ที่แท้....ฉันเป็นลูกเศรษฐี! - ตอนที่ 398 การเปิดการประชุมใหญ่
บทที่ 398 การเปิดการประชุมใหญ่
จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น
จ้าวยีฟานตื่นขึ้นมา
เมื่อคืนเธอดื่มไปไม่หน่อย ดังนั้นวันนี้ยังคงรู้สึกปวดหัวอยู่
เธอสูดลมหายใจเข้ายาวๆ คิดจะลุกขึ้นนั่ง
แต่จู่ๆ เธอก็พบบางอย่างผิดปกติ
"หา?”
จ้าวยีฟานเปิดผ้าห่มขึ้นและมองไปที่ร่างกายของตนในผ้าห่ม เธอนิ่งงันไป
“เสี่ยวหาน! เสี่ยวหาน!”
จ้าวยีฟานร้องเรียกเสียงดัง
เสี่ยวหานเองก็ตื่นขึ้นมาด้วย”ยีฟานเป็นอะไรไป?”
"ดูสิ เสื้อผ้าของฉันเปลี่ยนเป็นชุดนอนแล้ว ฉันจำได้ว่าเมื่อคืนตอนที่พวกเราดื่มกัน ฉันยังสวมเสื้อผ้าของฉันอยู่ จู่ๆ จะเปลี่ยนเป็นชุดนอนได้อย่างไร?”
“เธอช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ฉันหรือ?”
จ้าวยีฟานถาม
"เปล่านะ เมื่อคืนฉันเมาหลับไปตั้งนานแล้ว เธอหลอนรึเปล่าเนี่ย ใครจะไปช่วยเธอเปลี่ยนชุดนอนกัน? บ้าแล้ว อย่างนั้นฉันไม่ต้องไปช่วยเธอเปลี่ยนชุดทั้งหมดออกก่อนหรือไง?”
เสี่ยวหานเองก็ร้อนลนขึ้นมา และถามจ้าวยีฟาน ว่าบนตัวเธอยังมีความรู้สึกอื่นหรือไม่
“เธอลองคิดดูดีๆ เมื่อคืนเธอเปลี่ยนชุดเองหรือเปล่า?”
จ้าวยีฟานขมวดคิ้ว เธอคิดยังไงก็ไม่เข้าใจ
"เมื่อคืน ดูเหมือนฉันจะฝันไป ฉันฝันเห็นเฉินเกอ เขาช่วยอุ้มฉันไปที่เตียง จากนั้นฉันก็จำไม่ได้แล้ว! โอ้ย จะบ้าตายอยู่แล้ว ทำไมถึงเป็นแบบนี้เนี่ย?”
ในใจของจ้าวยีฟานยังคงสงสัย
แต่เมื่อสังเกตร่างกายของตนเองอย่างละเอียดและไม่พบว่ามีความรู้สึกผิดปกติอะไร ถึงค่อยทำให้จ้าวยีฟาน รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
จากนั้น เธอก็ลุกขึ้นจากเตียงเก็บข้าวด้วยความสงสัยในใจ และเตรียมที่จะไปยังสถานที่หน้างานประชุมใหญ่
เฉินเกอและเทียนหลงตี้หูเองก็ไปที่หน้างานประชุมใหญ่พร้อมกับคนในทีมเช่นกัน
เมื่อคืน จ้าวยีฟานยังพูดไม่ทันจบก็เริ่มอาเจียนอย่างบ้าคลั่ง ไม่เพียงแต่อาเจียนใส่ตัวเอง แต่ยังอาเจียนใส่เฉินเกอด้วย
หลังจากนั้นไม่นาน เธอก็เริ่มถอดเสื้อของตัวเองออก
เฉินเกอเองก็เมาเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงให้ทิปพนักงานโรงแรมอย่างเงียบๆ เป็นเงิน 3,000 หยวนขอให้เธอช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้จ้าวยีฟานและทำความสะอาดห้อง
การเข้าไปตระกูลฟางนับเป็นความลับสุดยอด
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีรถที่ถูกจัดมาโดยเฉพาะมาถึงที่ และให้ทุกปิดตาและปิดโทรศัพท์มือถือทั้งหมด
เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้คนรู้ว่าคฤหาสน์ของตระกูลฟางอยู่ที่ไหน
……
และตอนนี้ ที่คฤหาสน์ตระกูลฟาง ยามเช้า
มีรถหรูสองสามคันเริ่มเข้ามาแล้ว
“คุณพ่อ เรื่องนี้ผมยังหวังว่าพ่อจะช่วยพูดขึ้นมาให้สักหน่อย!”
ในรถ ซือถูหยางมองไปที่พ่อของตน ซือถูหง
“ฮ่าฮ่า วางใจเถอะ ครั้งนี้สำหรับตระกูลฟาง ฉันย่อมต้องใช้ไม้อ่อนก่อนไม้แข็ง หากตระกูลฟางตกลงก็แล้วไป แต่ถ้าหากไม่ยอมตกลง หึหึ อย่าได้โทษพวกเราตระกูลซือถูก็แล้วกัน!”
ซือถูหงยิ้มอย่างเย็นชา
จากนั้น เขาก็ขับรถเข้าไปในคฤหาสน์ ซือถูหงไปพบกับคุณปู่ตระกูลฟางโดยตรง
“อะหง นายมาเจอฉัน มีเรื่องอะไร?”
ในห้องหนังสือของคุณปู่ตระกูลฟาง ฟางปู้ถงมองไปยังซือถูหงและเอ่ยถาม
“ท่านปู่ ก็ไม่ได้มีเรื่องอะไร ผมอยากพูดเรื่องของเจี่่ยนนันและเจ้าหยาง ท่านเองก็รู้ ว่าพวกเขาสองคนเป็นคู่รักในวัยเด็กเติบโตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ก็ดีอย่างยิ่ง หึหึ ไม่รู้ว่าตระกูลซือถูของเราจะพอมีวาสนาให้เจ้าหยางได้เป็นลูกเขยของตระกูลฟางหรือไม่ หากมีวาสนานี้จริง อย่างนั้นตระกูลซือถูของพวกเราคงต้องขอบคุณบรรพบุรุษแล้ว!”
ซือถูหงกล่าวด้วยความเคารพ
เขาเองก็รู้ดี ว่าลูกชายของเขาไม่ชอบฟางเจี่่ยนนันมาแค่วันสองวัน
แต่ว่าฟางเจี่่ยนนันเด็กสาวคนนั้น จิตใจหยิ่งยโสโอหัง ถึงกับไม่เห็นลูกชายของตนอยู่ในสายตา
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาซือถูหงมีส่วนช่วยเหลือตระกูลฟางไปไม่น้อย แต่กลับไม่เห็นคนในตระกูลฟางมองเห็น?
ตามหลักแล้ว ซือถูหงที่มีฐานะเป็นตระกูลใต้บังคับบัญชา จะกล้าเริ่มเอ่ยปากขอแต่งงานกับตระกูลหลักก่อน แบบนี้ได้อย่างไร แต่ว่าซือถูหงยังดึงดันที่จะทำ และดูว่าคุณปู่ตระกูลฟางจะว่าอย่างไร
ส่วนฟางปู้ถงคิ้วของเขาขมวดขึ้นเล็กน้อย
“นายพูดถึงเรื่องการแต่งงานระหว่างเจี่่ยนนันและเจ้าหยาง?”
ฟางปู้ถงเอ่ยยิ้มอย่างขมขื่น
“เรื่องนี้เกรงว่า ต้องดูความเห็นของเจี่่ยนนัน! เฮ้อ เรื่องของคนหนุ่มสาว อะหงนายปล่อยให้พวกเขาไปจัดการกันเองเถอะ!”
แม้ว่าในใจของฟางปู้ถงจะไม่พอใจ แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
แต่ว่าคำพูดนี้ ก็ถือเป็นการปฏิเสธ
หลานสาวของเขา ฟางเจี่่ยนนัน แน่นอนว่าย่อมไม่เห็นซือถูหยางอยู่ในสายตา
“บิดามารดาออกคำสั่ง แม่สื่อแม่ชักดำเนินการ ผมเชื่อว่าถ้าเป็นคำพูดของท่านปู่เจี่่ยนนันจะต้องไม่ปฏิเสธแน่!”
ซือถูหงกำลังไล่บี้เข้าไปทีละขั้นๆ
“หรือว่าท่านปู่จะคิดว่าเจ้าหยางของพวกเรา ไม่คู่ควรกับเจี่่ยนนัน คิดดูถูกตระกูลฟาง?”
ฟางปู้ถงเอ่ย
“หึหึ ไม่ใช่แบบนั้น!”
ฟางปู้ถงยิ้ม
และในเวลานั้นเอง ประตูห้องหนังสือก็มีเสียงเคาะขึ้นเบาๆ
เป็น ฟางเจี่่ยนนัน ที่เข้ามา
“คุณปู่ นี่คือรายชื่อแขกรับเชิญและกิจกรรมที่เสนอในวันนี้ คุณปู่ลองดูสักหน่อย!”
ฟางเจี่่ยนนันมีหน้าที่หลักในการจัดการประชุม
“วางเอาไว้เถอะ ฟางเจี่่ยนนันจัดการปู่ก็วางใจ”
“เจี่่ยนนันหนูมาได้เวลาพอดี ตอนนี้ฉันกำลังคุยกับท่านปู่เรื่องของหนูพอดี!”
ซือถูหงมองไปที่ฟางเจี่่ยนนันและพูดด้วยรอยยิ้ม
“อ๋อ? คุณลุงตระกูลซือถูกำลังพูดถึงหนู? นี่ถือเป็นวาสนาจริงๆ เลย!”
ฟางเจี่่ยนนันยิ้มอย่างเย็นชา
“ใช่สิ ฉันกำลังปรึกษากับท่านปู่เรื่องการแต่งงานของหนูกับเจ้าหยาง เจี่่ยนนันหนูอายุไม่น้อยแล้ว สมควรจะคิดเรื่องคู่ครองได้แล้ว หนูและ เจ้าหยางโตมาด้วยกัน เกรงว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันที่สุดแล้ว!”
ซือถูหงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอโทษนะคะคุณลุงตระกูลซือถู ตอนนี้หนูยังไม่คิดเรื่องนี้! ให้ลูกชายของคุณไปหาคนอื่นเถอะค่ะ!”
ฟางเจี่่ยนนันกล่าวอย่างเย็นชา
เมื่อเห็นว่าฟางเจี่่ยนนันไม่ไว้หน้า ซือถูหงเลยสักนิด
ใบหน้าของ ซือถูหงจึงเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเขียวทันที
ตอนนั้นเองฟางปู้ถงจึงเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “อะหง นายอย่าได้โมโหเลย ฉันก็บอกไปแล้ว ต่อให้เจี่่ยนนันจะโตมาพร้อมกับอะหยาง แต่สองคนนี้ไม่มีทางได้ลงเอยกัน นั่นเพราะเจี่่ยนนันตั้งแต่เกิดมา เธอก็ถูกลิขิตให้กับคนอื่นไปแล้ว!”
ทันทีที่พูดจบฟางเจี่่ยนนันและซือถูหงต่างก็ตกตะลึงไป
"ท่านปู่ หมายถึงอะไร?”
ฟางเจี่่ยนนันเองก็มองไปที่ปู่ของตนด้วยความประหลาดใจ
“เรื่องนี้พูดไปก็ยาว อะหง เจี่่ยนนันพวกเธอน่าจะรู้ถึงบุญคุณความแค้นของตระกูลฟางตระกูลเฉินอยู่บ้างใช่ไหม?”
ฟางปู้ถงเอ่ย
ซือถูหงขมวดคิ้วอย่างเย็นชา แต่ยังคงพยักหน้า
“เฮ้อ ตระกูลเฉินตระกูลฟางมีความบาดหมางกันมาในรุ่นก่อนหน้าฉัน สองฝ่ายต่อสู้กัน แต่ว่าพวกเราก็มีช่วงเวลาแห่งความสงบศึกระหว่างกันเช่นกัน ในเวลานั้น ผู้นำตระกูลเฉินบิดาของ เฉินจิ้นตง เฉินเตี๋ยนชางสืบทอดอำนาจ ในสมัยยังหนุ่ม ฉันกับเฉินเตี๋ยนชางนับถือกันเป็นพี่น้อง ต่อมา เราทั้งสองต่างได้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าตระกูล และด้วยเหตุนี้ ข้อพิพาทระหว่างตระกูลเฉินและตระกูลฟาง ถึงได้หยุดลง! ต่อมา พวกเราได้กลายมาเป็นพันธมิตรกัน และเงื่อนไขในการเป็นพันธมิตรกันนั้นมีเพียงสิ่งเดียว ก็คือ …”
ฟางปู้ถงเอ่ย ราวกับกำลังรำลึกถึงความหลัง
"เงื่อนไขของพันธมิตร คือการหมั้นของหนู?”
ฟางเจี่่ยนนันรู้สึกประหลาดใจ
“อืม พูดไปแล้วก็บังเอิญอย่างยิ่ง เจี่่ยนนัน หนูและหลานชายของเฉินเตี๋ยนชางเกิดในปีเดียวกัน เดือนเดียวกัน และวันเดียวกัน ในเวลานั้นพวกเราได้ทำการหมั้นหมายเอาไว้แล้ว ให้หนูต้องแต่งงานกับหลายชอบของเฉินเตี๋ยนชาง!”
“อย่างไรก็ตาม หลังจากความขัดแย้งอย่างรุนแรงระหว่างเฉินเตี๋ยนชางกับลูกชายของเขา จากนั้นจึงวางมือไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอีก นับแต่นั้นมาจึงไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องของตระกูลเฉินอีกต่อไป อีกทั้งเฉินจิ้นตงเองก็เป็นคนเผด็จการอย่างยิ่ง เขากลับไม่ยอมรับพันธมิตร อีกทั้งยังอาศัยกำลังของตนเอง ให้ตระกูลฟางของเราต้องสยบลงแต่เขาตระกูลเฉิน ตอนการต่อสู้ระหว่างทั้งสองฝ่ายจึงเริ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากนั้น เรื่องของป้าของหนูก็เกิดขึ้น ตระกูลฟางและตระกูลเฉินจึงตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง…”