ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 77 สัปดาห์ที่ 28 โอโตเมะ อามายะ (6)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 77 สัปดาห์ที่ 28 โอโตเมะ อามายะ (6)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
“เพื่อเป็นการไถ่โทษ คืนนี้นายต้องไปส่งฉันที่บ้านล่ะ”
หลังจากแกล้งเตะเขาเล่นจนพอใจแล้วฉันก็บอกให้เขาไปส่งที่บ้าน แต่อาคิยามะกลับหรี่ตามองฉันแถมยังยิ้มมุมปากก่อนจะตอบกลับมา
“ไหนเมื่อก่อนบอกว่ากลับเองได้?”
“อะไร? นายจะปล่อยให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียวหรือไง? อีกอย่างวันนี้ก็ไม่มีใครอยู่บ้านด้วย ถ้านายอยู่ด้วยฉันก็จะได้อุ่นใจไง”
ฉันย้อนกลับไปด้วยข้ออ้างด้านความปลอดภัยกะว่าถ้าเขายังย้อนกลับมาได้ก็จะยกเรื่องความมีน้ำใจ มีมนุษยธรรม และความเป็นสุภาพบุรุษมาอ้างต่อ แต่อาคิยามะกลับยืนตะลึงไปซะอย่างงั้น
“เอิ่มม… ไม่เหมาะมั้ง จะให้ฉันอยู่ตอนที่ไม่มีคนอื่นอยู่ด้วยเนี่ย มันออกจะ…”
“อ๊ะ?!! บะ..บะ…บ้า ไม่ใช่อย่างนั้น ฉะ… ฉันหมายถึงว่าให้ไปส่งที่บ้านเฉยๆ มะ… ไม่ได้ จะ…ให้อยู่ด้วย”
รู้สึกว่ายิ่งอธิบายก็ยิ่งอาย ยิ่งอายก็จะยิ่งจะอธิบายไม่ค่อยจะถูก แล้วยิ่งอธิบายไม่ถูกก็ยิ่งอายขึ้นไปอีก
ฉันที่รู้ตัวว่าพูดตะกุกตะกักพยายามสุดความสามารถที่จะเปลี่ยนความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้น ไม่อยากให้อาคิยามะเข้าใจอะไรๆ ผิดๆ อย่างเช่นว่าฉันกำลังชวนเขาเข้าบ้านตอนที่ไม่มีใครอยู่
[‘บ้าจริง พูดอะไรออกไปเนี่ย ถ้าคบกันอยู่ก็ว่าไปอย่าง นี่ไม่ได้คบกันซะหน่อยดันมาพูดจาเหมือนจะอ่อยผู้ชายเข้าบ้านแบบนี้มันโคตรจะน่าอายเลย อ๊าาา…’]
“อะ…อ่อ จะ…จริงซิ ทำไมวันนี้เธอถึงกลับค่ำล่ะ?”
จู่ๆ อาคิยามะที่กำลังเกาแก้มแหล่มองไปทางอื่นก็ถามคำถามที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องก่อนหน้าออกมา แวบแรกก็งงว่าทำไมถึงถาม แต่พอเห็นริ้วแดงๆ บนหน้าของเขาก็พอจะเข้าใจเจตนาของเขาได้
[‘ตั้งใจเปลี่ยนเรื่องซินะ’]
ต้องขอบคุณอาคิยามะล่ะนะ ตัวฉันถึงดึงสติกลับมาได้อีกครั้ง ฉันสูดลมหายใจลึกก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องกิจกรรมรอบกองไฟคร่าวๆ โดยละเรื่องของนิโนะมิยะไว้ ก่อนจะขอให้เขาเล่าเรื่องของเขาในวันนี้บ้าง
ไม่นานนัก เราก็กลับมาคุยได้แบบปกติ ระยะห่างที่ดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นก่อนหน้านี้ก็ลดลงมา แถมดูจะลดลงมามากกว่าเก่าด้วย สังเกตได้จากระยะห่างในการเดินกลับบ้านของเราครั้งนี้ที่เหมือนจะใกล้กันมากกว่าปกติเล็กน้อย แน่นอนว่าความเล็กน้อยนี้มันดูยิ่งใหญ่เหลือเกินสำหรับฉัน
“งั้นไว้เจอกัน อ๊ะ?”
อาคิยามะที่ยืนอยู่นอกประตูรั้วกำลังหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูในขณะที่เราจะแยกกัน
“รุ่นพี่น่ะ”
“รับซิ”
“อื้ม งั้นฉันไปละนะ”
“ขอบคุณนะที่มาส่ง”
“ก็โดนบังคับนี่นา”
“ทีหลังก็ไม่ต้องมาก็ได้ย่ะ”
“ฮ่าๆๆ ล้อเล่นน่า งั้นไว้เจอกัน”
“ไว้เจอกัน”
มองอาคิยามารับโทรศัพท์แล้วเดินกลับไป ฉันเองก็เดินกลับเข้าบ้านบ้าง วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเพราะพ่อกับแม่ไปค้างกับพี่ ดังนั้นพอเปิดประตูบ้านเลยมืดสนิทมีเพียงแสงไฟจากหน้าประตูเท่านั้นที่สาดส่องเข้าไป
“กลับมาแล้วค่า… ว่าไปนั่น มีใครอยู่ที่…”
แกร๊ก…
‘ [เอ๊ะ? …’]
พร้อมกับเสียงที่ดังมาจากข้างหลัง เงาดำสูงใหญ่ที่เกิดจากการที่มีอะไรสักอย่างไปบดบังแสงจากหน้าบ้านและถนนทาบทับลงมาบนตัวฉัน
ขาที่ก้าวเข้าไปในประตูบ้านไปแล้วข้างหนึ่งชะงักอยู่กับที่สมองยังไม่ทันสั่งการรับรู้ว่าเงานั่นมันคืออะไร ตัวฉันก็ถูกใครสักคนกอดเข้าจากด้านหลังแล้ว
“กรี๊ดดดด…. อู๊อๆๆ ….”
ร่างกายตอบสนองไปโดยปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ ฉันพยายามดิ้น พยายามร้อง ทำทุกอย่างเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ เพื่อจะหนีไปจากตรงนี้ให้ได้
[‘ช่วยย… ด้วย…’]
แต่เสียงประตูบ้านที่ปิดลงด้านหลังมันเหมือนกับเป็นเสียงสัญญาณอะไรสักอย่างที่เลวร้าย ฉันพยายามยิ่งกว่าเดิมที่จะทำให้ตัวเองหลุดออกจากวงแขนแข็งแรงที่รัดตัวฉันอยู่ พยายามส่งเสียงร้องโดยหวังว่ามันจะเล็ดลอดออกไปจากมือหยาบใหญ่ที่ปิดทั้งปากทั้งจมูกของฉันในตอนนี้
แล้วแสงไฟในบ้านก็สว่างขึ้น
ชายคนหนึ่งร่างผอมสูงผมสีทองกำลังยืนถือโทรศัพท์มองมาที่ฉัน แล้วก็มีผู้ชายอีกคนที่ตอนนี้กำลังจับฉันอยู่
ความรู้สึกเลวร้ายแล่นวาบไปทั่วไขสันหลัง หลังจากหายตะลึงแล้วฉันก็ดิ้นรนสุดชีวิต เรี่ยวแรงที่เมื่อก่อนไม่คิดว่าจะเคยมีก็รีดเค้นมันออกมา เพราะถ้าไม่ทำแบบนั้น คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้ายในชีวิตฉันแน่
ปิ๊งป่อง… ปิ๊งปอง…
มีเสียงกดออดหน้าประตู ฉันที่มองเห็นทางรอดก็ไม่รอช้า ออกแรงกัดที่ไปฝ่ามือของชายที่จับฉันอยู่เต็มแรง
“โอ๊ย!! กล้ากัดกูหรอ?”
“ช่วยดัวะ… อัก… แค่ก…แค่กๆ …”
“เอ้ย! มัวแต่ทำอะไรวะ มานี่ดิ เดี๋ยวกูจัดการเอง มึงถ่ายออกมาดีๆ อย่าให้เห็นหน้ากูเชียวล่ะ”
[‘อะไรกัน? ถ่ายรูปหรอ? ไม่ใช่ขโมย? อึก…จุกจัง หายใจไม่ออกเลย’]
“โทษทีนะนังหนู เผลอใส่แรงมากไปหน่อย แต่เดี๋ยวก็สบายแล้ว”
[‘หมอนี่เป็นใคร? แล้วถอดเสื้อทำอะไร? อ๊ะ…ไม่…’]
“อ๊าาา!!!….”
ทันทีที่เข้าใจว่าเหตุการณ์ตรงหน้าคืออะไร สิ่งที่ฉันทำคือกรีดร้องออกมาสุดเสียง
“บ้าเอ๊ย! หุบปาก”
ปากถูกมือหยาบกร้านปิดไว้อีกครั้ง ซ้ำร่างกายยังถูกกดทับโดยผู้ชายตรงหน้า
[‘อึดอัด หายใจไม่ออก ขยะแขยง’]
[‘ต้องหนี!! รีบหนี!! ต้องหนีแล้ว…’]
น้ำตาไหลเอ่อออกมาไม่หยุด… ภาพผู้ชายตรงหน้าที่กำลังกดฉันลงบนพื้นพล่ามัวไปด้วยม่านหมอกของน้ำตาตัวเอง
“โถ่โว้ย!!… อยู่นิ่งๆ ซิวะ”
ปัง!!…
สิ้นเสียงนั้นเหมือนทุกอย่างหยุดนิ่งก่อนที่ความคิดดิ้นรนจะกลับมาอีกครั้ง
[‘เสียง? เหมือนจะได้ยินเสียงประตูกระแทก แล้วทำไมไม่มีเสียงอะไรแล้วล่ะ? มีใครมาใช่มั้ย? ใครก็ได้ ช่วยด้วยยย…’]
“อู้ๆ … อื้ออ… อื้อๆ”
ฉันพยายามออกแรงดิ้นอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล แม้แต่เสียงร้องก็ไม่มีออกมาเป็นถ้อยเป็นคำ ทำได้เพียงนอนส่งเสียงอู้อี้กับพื้นอยู่แบบนั้น
“เอ่อออ… ขอโทษครับ รุ่นพี่จะคุยด้วย รับนะครับ”
“เฮ้ย!?!…อั่ก..”
พลั่ก… ค่อก…
“ขว้างระเบิดไปแล้ว!!”
“เชี่ย!!”
เคร้งงง… ตุบบ… โครมมม…
“ลุก! ไม่ไหวก็ต้องลุก! เร็ว!!”
ภาพตรงหน้าเบลอไปหมดเพราะน้ำตา แต่ก็รู้ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าและกำลังดึงฉันให้ลุกขึ้นตอนนี้เป็นใคร
“ไอ้@$%# กูจะเอาให้มึงร้องไห้กลับไปหาแม่ไม่ถูกเลย!!”
ผู้ชายคนที่กดทับฉันไว้เมื่อกี้ลุกขึ้นมาจากตรงหน้าประตู ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักเขาไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง เหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้นเร็วมากจนฉันตามไม่ค่อยทัน
“โอโตเมะ ได้ยินฉันมั้ย?”
[‘อ่า… นายกลับมาได้ยังไง?’]
ใจอยากจะถามเด็กผู้ชายที่ยังสะพายเป้เสื้อผ้าอยู่บนหลังไปแบบนั้น แต่เสียงพูดมันกลับไม่ดังออกมา
“วิ่งขึ้นไปบนห้องนะ โทรหาตำรวจหรือใครก็ได้ให้มาช่วยที เข้าใจนะ? ฉันบอกให้ไปก็วิ่งเลยนะ”
ฉันยืนฟังเขาพูดทุกคำแต่ไม่มีเสียงจะพูดตอบได้แต่จับมือของเขาแน่นแล้วพยักหน้า รู้สึกได้ว่ามือเขาที่จับมือฉันอยู่นั้นทั้งใหญ่และอบอุ่น แต่มันกำลังสั่น…
“ไป!!”
สิ้นเสียงเขาฉันหันหลังวิ่งไม่คิดชีวิต บันไดบ้านที่เคยคิดว่ามีหลายขั้นเหมือนฉันจะผ่านมันไปได้โดยก้าวเพียงแค่ 4 ก้าว เท่านั้น
เข้าห้องล็อกประตูด้วยมือที่สั่นเทา หายใจหอบจนรู้สึกจุกแน่นหน้าอก
ความคิดคำนึงสุดท้ายคือคำพูดของอาคิยามะที่บอกกับฉันเมื่อกี้
[‘โทรศัพท์? … ต้องโทรศัพท์ โทรหาคนมาช่วย…’]
ฉันหันไปหากระเป๋านักเรียนหมายจะหยิบโทรศัพท์ แต่… กระเป๋านักเรียนตกอยู่ข้างล่าง
ฉันอึ้ง… ยืนงงทำอะไรไม่ถูก น้ำตาที่หยุดไหลไปเริ่มคลอออกมาอีกครั้ง
“อึกๆ … ทำไงดี? ทำไงดี? อึกๆ…”
แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา ไหลราวกับว่ามันเค้นเอาน้ำตาทั้งหมดของฉันออกมาในคราวเดียว ข้างล่างยังคงได้ยินเสียงดังปึงปัง โครมคราม
กลัว… กลัวเหลือเกิน
“ฮือออ… ฮือๆๆ ….”
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานขนาดไหน แต่สำหรับฉันมันนานราวกับชั่วกัปชั่วกัลป์
ก๊อกๆๆ
“อ๊า…!!”
อยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตู ฉันที่กำลังนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่ตกใจจนผวาร้องเสียงหลง
“ฉันเอง อาคิยามะ ตำรวจมาแล้ว คนร้ายหนีไปแล้ว เธอไม่เป็นไรนะ?”
เสียงที่ดังลอดประตูเข้ามาเป็นเสียงเด็กหนุ่มที่ฟังดูสั่นเล็กน้อย ฉันรับฟังเสียงของเขาที่กำลังพูดกับฉัน น้ำเสียงที่แม้ว่าจะสั่นแต่ก็ยังทุ้มนุ่มเหมือนเขาตั้งใจจะปลอบฉันที่กำลังขวัญผวา
ฉันเหม่อมองบานประตูห้องอยู่ครู่หนึ่ง จนเสียงหน้าห้องเงียบลงไปพักนึกแล้วจึงได้รู้สึกตัว
ฉันรีบลุกไปเปิดประตู แต่แทนที่เปิดไปแล้วจะเจออาคิยามะยืนรออยู่ตรงนั้น ฉันกลับเจออาคิยามะที่หงายหลังล้มลงมาอยู่ตรงเท้าฉัน
ที่หน้าของเขา
“อ๊ะ!!”
ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์สั่งให้มือของฉันกดกระโปรงตัวเองไว้แล้วรีบถอยออกมา ทางด้านอาคิยามะที่หลังจากหายตกใจก็รีบลุกขึ้นยืนทันที
ความกระอักกระอ่วนแปลกๆ เกิดขึ้นระหว่างเรา ฉันยังเอามือจับกระโปรงตัวเองไว้ ไม่กล้ามองหน้าเด็กผู้ชายตรงหน้า
“เธอเป็นอะไรมากมั้ย?”
อาคิยามะเป็นฝ่ายเริ่มทำลายบรรยากาศอึดอัดลงก่อน เขายังคงใช้น้ำเสียงทุ้มนุ่มเหมือนเมื่อกี้ แต่ตอนนี้ที่ได้เห็นหน้าตอนพูดด้วย ฉันก็นึกขึ้นมาได้อีกอย่างว่าตัวเขาที่ทำหน้าตาอ่อนโยนแบบนี้น่ะ ปลอบโยนผู้หญิงเก่งสุดๆ ไปเลย
ขาที่สั่นเล็กน้อยพาฉันให้เดินเข้าไปหาอาคิยามะที่หน้าประตู ฉันเพิ่งสังเกตเองว่าเขายังยืนอยู่นอกประตูไม่ได้ก้าวเข้ามาในห้องของฉันเลย
อาคิยามะยิ้มให้ฉัน เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะยิ้มปลอบขวัญเด็กน้อยที่พลัดหลงกับพ่อแม่ ถ้าเป็นในเวลาปกติฉันคงจะหมั่นไส้ แต่ตอนนี้มันกลับทำให้ฉันอุ่นใจเหลือเกิน
ฉันยืนพิจารณาใบหน้าของเขา เขาเองก็เหมือนจะกำลังพิจารณาตัวฉันเช่นกัน ตัวของเขาสูงมากซะจนเวลาที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กันแบบนี้ฉันจะต้องแหงนหน้ามองเขา
[‘แผลเต็มเลย…’]
ร่องรอยฟกช้ำที่หน้า มุมปากที่เจ่อออกมา หางคิ้วและหางตา แม้กระทั่งดวงตาที่มองมาที่ฉันข้างซ้ายนั่นก็ยังแดงก่ำ
“อึกๆๆ … ฮือๆ … ฮืออออ…”
จู่ๆ ก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรง น้ำตาที่เพิ่งจะแห้งไปไหลบ่าออกมาอีก ฉันโผเข้ากอดอาคิยามะและร้องไห้โฮอย่างที่ไม่เคยทำกับใครนอกจากพ่อแม่
เขารับฉันไว้แต่ก็ดูเหมือนตกใจเลยเสียหลักล้มลงไปนั่งทั้งคู่ แต่จังหวะนั้นฉันไม่สนใจอะไรแล้ว ความรู้สึกตกใจ ความรู้สึกกลัวที่คั่งค้างสั่งสมมาตลอดเหมือนเจอทางให้ระบายออก ฉันซุกตัวร้องไห้ในอ้อมแขนของเขาโดยไม่สนว่าเขาจะคิดยังไง ร้องไห้จนกระทั่งหมดแรง ร้องจนไม่มีเสียงให้ร้อง
ตอนที่พวกรุ่นพี่คาวากุจิกับคุณนาคาจิมะมาถึงฉันยังสะอึกสะอื้นอยู่ในวงแขนของอาคิยามะ พวกเขาเข้ามาปลอบฉันและแยกอาคิยามะออกไป
จากนั้นพ่อ แม่ แล้วพี่ของฉันก็ตามมา สุดท้ายพวกเราก็ยกโขยงกันไปที่สถานีตำรวจ โดยปล่อยให้พี่อยู่บ้านเพื่ออำนวยความสะดวกให้ตำรวจในการตรวจสอบที่เกิดเหตุ ซึ่งดูเหมือนพี่เองก็จะรับมือกับเรื่องแบบนี้ได้ดี คงเพราะเคยมีประสบการณ์มาก่อนแล้ว
ส่วนอาคิยามะ ตอนที่ฉันลงมาเขาก็ไม่อยู่แล้ว ถูกส่งไปโรงพยาบาลก่อนโดยมีครอบครัวนาคาจิมะเป็นคนดูแลให้
กว่าเรื่องราวจะจบลงเวลาก็ล่วงเลยจนเกือบจะเข้าวันใหม่ พ่อกับแม่พาฉันกลับบ้านก็พอดีกับที่พี่จัดเก็บสถานที่เกิดเหตุส่วนใหญ่เสร็จเรียบร้อย นอกจากข้าวของที่พังเสียหายไปบ้าง คราบเลือดและสิ่งต่างๆ ที่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยถูกจัดการไปหมดแล้ว
ฉันอาบน้ำและเข้านอนพักผ่อนตามที่พ่อกับแม่บอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่สามารถข่มตาหลับได้ในทันที ภาพความทรงจำตอนอยู่ที่สถานีตำรวจฉายย้อนขึ้นมาให้เห็นอีกครั้ง
หลังจากไปถึงสถานีตำรวจ ฉันถูกขอให้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเพื่อทำสำนวนคดี แต่บอกตรงๆ ว่าตัวฉันจำอะไรไม่ค่อยได้เท่าไรนัก
รู้แค่ว่าตัวเองกลับมาถึงบ้านและกำลังเปิดประตูเข้าบ้าน จู่ๆ ก็ถูกคนเข้ามาปิดปากจากด้านหลัง จากนั้นก็ดันตัวฉันเข้ามาในบ้าน
แล้วอยู่ดีๆ ไฟในบ้านก็สว่างขึ้น ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นว่าคนร้ายที่บุกเข้ามาเป็นผู้ชายสองคน คนนึงจับฉันไว้และชกฉันที่ท้อง จากนั้นพยายามจะข่มขืนฉัน ส่วนอีกคนเหมือนจะพยายามถ่ายภาพหรือวิดีโออยู่ข้างๆ
แล้วจากนั้นก็ได้ยินเสียงดังปังเหมือนประตูถูกกระแทกเปิดเข้ามา แล้วก็เสียงเหมือนคนชกต่อยกัน รู้ตัวอีกทีตอนที่ผู้ชายที่คร่อมทับฉันอยู่ลุกขึ้นไป จากนั้นอาคิยามะก็เข้ามาช่วยและบอกให้ฉันหนีไปอยู่ในห้องเพื่อโทรตามคนมาช่วย
พอเข้าห้องได้ก็ตั้งใจจะโทรหาตำรวจแต่โทรศัพท์ดันอยู่ในกระเป๋านักเรียนข้างล่าง หลังจากนั้นฉันก็ทำอะไรไม่ถูกแล้วก็นั่งร้องไห้จนอาคิยามะมาเคาะประตูเรียกบอกว่าตำรวจมาแล้ว
ฉันเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยความสับสนพอสมควร รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของตัวเองสั่นเทาเล็กน้อย อันที่จริงฉันเองก็ยังไม่หายตกใจดีนัก มือเองยังสั่นๆ ที่จริงก็สั่นทั้งตัว แต่ก็สามารถควบคุมสติได้ดีพอสมควรแล้ว
พ่อนั่งฟังฉันเล่าอยู่ข้างๆ เงียบๆ ส่วนแม่ร้องไห้แล้วกอดฉันตลอดการสอบปากคำของตำรวจ รุ่นพี่คาวากุจิเองก็อยู่ด้วย เธอถูกตำรวจสอบปากคำด้วยเหมือนกันแต่ไม่ได้ละเอียดเท่าฉัน
โชคดีที่ตำรวจจับคนร้ายได้ 1 คน เห็นว่าหมอนั่นศีรษแตกนอนหมดสติอยู่ตรงประตูตอนที่ตำรวจไปถึง เวลานี้น่าจะถูกตำรวจคุมตัวไว้แล้ว หลังจากนี้จะมีการสืบสวนต่อซึ่งตำรวจอาจจะขอความร่วมมือมาเป็นครั้งคราว
พ่อบอกให้ฉันสบายใจและไม่ต้องกลัวเพราะตำรวจจะจัดการคนร้ายให้ แต่แม่กลับร้องโวยวายและไม่ยอมปล่อยฉันจนพ่อต้องบอกว่าปล่อยลูกไปพักผ่อนได้แล้ว
เกือบตีหนึ่ง
ฉันที่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาถูกความคุ้นชินของสภาพแวดล้อมทำให้เริ่มจะสงบจิตสงบใจลงจนแทบจะเป็นปกติได้แล้ว แม้ว่าพอนึกภาพเหตุการณ์ที่เพิ่งจะเกิดขึ้นแล้วอาจจะยังกลัวอยู่บ้างแต่ก็ไม่ได้ลนลานจนตัวสั่นเหมือนก่อนหน้านี้
[‘ถ้าตอนนั้นอาคิยามะไม่เข้ามา ฉันจะเป็นยังไงกันนะ?’]
แผ่นหลังของเด็กผู้ชายตัวสูงที่มีเป้ใบใหญ่สะพายอยู่ในตอนนั้นดูแข็งแกร่งและพึ่งพาได้จนไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นแผ่นหลังของเด็ก ม.ปลาย
อยากจะถามว่านายมาทำอะไรที่นี่?… แต่ก็ไม่มีโอกาสได้ถาม
อยากจะถามว่านายเป็นอะไรมากมั้ย? … แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้เจอกัน แถมจะให้โทรหาตอนนี้ก็เกรงใจ
อยากพูดคุย… อยากถามไถ่… อยากขอบคุณ…
สมองวนเวียนอยู่กับความคิดเหล่านั้นจนสุดท้ายร่างกายที่เหนื่อยล้าก็เป็นฝ่ายชนะ สิ่งสุดท้ายที่ลอยขึ้นมาคือใบหน้าฟกช้ำที่กำลังยิ้มและมองมาที่ฉัน