ที่แท้....ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 451 จากนี้ไปเธอก็อยู่ข้างฉัน
บทที่ 451 จากนี้ไปเธอก็อยู่ข้างฉัน
ตอนนั้น เฉินเกอเคยมาบ้านของลุงฉินครั้งหนึ่ง
พูดแล้วก็มีความรู้สึกผิดเล็กน้อย ตอนนั้นเฉินเกอคิดว่าการที่ลุงฉินอยู่ข้างกายของตัวเองนั้นมีความเป็นภาระ
ตอนแรกคิดอยากจะนำลุงฉินปักหลักอยู่ที่บ้าน
แต่เฉียงเวยนั้น รู้สึกว่าลุงฉินอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวไม่มีใครให้พึ่งพา อีกอย่างลุงฉินในตอนนั้นก็ยอมที่จะอยู่กับตนเอง
ฉะนั้นเขาจึงรับลุงฉินมาอยู่ในคฤหาสน์ด้วยกัน
คิดไม่ถึงว่า สุดท้ายคนที่ตัวเองคาดหวัง ก็คือลุงฉินแล้ว
วิ่งเข้าไปในห้องนอน
เฉินเกอเห็นในห้องถูกวางเต็มไปด้วยอาหารในงานมากมายเต็มโต๊ะ
“ลุงฉิน? นายอยู่ไหม?” เฉินเกอถาม
“ใครเนี่ย?”
ขณะนี้ ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนที่สวมผ้ากันเปื้อนถืออาหารจานหนึ่งออกมาจากข้างๆ ห้อง
เฉินเกออึ้งไปเลย
“ฉัน….ฉันมาหาลุงฉิน! ฉินอีฝาน!”
หญิงวัยกลางคนมองดูเฉินเกอที่ดูสกปรกไปทั้งตัว ก็อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความรังเกียจเล็กน้อย
“พี่ฝานขึ้นดอยไปแล้ว! ยังไม่กลับมา! นายมาหาเขาทำไม?”
“มีเรื่องนิดหน่อยครับ รอเขากลับมาแล้วค่อยพูดเถอะครับ ในเมื่อที่นี่มีแขก งั้นเดี๋ยวผมออกไปรอเขาที่ข้างนอกก่อนนะครับ!”
เฉินเกอคิดในใจหรือว่าลุงฉินจะกินเด็ก ยังหาภรรยาคนหนึ่งอีก แต่ก็จริง ตอนที่ลุงฉินจากไป ตัวเองก็ได้ให้ค่าเลี้ยงชีพไปไม่น้อยเลย
แต่ก็เกรงใจที่จะถาม เฉินเกอจึงออกไปรอข้างนอก
“นี่นายรอก่อน นายชื่ออะไร?”
เหมือนว่าหญิงวัยกลางคนจะนึกอะไรออก จึงถามออกไป
“เฉินเกอครับ!”
เฉินเกอพูดตอบกลับ
“อั้ยยะ เฉินเกอ ที่แท้ก็คุณเอง พี่ฝานให้ฉันรอคุณมาหลายวันแล้ว! เขาบอกว่าหากคุณมาหาเขา ให้ฉันรับคุณเข้ามาปักหลักในบ้าน แต่ว่าฉันมาหาที่บ้านพี่ฝานทุกวัน ล้วนไม่เคยเจอคุณเลย!!”
“ลุงฉินรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าฉันจะมาที่นี่?”
“ใช่แล้ว บอกฉันไว้ตั้งแต่เจ็ดวันก่อนแล้ว จากนั้นเขาก็ขึ้นดอยไปแล้ว! เขาบอกกับฉันว่า คุณเป็นคุณชายท่านหนึ่ง แต่ว่าเมื่อกี้ฉันเห็นว่านาย……เฮอะเฮอะ!”
เฉินเกอมองดูเสื้อผ้าของตัวเอง ก็ยิ้มกลับอย่างฝืนๆ
ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าลุงฉินร้ายกาจเกินไปแล้ว แม้กระทั่งเกิดเรื่องขึ้นกับฉันเขาก็รู้อย่างชัดเจน
แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้
“งั้นพอดีเลย วันนี้พี่ฝานกลับมา ฉันทำอาหารไว้ให้เขาเต็มโต๊ะเลย และคุณก็มาแล้ว! รีบนั่งเถอะ ดื่มชาก่อนนะ!”
หญิงวัยกลางคนพูดด้วยความเป็นมิตร
หลังจากพูดคุยกันแล้ว เฉินเกอเข้าใจแล้ว
หญิงวัยกลางคนคือคนในหมู่บ้านเดียวกัน ให้เฉินเกอเรียกเธอว่าน้าเหมย แต่ว่าไม่ได้เป็นเหมือนกับที่เฉินเกอคิด น้าเหมยไม่ใช่ภรรยาของลุงฉิน
แต่เป็นน้องบุญธรรมของลุงฉิน
น้าเหมยเองก็ชอบพูดคุยมาก
พูดไปเยอะมาก
ถ้าจะพูดขึ้นมาจริงๆ ยังมีเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเล็กน้อยกับลุงฉินจริงๆ ด้วย
นั่นก็คือช่วงก่อนหน้านี้ที่ลุงฉินกลับมา
ส่วนน้าเหมยนั้น ก็เป็นแม่ม่าย แล้วป่วยเป็นโรคหนัก ลุงฉินใช้ยาช่วยเธอไว้
อีกอย่างก็ไม่รู้ว่าลุงฉินที่บ้าบ้าบอบอในเมื่อก่อน กลายมาเป็นคนมีเงินไปแล้ว
อัศวินช่วยหญิงสาวไว้ บวกกับฐานะที่ไม่เลวของลุงฉิน ฉะนั้นน้าเหมยจึงอยากจะมีความรักในช่วงบ้านปลาย
ปรากฏว่าไม่ว่ายังไงฉินอีฝานก็ไม่ยอม
สุดท้ายแล้ว จึงนับฉินอีฝานเป็นพี่ชาย
ถึงได้มีภาพข้างหน้านี้เกิดขึ้น
“อะเหมย มาช่วยฉันนำยาสมุนไพรพวกนี้เข้าไปเก็บในบ้านหน่อย!”
และในขณะนี้ ข้างนอกประตูก็มีเสียงเสียงนี้ดังขึ้น
ส่วนเฉินเกอนั้น เพียงแค่ได้ยินก็ฟังออกแล้ว
รีบลุกขึ้นมา
“ลุงฉิน?”
“ไอ่หลานโต? มาจริงๆ หรอเนี่ย! มากี่วันล่ะเนี่ย!”
ลุงฉินก็ยังคงเป็นลุงฉิน
แต่แค่ว่าดูเรียบร้อยเป็นระเบียบขึ้นเยอะมาก
คงจะเป็นเพราะว่าให้น้าเหมยแต่งตัวให้
เทียบกับก่อนหน้านี้ที่เฉียงเวยดูแล ดูแล้วสีหน้ายังแดงขึ้นไม่น้อยเลย
เขากำลังแบกยาสมุนไพรถุงหนึ่งอยู่
“ฉันพึ่งมาถึง!”
เฉินเกอพูด
“เป็นไงไอ่หลานโต? เกิดเรื่องขึ้นสินะ?”
ลุงฉินยิ้มเฮอะๆ
“ใช่แล้ว!” เฉินเกอพูด “ตอนนี้ฉันไม่มีที่ให้ไปแล้ว ได้แต่มาพึ่งพานายที่นี่แล้ว!”
“เฮะเฮะ ฉันให้อะเหมยรอนายมาหลายวันแล้ว! ดูนายสิ สองสามวันนี้ลำบากไม่น้อยเลยสินะ ไปเถอะ ทำอาหารไว้เต็มโต๊ะเลย เตรียมให้นายทั้งนั้น เข้าไปดื่มกับคุณปู่นายหน่อย!”
ลุงฉินตบไหล่ของเฉินเกอ
“ที่แท้ ก็คือตระกูลโม่ที่บังคับให้นายเดินมาถึงทางตัน ตระกูลเฉินก็เหมือนกัน มีทรัพย์สินมากมายขนาดนี้ ก็ไม่กล้าที่จะลองสู้กับตระกูลโม่?”
หลังจากที่ทานอิ่มกันแล้ว สองปู่หลานก็เริ่มพูดคุยกันขึ้นมา
ลุงฉินสูบบุหรี่ ขณะนี้พูดขึ้นเบาๆ ว่า
“ลุงฉิน นายรู้จักตระกูลโม่ตั้งแต่แรกแล้วใช่ไหม?”
เฉินเกอสังเกตเห็นว่า ลุงฉินจะต้องเป็นคนที่ลึกลับแน่นอน
เขาจะต้องรู้เรื่องมากมายแน่นอน
ครั้งนี้ลุงฉินสะใจมาก เขาพยักหน้า
“รู้จักนิดหน่อย แต่หากใช้ศัพท์วัยรุ่นของพวกนายมาพูดแล้วก็ตระกูลโง่เง่าเต่าตุ่นแบบนี้ ฉันไม่เคยไปสืบและรู้จักอย่างละเอียดมาก่อนเลย!”
“ตระกูลโง่เง่าเต่าตุ่น?”
เฉินเกออึ้งไปเลย
“ก็คือการรวมตัวเป็นวงศ์ตระกูลจากกลุ่มคนโง่เง่าเต่าตุ่น ให้ตายเถอะ ความแข็งแรงทางด้านร่างกายของพวกเขา ก็เหมาะที่จะเป็นวงศ์ตระกูลลึกลับ?”
ลุงฉินส่ายหน้าโดยไม่พูดอะไร
“ฉันเคยเห็นความสามารถของพวกเขา บ้านตระกูลเฉินมีการป้องกันที่แน่นหนา คนที่ชำนาญการก็มีไม่น้อย แต่ว่าโม่ฉางคงพาคนไม่กี่คนเข้ามาในดินแดนที่ไม่มีใคร!”
“พอแล้ว พอแล้ว? คนที่ชำนาญการที่นายพูด ก็คือคนประมาณแบบบอดี้การ์ดเทียนหลงตี้หูสองพี่น้องนั่น? เฮอะ บอดี้การ์ดเทียนหลงตี้หูก็ถือว่าเป็นคนที่ชำนาญการ นายลองถามพวกเขาดูว่าพวกเขาอายไหม”
ลุงฉินโบกมือทำอะไรไม่ถูก
เฉินเกอไม่ได้พูดอะไร
หลังจากหยุดคิดไปสักพักแล้ว ก็เงยหน้าขึ้นถาม
“ลุงฉิน นายรู้จักไท่หยางเหมิงไหม?”
“ไท่หยางเหมิง? นายถามเรื่องนี้ทำไม?”
ลุงฉินอึ้งอย่างเห็นได้ชัดเจน
ฉะนั้นเฉินเกอจึงนำที่มาที่ไปทั้งหมดเล่าออกมา
“รู้จักนิดหนึ่ง แต่ว่าไม่ใช่เพราะฉันดูถูกตระกูลเฉินพวกนายกับตระกูลโม่นั่น รวมถึงนายด้วย ปล่อยความคิดนี้ไปก่อนได้เลย!”
“ทำไมหรอ?”
เฉินเกอถาม
“ตอนนี้นายยิ่งรู้น้อยยิ่งดี ไอ่หลานน้อย พูดถึงห้าทักษะและวิธีการหายใจที่ฉันเคยสอนนาย นายยังฝึกอยู่หรือเปล่า?”
ลุงฉินมองไปทางเฉินเกอแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ฝึกอยู่!”
ลุงฉินพยักหน้า “แล้วหลังจากนี้นายมีการวางแผนอะไร?”
เฉินเกอถอนหายใจแล้วพูด “ตอนนี้ฉันหมดตัวไม่เหลืออะไรแล้ว แล้วยังถูกโม่ฉางคงตามหาไปทั่ว ฉันไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ได้แต่มาขอพึ่งพาท่านแล้ว!”
“เฮะเฮะ งั้นนายก็มาถูกแล้ว เจ้าหลาน พูดความจริงนะ ถึงแม้ว่านายจะไม่มาหาฉัน สักวันหนึ่งไม่ช้าก็เร็วฉันก็จะไปหานายอยู่ดี นี่เป็นเพราะเรามีบุญวาสนากัน เอาอย่างนี้ หลังจากนี้นายก็อยู่ข้างกายฉันเถอะ หลังจากนี้ไม่นาน ปู่ก็จะให้นายเข้าใจว่า ทำไมถึงพูดว่าตระกูลโม่ คือตระกูลที่โง่เง่าเต่าตุ่น!”
ฉินอีฝานเคาะไปที่ศีรษะของเฉินเกอ
“จริงด้วยลุงฉิน ฉันยังมีอีกคำถามหนึ่ง!”
“ถามเถอะ!”
“ตอนแรกนายหาฉันเจอได้อย่างไร ไม่มีทางไร้ซึ่งเหตุผลหรอกมั้ง?”
ที่จริงแล้วเฉินเกอมีคำถามทางด้านนี้มาโดยตลอด
“ก็ยังคงเป็นคำเดิม คำถามแบบนี้ไม่ต้องถามแล้ว พอถึงเวลา ฉันก็จะบอกนายเอง! ต่อจากนี้ นายก็วางใจอยู่กับฉันที่นี่ ฝึกฝนเรียนรู้กับฉันเถอะ!”
“เรียน? เรียนอะไร?” เฉินเกอถาม
“เรียนรู้ทักษะความสามารถไง! เจ้าหลานโง่ของฉัน! นายยังไม่เข้าใจหรอว่าทำไมตัวเองถึงตกอยู่ในสภาพแบบนี้ ถ้าหากว่านายมีความสามารถมากพอ ยังจะมีไอ่โม่ฉางคงนั่นมาวิ่งตามนายไปทั่วโลกเหมือนสุนัขอีกหรอ ตอนนั้นที่ฉันจากไป ก็ได้เตือนนายในจุดนี้แล้ว!”
ฉินอีฝานหมดคำจะพูด
ใช่แล้ว ตอนนั้นที่ลุงฉินจากไป เคยบอกกับตัวเองแล้ว มีเพียงแค่เงินยังไม่พอ ต้องมีทักษะความสามารถด้วย
แต่ว่าตัวเองนั้นหนึ่งคือไม่มีเวลาเรียนรู้ สองคือรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องไปเรียน
จนกระทั่งถูกโม่ฉางคงไล่ล่าตามมาตลอดทางแบบนี้ เฉินเกอถึงได้รู้สึกว่า นอกจากตัวเองจะมีเงินแล้ว ที่เหลือไม่มีอะไรเลย…….