ที่แท้....ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 641 ผมจะรักษา
บทที่ 641 ผมจะรักษา
อีกอย่าง แม้ว่าในใจจะมีข้อเสนอ พวกเขาก็ไม่กล้าพูดออกมา
หากช่วยเด็กๆ เหล่านี้ก็ยังดี รางวัลชมเชยต้องมีอย่างแน่นอนอยู่แล้ว
แต่หากการรักษาล้มเหลวไม่สามารถช่วยเด็กเหล่านี้ได้ ตัวเองจะไม่กลายเป็นผู้กระทำความผิดเหรอ?
ใครมันจะอยากเป็นแพะรับบาปนี้?
“คนอื่นๆ มีอะไรจะพูดไหม?” สายตาหลินจงหัวชำเลืองมองหมอที่อยู่ ณ ตรงนี้ทีละคน เร่งไล่ถาม
ไม่มีคนตอบ ทุกคนที่สบตากับเขาต้องหลบตาโดยอัตโนมัติ
ถอนหายใจเล็กน้อยในใจ
ดูเหมือนว่า อาชีพการงานของเขากำลังจะสิ้นสุดลงแล้ว
“ผมมีความคิดบางอย่าง” จู่ๆ ก็มีคนทำลายความเงียบในห้องประชุม
เห็นว่าไม่มีคนยอมให้ข้อเสนอแนะ สายตาของหมอยี่สิบกว่าคนที่อยู่ ณ ตรงนี้จดจ้องไปที่ผู้พูด
เขากำลังนั่งอยู่ที่มุมสุดริมสุดของห้องประชุม ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน แทบไม่ได้รับความสนใจจากทุกคนเลย
แม้บางครั้งจะมีสายตาของคนหันไปมองใบหน้าของเขาก็ตาม ก็อาจคิดว่าเขาเป็นแค่ศิษย์ของอาจารย์หม่าจิ้นหรือเลขาคนขับรถอะไรประมาณนั้น
“คนนี้คือใคร?”
“หรือจะเป็นศิษย์ของอาจารย์หม่า?”
“ไม่เหมือนนี่นา อาจารย์หม่ารับศิษย์แต่สองคน!”
ทุกคนมองไปที่เฉินเกอและพูดคุยกัน
แต่เฉินเกอไม่สนใจพวกเขา เมื่อกี้ที่โปรเจคเตอร์ เฉินเกอได้เห็นภาพเหล่านั้นแล้ว
บวกกับความล้มเหลวของอวัยวะอย่างรวดเร็ว
ไม่จำเป็นต้องคิดเลย นี่ก็คืออาการที่เกิดขึ้นหลังจากโดนตัวเองใช้วิชาดูดจิต
ไม่รุนแรงเท่ากับพวกเถียหง ในตอนนั้น พวกเขาถูกตนดูดจนแห้งทั้งเป็น ดูดจนเป็นกองขี้เถ้า
เนื่องจากเคยได้รับการฝึกจากลุงฉิน เฉินเกอจึงเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้เร็วมาก วิชาดูดจิตนั้นจึงถูกฝึกสำเร็จได้ด้วยตัวเอง
จึงมีอานุภาพแบบนี้
และตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ามีคนเรียนรู้เพียงแค่ประมาณหนึ่ง เริ่มที่จะอาศัยเวทมนตร์นี้ในการเติมพลัง
ใครมันชั่วร้ายขนาดนี้?
สีหน้าของเฉินเกอย่ำแย่มาก
เพียงแค่ก่อนหน้าเฉินเกอบอกว่าตนมีความคิดข้อเสนอ ทุกคนก็มีความโกรธเล็กน้อยบวกกับดูถูก
“คุณเฉินเกอ โรคประหลาดนี้ คุณมีวิธีอย่างงั้นเหรอ?”
และหม่าจิ้นก็มีสีหน้าประหลาดใจ
เขาโค้งคำนับเฉินเกอและกล่าว
และเมื่อเห็นอาจารย์หม่าจิ้นเคารพชายหนุ่มคนนี้แบบนี้ เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่คนขับรถของเขา?
อะไรกัน?
จะว่าไปผู้อำนวยการ หลินจงหัวที่มีประสบการณ์มากมาย เขาจึงเห็นอะไรบางอย่าง
หันมองเฉินเกอถาม: “เฉินเกอ คุณมีอะไรอยากจะพูดไหม?”
“มี” เฉินเกอกล่าว
เฉินเกอไม่ให้ความสนใจกับสายตาของคนเหล่านี้เลย เขามาในวันนี้ ประเด็นหลักคือต้องการช่วยเด็กทารกร้อยกว่าชีวิต
พูดขึ้นเบาๆ ในขณะนี้: “นี่ไม่ใช่โรคแต่อย่างใด แต่ถูกคนดูดเลือดลมของพวกเขา ทำให้เกิดการติดเชื้ออย่างกว้างขวางและความล้มเหลวของอวัยวะ!”
บูม!!!
ทุกคนแตกตื่น!
ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์ในตอนนี้จริงจังเกินไป เกรงว่ามีคนจำนวนไม่น้อยจะหัวเราะออกมา
“พ่อหนุ่ม นายชื่อเฉินเกอใช่ไหม? นายดูหนังมากไปหรือเปล่า? ไม่รู้อย่าพูดมั่วซั่ว อะไรคือถูกคนดูดเลือด นายหมายถึงแวมไฟร์เหรอ? และเด็กแรกเกิดเหล่านั้นอาศัยอยู่ใน NICUตลอด ยังไม่เคยไปไหนมาก่อน เข้าใจไหมอะไรที่เรียกว่าNICU? หน่วยดูแลทารกแรกเกิด ถูกแยกออกจากอากาศภายนอกอย่างสิ้นเชิง”
“แค่เด็กชายที่ยังไม่โต ก็คิดว่านายจะมีข้อเสนออะไรดีๆ ถ้าเราเผยแพร่ข่าวนี้ออกไป ฉันเกรงว่าจะทำให้เกิดความตื่นตระหนกในสังคม”
“อาจารย์หม่าจิ้น คนนี้คือใครกัน?”
ใครบางคนอดไม่ได้ที่จะมองเฉินเกอด้วยความโกรธ ในเวลาเดียวกันก็ถามอาจารย์หม่าจิ้นอย่างสงสัย
“ทุกคนใจเย็นๆ อย่าวู่วามทนรอดูเหตุการณ์ไปก่อน!”
หม่าจิ้นรีบห้ามปราม
พูดตามตรง เฉินเกอบอกว่าพวกเขาถูกคนดูดเลือดไป คำพูดดังกล่าวไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้แต่หม่าจิ้นยังตกใจ
อย่างไรก็ตามเคยได้เห็นวิธีการของเฉินเกอแล้ว เขายอมรับว่ามีความสามารถอย่างมาก
“หึ อาจารย์ ผมว่าอยู่แล้วว่าเขาผิดปกติ เขาทำไม่ได้ หมอนี่หนุ่มขนาดนี้ จะไปรู้อะไร มาเล่นหนังที่นี่ล่ะสิ?” หลิวว่างบ่นพึมพำ แต่ทุกคนในห้องประชุมได้ยิน
เขาอิจฉาเฉินเกอ และเมื่อมองไปที่ศิษย์น้องจ้าวปั่ยหลิงที่ตัวเองแอบชอบมานาน มองเฉินเกอด้วยสายตาแบบนั้น
เขาโมโหแทบบ้า
อยากให้เฉินเกอเสียหน้าต่อหน้าสาธารณชนใจจะขาด
สีหน้าของหม่าจิ้นก็หม่นหมองทันที หลังจากเหลือบมองเขา กล่าวขึ้น: “นายหุบปากเดี๋ยวนี้ คุณเฉินเกอพูดแบบนี้ ก็ต้องมีเหตุผลของเขาแน่นอน ดูว่าคุณเฉินเกอจะพูดอะไรบ้าง บางที อาจเป็นแบบนี้จริงๆ”
สีหน้าของเฉินเกอเริ่มหม่นหมอง เป็นเรื่องน่าอายที่ใครๆ จะถูกตำหนิแบบนี้
“บนโลกใบนี้ เรื่องที่พวกคุณไม่รู้มีอีกเยอะ!” เฉินเกอกล่าวอย่างเย็นชา
“คุณเฉินเกอ มีวิธีรักษาไหม?” หม่าจิ้นเลือกที่จะเชื่อเฉินเกอ
“มี ฝังเข็ม เสริมด้วยยาจีนปรับสภาพ แน่นอน ต้องไว หากอวัยวะของทารกทั้งหมดล้มเหลว ก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
“ไร้สาระเกินไปแล้ว” มีคนพูดอย่างโมโห: “อาจารย์หม่า คุณไม่สามารถเอาชีวิตเด็กร้อยกว่าคนมาล้อเล่นได้ เด็กอย่างหมอนี่จะไปรู้เรื่องอะไร?”
“คุณมีวิธีที่ดีหว่าเหรอ?” อาจารย์หม่าจิ้นมองและถามเขาอย่างเย็นชา
“ไม่มี แต่เราไม่สามารถทดลองโดยภาระการณ์ ให้ยาจีนแก่ทารกแรกเกิดเหล่านั้น หากอาการแย่ลงจะทำอย่างไร? คุณน่าจะเข้าใจดี ร่างกายของเด็กเหล่านั้นไม่สามารถทำอะไรรุนแรงได้อีกต่อไป” มีคนโต้เถียง
ในสายตาของเขา การปล่อยให้เฉินเกอไปรักษาโรคนั้นเป็นเพียงการทำให้วุ่นวาย
หลินจงหัวจ้องมองเฉินเกอ ไม่รู้ว่าควรเชื่อเขาหรือไม่ แต่เมื่อเห็นดวงตาที่ชัดเจนและมุ่งมั่นของเฉินเกอ ก็ทำให้คนมีความรู้สึกเกิดความเชื่อมั่น
หรือว่า จะพึ่งพาเขาได้จริงๆ?
“ให้เขาลองเถอะ” ในที่สุดหลินจงหัวก็ตัดสินใจ แน่อยู่แล้ว เพราะเขาก็ไม่มีทางเลือกที่ดีกว่า
“ลอง? พูดง่าย หากเกิดอะไรขึ้น ใครจะรับผิดชอบ?”
“ผมรับผิดชอบเอง”
“ผมรับผิดชอบเอง!”
“ผมรับผิดชอบเอง!”
หม่าจิ้นหลินจงหัวและเฉินเกอพูดพร้อมกัน
ทั้งสามสบตากันอย่างช่วยไม่ได้
“โอเค ในเมื่อพวกคุณเห็นด้วย งั้นก็ทำตามที่พูดแล้วกัน” ทุกคนก็ไม่กล้าพูดอะไร
ในเมื่อมีคนโง่ยอมแบกรับความผิดชอบ งั้นก็ลองไปเถอะ
พวกเขาไม่สนใจความเป็นความตายของเด็กเหล่านั้นอยู่แล้ว เพียงแค่รักษาสถานภาพของตัวเองก็พอ
“อาจารย์? จะไม่คิดให้ดีจริงๆ เหรอ เรื่องนี้ไม่สามารถทำโดยภาระการณ์ได้ ร้อยกว่าชีวิตเลยนะ นี่ไม่ใช่คุณนายซูแค่คนเดียว!”
เมื่อหลิวว่างเห็นผู้อำนวยการสนับสนุน ก็รู้สึกอิจฉามากขึ้น
นี่มันเป็นไปได้ยังไง?
อีกอย่างอาจารย์สับสนไปหรือเปล่า คำพูดแบบนี้ก็ยังจะเชื่อ?
“หลิวว่าง ฉันมองนายผิดไป!”
ส่วนหม่าจิ้นชำเลืองมองไปที่หลิวว่างอย่างโกรธเคือง
ทำให้หลิวว่างผงะ
“อาจารย์ ผมไม่อยากให้หมอนี่ทำลายชื่อเสียงของคุณ! คุณเป็นถึงหมออัจฉริยะแห่งแคว้นทหาร!” หลิวว่างกล่าว
“ฉันไม่เคยคิดว่าตัวเองเป็นหมออัจฉริยะ นี่คือสิ่งที่ผู้ป่วยเรียก หากชื่อเสียงสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้ งั้นฉันมีชื่อเสียงมากแค่ไหนก็จะโยนชื่อเสียงนั้นออกไปเท่านั้น! หลิวว่าง นายอายุสามสิบแล้ว ความรู้นายบิดเบือนไปหมด นายอยู่ในโลกของทางการแพทย์ จะไม่มีทางที่จะบรรลุความสำเร็จได้!”
หม่าจิ้นถอนหายใจยาว
พูดจนสีหน้าหลิวว่างชอกช้ำ
“ผมไม่เชื่อว่าเขาจะรักษาหายได้!”
“ถ้าผมรักษาหายจะทำไง?”
เฉินเกอมองเขาอย่างเย็นชา หมอนี่พูดพล่ามใส่เขาตลอด น่ารำคาญจริงๆ ……