับไปทันที
สักพักหลังจากนั้น หลี่เนี่ยนฝานกับต้าเฮยก็ค่อยๆ เดินออกมาจากป่า ในมือของหลี่เนี่ยนฝานมีกระต่ายป่าตัวหนึ่ง ด้านหลังแบกฟืน ส่วนต้าเฮยในปากคาบกวางด่าง คนหนึ่งสุนัขหนึ่งมีข้าวของมากมายติดไม้ติดมือกลับบ้านมา
“เอ๊ะ?”
หลี่เนี่ยนฝานเห็นว่าหน้าประตูบ้านมีกระบี่สีดำเล่มหนึ่งวางอยู่ ก็อดประหลาดใจไม่ได้
ทำไมมีกระบี่สีดำมาวางไว้ที่นี่ล่ะ
หรือว่ามีคนมา
หลี่เนี่ยนฝานหยิบกระบี่ขึ้นมาวางไว้ในมือพลางพินิจพิจารณา
ตัวกระบี่เป็นสีดำสนิท รูปทรงค่อนข้างทันสมัย ให้ความรู้สึกเรียบง่าย
“กระบี่ชั้นดี!” หลี่เนี่ยนฝานพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “คมมากพอซะด้วย หลังจากนี้เวลาไปตัดฟืนใช้กระบี่นี้ก็แล้วกัน!”
ขวานที่ใช้เมื่อก่อนเก่าแล้ว เขากำลังคิดอยู่พอดีว่าจะลงเขาไปซื้อขวานมาสักเล่ม ตอนนี้เห็นทีก็ไม่ต้องเสียเวลาแล้ว
เขาถือกระบี่ยาวเดินกลับเข้าบ้านไป
แต่กลับไม่ได้สังเกตว่ากระบี่ยาวในมือของเขาพลันส่องแสงวาบสีดำออกมา ปราณมารสายหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของเขาอย่างบ้าคลั่ง
“หืม?”
หลี่เนี่ยนฝานมองกระบี่ด้วยความประหลาดใจ สัมผัสได้ถึงความร้อนกลางฝ่ามือ
อาวุธที่สามารถแผ่ความร้อนได้ หรือว่ากระบี่เล่มนี้จะเป็นสิ่งที่โลกเซียนเรียกว่าอาวุธวิญญาณ?
หลี่เนี่ยนฝานรู้สึกดีใจเล็กๆ ที่เก็บอาวุธวิญญาณได้
เขาไม่เห็นปราณสีดำซึ่งก่อตัวขึ้นมาบนตัวกระบี่จุ้ยหมัว ค่อยๆ กลายเป็นรูปร่างของโครงกระดูก
เพียงแต่ว่าใบหน้าของโครงกระดูกในตอนนี้เปี่ยมไปด้วยความสับสน เหนือศีรษะมีแต่เครื่องหมายคำถาม
เกิดอะไรขึ้น เห็นๆ อยู่ว่ามีคนจับตนเองอยู่ ไฉนจึงไม่ได้รับผลกระทบจากปราณมารเลยเล่า
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากยืนอยู่ที่จุดสูงสุดของโลกนี้ ในใต้หล้าไร้ซึ่งศัตรูหรือไม่”
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากมีทรัพย์ศฤงคารไร้สิ้นสุด มีหญิงงามรายล้อมหรือไม่”
“เจ้าหนุ่ม เจ้าอยากลบล้างความอัปยศ เหยียบย่ำผู้ที่เคยดูถูกเจ้าไว้ใต้เท้าหรือไม่”
ความปรารถนาขั้นสุดยอดสามข้อนี้ ถึงกับมีคนเพิกเฉยเชียวรึ?
ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย!
หรือว่าจะเป็นพวกไร้ความสามารถ?
โครงกระดูกเห็นว่าตนเองได้พบกับความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
วินาทีต่อมา มันก็รู้สึกว่าตนเองถูกคนยกขึ้นมาวางไว้ที่มุมมุมหนึ่ง
เหอะๆ แค่ปุถุชนธรรมดา ถึงกับกล้าวางข้าไว้ในสถานที่พรรค์นี้ รนหาที่ตายแล้ว
โครงกระดูกแค่นหัวเราะเย็นเยียบ ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่าง
มันเตรียมใช้กระบี่จุ้ยหมัวสั่งสอนปุถุชนผู้นี้สักยก ให้เขาถูกสังคมรุมทุบตี จากนั้นก็ยั่วยุให้เขาเคียดแค้น แล้วเขาก็ย่อมเดินตามเส้นทางเสาะแสวงหาความแข็งแกร่ง
เพียงแต่ว่า ยังไม่ทันได้ลงมือ แสงสีขาวก็ยิงเข้ามาที่มัน
“อุ๊ก!”
โครงกระดูกถูกยิงจนแตกกระจาย
ผ่านไปเนิ่นนานกว่ามันจะกลับมารวมร่างใหม่ได้ เพียงแต่ว่าเลือนรางไปมาก
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น”
มันกวาดตามองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่บนพู่กันเล่มหนึ่งบนโต๊ะ
“นี่ นี่มัน…”
ความหวั่นเกรงจากจิตวิญญาณพลันถาโถมขึ้นไปทั่วร่าง ร่างของมันสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้
พู่กันด้ามนี้อยู่ระดับสูงอย่างประเมินไม่ได้!
เป็นไปได้อย่างไรกัน
หรือว่าเป็นอาวุธเซียน?
อีกทั้งยังอยู่ในมือของปุถุชน?
ในสมองของโครงกระดูกดังหวึ่งๆ คำถามมากมายเด้งขึ้นมา
เพียงแต่ว่ามันปรับสภาพจิตใจได้อย่างรวดเร็ว ตระเตรียมเริ่มแผนการของตนต่อ
“ขอแค่ข้าลอบเข้าไปใกล้พู่กันเล่มนั้นก็พอแล้ว”
โครงกระดูกเคียดแค้นในใจ เริ่มควบคุมกระบี่จุ้ยหมัวให้เคลื่อนไปข้างหน้า
“ข้าเป็นกระบี่มาร ข้าไร้ซึ่งความรู้สึก ข้าไม่เชื่อว่าข้าจะควบคุมปุถุชนคนหนึ่งไม่ได้”
ในตอนนั้นเอง ลำแสงสีขาวก็ยิงเข้ามาอีกสาย
“อุ๊ก!”
โครงกระดูกแตกกระจายไปอีกรอบ
…………………………………………………