ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 71 สัปดาห์ที่ 28 อาคิยามะ เออิชิ (2)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 71 สัปดาห์ที่ 28 อาคิยามะ เออิชิ (2)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
เสียงฮือฮาที่ดังกว่าเก่าดังขึ้นรอบๆ ตัวผม นอกจากนี้ก็ยังมีเสียงปรบมือและเสียงเชียร์จากผู้ชม กลายเป็นว่าตอนนี้ตัวผมเด่นสุดๆ ไปเลย
“เอาล่ะครับอย่าให้เสียเวลากันเลย คำถามข้อสุดท้าย…”
ไม่มีเสียงฮือฮาหรือว่าเสียงรบกวนใดๆ ราวกับที่ตรงนั้นมีผมอยู่คนเดียว ความเงียบสงบนั้นดำเนินไปจนกระทั่งเสียงประกาศของกรรมการหญิงคนนั้นดังขึ้น
“…ถูกต้องค่ะ”
“โว้วว…” “สุดยอดเลยพี่ชาย…” “เอาจริงดิ…” “หมอนั่นเป็นใครกันนะ?” “ไม่ใช่ว่าเป็นพวกอาจารย์ปลอมตัวมาเล่นหรอกหรอ?” “…”
สารพัดเสียง สารพัดคำพูด ดังขึ้นมาพร้อมๆ กัน ผมถอนหายใจโล่งอก ก่อนจะเดินออกไปเลือกรางวัลตามคำเชิญของผู้ดำเนินรายการ
[‘ก่อนหน้านี้เล่นฉันไว้แสบเลยนะ ขอเอาคืนหน่อยละกัน’]
ผมแสยะยิ้มเหี้ยมเกรียมให้ชายผู้ดำเนินรายการแต่เขาคงไม่เห็นเพราะผมใส่หน้ากากอยู่ แล้วจึงหันไปเลือกของรางวัลที่น่าจะแพงที่สุดที่วางอยู่ตรงนั้น
[‘ไอ้นี่แหละ’]
ตุ๊กตาตัวใหญ่ยักษ์ ใหญ่กว่าคุณหมีที่ให้โอโตเมะเสียอีก เป็นตุ๊กตาแมวฟ้าลิขสิทธิ์ที่ดูแล้วว่าเป็นของแท้แน่นอน ถ้าอยู่ตามช็อปตัวนี้คงไม่ต่ำกว่า 20,000 เยน
ได้ของรางวัลมาแล้วผมก็หนีออกมาท่ามกลางเสียงปรบมือแสดงความยินดี มีคนหนึ่งส่งสายรัดอะไรสักอย่างคล้ายๆ เข็มขัดมาให้ผม พอเห็นแล้วก็เข้าใจได้ทันที
ผมขอบคุณเขาและคนดูที่ปรบมือให้ก่อนยกตุ๊กตามาแบกไว้บนหลังคาดทับด้วยสายคาดที่ได้รับมา เดินออกไปจากตรงที่จัดกิจกรรมอย่างสง่าผ่าเผย
[‘เหมือนตอนนั้นเลยแฮะ เอาไปให้ยัยนั่นอีกดีมั้ยนะ? อยู่ห้องอะไรหว่า? อ๊ะ ไม่ได้ดิ ถ้าให้ไปเดี๋ยวมีปัญหากับหมอนั่นก็จะวุ่นวายเอาเปล่าๆ อืมมมม… อันนะจะเอามั้ยนะ?’]
“ค่อยกลับไปถามละกัน”
ผมที่ตอนนี้กลายเป็นตัวประหลาดไปเรื่อยๆ เพราะใส่หน้ากากแล้วก็แบกตุ๊กตาไปด้วยกำลังเดินหาของกินอย่างโดดเด่นท่ามกลางสายตาของคนในงาน
ถามว่าอายมั้ยมันก็อาย แต่เพราะไม่มีใครรู้จักเราความอายมันก็ลดลงไปเยอะ พอได้ของกินมาพอสมควรแล้วก็เลือกที่ร่มๆ แถวๆ ข้างอาคารนั่งกินอาหารที่ซื้อมา
คงเป็นเพราะใช้สมองไปเยอะ ร่างกายเลยเสียพลังงานไปมาก ของกินที่ซื้อมาหายไปหมดในเวลาไม่นาน หลังจากจัดการกับขยะเรียบร้อยแล้วก็มานั่งพักผ่อนรับลมสบายๆ
ข้างๆ เป็นตุ๊กตาตัวใหญ่ที่ใหญ่พอๆ กับผมวางอยู่ เราหนึ่งคนหนึ่งตัวเลยตกเป็นเป้าสายตาของคนที่ผ่านไปผ่านมาอยู่เป็นระยะ
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปขนาดไหนแล้วเพราะไม่มีนาฬิกา แต่เข้าใจว่าเป็นช่วงพักเที่ยงเพราะได้ยินเสียงประกาศตามสาย ผมที่กินอิ่มแล้วนั่งพักก็ชักจะง่วงๆ และไม่นานนักภาพก็ตัดไป
สัญญาณภาพกลับมาอีกครั้งตอนที่แสงแดดเริ่มส่องเอียงลงมามากขึ้น แม้ไม่ร้อนจนเหงื่อออกแต่ก็ร้อนมากพอจะปลุกให้ผมตื่นจากการงีบกลางวัน
[‘อ่า… เผลอหลับซะได้’]
เพราะช่วงนี้ติดนิสัยนอนหลับนอกห้องเรียนบ่อยๆ เลยคุ้นชินกับการนอนนอกอาคาร เมื่อกี้พอหนังท้องตึงโดนลมเย็นๆ หนังตาเลยหย่อน
ผมล้วงโทรศัพท์ขึ้นมาดูเวลาแต่เห็นแค่หน้าจอที่ไม่ตอบสนองก็นึกได้ว่ามันดับไปตั้งแต่เข้างานมาแล้วก็ถอดใจ
สังเกตจากแสงแดดแล้วก็น่าจะบ่ายแก่ๆ เพื่อนๆ คงจะกลับไปหมดแล้วเพราะติดต่อผมไม่ได้
[‘งั้นเราก็กลับมั่งดีกว่า’]
ผมยืดเหยียดแขนขาคลายเมื่อยแล้วจัดการคาดตุ๊กตายักษ์บนหลังก่อนจะเดินกลับบ้านท่ามกลางสายตาของเหล่าผู้มาร่วมงานที่มองส่งผมจนกระทั่งพ้นประตูโรงเรียน
ใช้เวลาไม่นานผมก็กลับมาบ้านตัวเองได้อย่างปลอดภัยถึงจะกังวลใจกับสายตาของคนที่เดินสวนกันไปบ้างก็เถอะ
หลังจากปลดระวางสัมภาระที่ได้มาเพราะไม่ชอบหน้าคนจัดงานลงแล้ว ผมก็พาตัวเองไปอาบน้ำอาบท่าหวังจะทำให้ตัวเองสดชื่นขึ้นแต่ที่ไหนได้หลังอาบน้ำเสร็จแล้วนั่งดูทีวีได้แค่ไม่นานผมก็ปล่อยให้ทีวีเป็นฝ่ายดูผมแทน
กว่าจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็เป็นตอนที่ได้ยินเสียงกริ่งหน้าบ้าน ผมงัวเงียลุกไปดูที่จออินเตอร์คอมแต่ก็ไม่เห็นมีใคร พอเปิดประตูไปหน้าบ้านก็โล่งโจ้งไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิต แต่ที่ประตูรั้วมีสิ่งแปลกปลอมอยู่แขวนอยู่
ผมหยิบถุงที่แขวนอยู่นั้นขึ้นมาดู ภายในเป็นกล่องที่บรรจุกับข้าวเอาไว้ เห็นแบบนั้นแล้วก็ได้แต่มองไปทางบ้านของคุณมานามิ
หลังๆ มานี้ผมมักจะได้กับข้าวจากบ้านคุณมานามิตลอดแม้ว่าจะไม่ได้ไปติวให้อันนะก็ตาม คุณมานามิมักจะฝากให้อันนะเอามาให้ผมหรือไม่ก็ชวนผมไปกินข้าวด้วยกัน
[‘เดี๋ยวค่อยไปขอบคุณก็แล้วกัน’]
คิดแบบนั้นพร้อมกับเดินเข้าบ้านตัวเอง พอเดินผ่านโซฟาก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมีสัมภาระชิ้นใหญ่อยู่ ยังไม่ได้ถามอันนะเลยว่าเธออยากได้มั้ย
หลังจากจัดการกับข้าวใส่ตู้เย็นไว้แล้วผมก็เดินมาหยิบโทรศัพท์ตัวเองตั้งใจจะส่งข้อความหาอันนะเรื่องตุ๊กตาแต่แล้วก็นึกได้ว่าเครื่องมันดับไปนานแล้ว
[‘บ้าจริง ลืมกี่รอบแล้วเนี่ย?’]
บ่นตัวเอง งึมงำอยู่คนเดียว แล้วก็ชาร์จโทรศัพท์ทิ้งไว้ มองซ้ายมองขวาแล้วก็ไม่มีอะไรให้ทำงั้นก็จัดการเรื่องข้าวเย็นไปเลยจะดีกว่า พอคิดได้แบบนั้นก็จัดการเข้าครัวหุงหาอาหารทันที
วันนี้ต้องไปค้างที่บ้านรุ่นพี่นาคาจิมะซึ่งปกติแล้วผมก็จะกินข้าวที่บ้านของรุ่นพี่เลย แต่วันนี้ก่อนออกมาบอกรุ่นพี่แล้วว่าจะกลับมาบ้านก่อนแล้วค่อยไป ดังนั้นจะขอกินข้าวจากที่บ้านไปเลย
ผมเอ้อระเหยลอยชายไปมาในบ้านตัวเองจนกระทั่งเวลาประมาณหกโมงครึ่งจึงเห็นว่านี่เป็นฤกษ์งามยามดีแล้วที่จะออกเดินทางไปบ้านรุ่นพี่นาคาจิมะ
กระเป๋าเป้สะพายอยู่บนหลัง มืออีกข้างหิ้วกระเป๋าหนังสือ ก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ที่ชาร์จทิ้งไว้ตั้งแต่ก่อนหุงข้าว
[‘โอ้ววว… อะไรเนี่ย?’]
หน้าจอโทรศัพท์เต็มไปด้วยแถบข้อความแจ้งเตือนมีทั้งสายที่ไม่ได้รับ และข้อความที่ไม่ได้อ่าน
ผมไล่ดูไปทีละอัน สายที่ไม่ได้รับมาจากรุ่นพี่นาคาจิมะ อันนี้น่าจะโทรมาตอนเดินอยู่ในงาน ผมส่งข้อความไปบอกขอโทษรุ่นพี่พร้อมเหตุผลที่อ่านแล้วน่าจะต้องรู้สึกเศร้าตามไปด้วยอีกเล็กน้อย
ส่วนอีกสายมาจากคนในอดีตที่เจอกันในงานวันนี้ ผมมองดูเบอร์ที่ครั้งหนึ่งเป็นเบอร์ที่โทรออกและรับสายมากที่สุดครู่หนึ่งแล้วจึงปัดมันทิ้งไป
จากนั้นก็ตอบข้อความของสหายทั้งสามที่ทั้งบ่นทั้งว่าผม มีทั้งเป็น ‘ไอ้คนหาย’ บ้างล่ะ ‘ไอ้ขี้เซา’ บ้างล่ะ ‘โอโตเมะตามหา’ บ้างล่ะ เอ่อออ… อันหลังนี่บ่นหรือเปล่าไม่แน่ใจ
ต่อมาก็ตอบข้อความของอันนะที่น่าจะส่งมาเมื่อเย็นตอนเอากับข้าวมาให้ แต่เห็นผมไม่ตอบเลยเอามาแขวนไว้แทน ผมขอบคุณเธอกับคุณมานามิ ก่อนจะถ่ายรูปเจ้าตุ๊กตายักษ์ที่ได้มาส่งกลับไปถามเธอว่าอยากได้มั้ย
สุดท้ายก็ตอบข้อความของโอโตเมะ เธอน่าจะส่งมาตอนอยู่ในงาน ทีแรกคิดว่าเธอจะยุ่งจนไม่มีเวลาหรือไม่ก็เดินเที่ยวกับนิโนะมิยะ แต่ดูจากข้อความที่ส่งมาทั้งของเธอและเจ้าสามหน่อนั่นแสดงว่าเธอตามหาผมอยู่จริงๆ
[‘ก็เป็นซะแบบนี้ล่ะนะ ตกลงว่าเธอคิดยังไงกับฉันเนี่ย?’]
ผมสองจิตสองใจว่าจะตอบข้อความเธอดีมั้ย หรือจะเนียนทำเป็นลืมๆ ไป ในจังหวะนั้นเองอันนะก็โทรเข้ามาซะก่อน
“รุ่นพี่…!! นั่นมันอะไร? เอามาจากไหน? ให้ฉันจริงหรอคะ?”
“อาาา… ได้มาจากงานวันนี้น่ะ จะเอามั้ย?”
“อาววว… อิๆๆ รุ่นพี่ใจดีที่สุดเล๊ยย…!!”
พอบอกว่าเดี๋ยวเอาไปให้แล้วออกมารับด้วย อันนะก็ร้องเย้เสียงดังลั่น ผมวางสายก่อนจะหยิบเอาเจ้าตุ๊กตาตัวยักษ์นั่นออกไปด้วยกัน
“ว้าววว…”
อันนะที่ออกมารออยู่หน้าบ้านส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวตอนที่เห็นผมถือตุ๊กตาเดินออกมา เธอวิ่งมาหาผมด้วยท่ากึ่งวิ่งกึ่งกระโดด ถ้าเธอมีหางตอนนี้หางคงกระดิกไม่หยุดแน่ๆ
“เอ้า… แล้วกลับเข้าบ้านได้แล้ว ใครสอนให้ใส่ชุดนอนบางๆ ออกมานอกบ้านแบบนี้เนี่ย?”
ผมบ่นอันนะเล็กน้อยแต่เธอก็ไม่ได้สลดแต่อย่างใด ดูแล้วเหมือนจะดีใจกว่าเดิมด้วยซ้ำกว่าจะไล่เข้าบ้านไปได้ก็เปลืองน้ำลายเปลืองเวลากันไม่น้อย
ตอนที่เดินผ่านหน้าโรงเรียนฮิบิยะ เสียงเพลงและแสงไฟจากในโรงเรียนดึงดูดสายตาให้ผมหันไปมอง
นี่คือโรงเรียน ม.ปลายที่ผมตั้งใจจะเข้าเรียนให้ได้แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เข้า ทั้งที่ตั้งใจขนาดนั้นแท้ๆ แต่ทั้งสัญญา ทั้งความตั้งใจ โดนทำลายทิ้งไม่มีชิ้นดี เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ความอาลัยอาวรณ์
นึกถึงความอาลัยอาวรณ์ ใบหน้าหนึ่งก็ลอยขึ้นมาในห้วงความคิด น่าแปลกที่มันไม่ใช่ใบหน้าของเจ้าของสัญญาที่ทอดทิ้งกันไป แต่กลับเป็นใบหน้าของเจ้าของดวงตาใสคู่นั้น
ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ความลังเลก่อนหน้านี้ยังคงมีอยู่ หากแต่ความรู้สึกอาลัยอาวรณ์กลับมีมากกว่า
เป็นความอาลัยอาวรณ์ที่บอกว่า ‘ผมยังอยากคุยกับเธอ’
ผมพิมพ์ข้อความส่งไปหาโอโตเมะ บอกเหตุผลที่วันนี้ไม่ติดต่อหาเธอและเธอก็ติดต่อหาผมไม่ได้ แล้วก็ส่งไป
ความคาดหวังให้เธออ่านและตอบกลับมาก่อตัวขึ้นในใจเงียบๆ เป็นความรู้สึกที่กดดันเล็กๆ เฝ้ารอคอยหน่อยๆ แล้วก็รู้ว่าเวลาเดินช้าลง
ผมมองข้อความที่ส่งไปครู่หนึ่งก่อนจะปิดมัน ตอนนี้โอโตเมะอาจจะกำลังวุ่นอยู่ เธออาจจะตอบข้อความผมช้า หรือบางทีอาจจะข้ามไปตอบวันอื่นก็ได้ เพราะงั้น…
ตึ่ง…ตรึ่งงง…ตรึ๊งงง… เสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ในมือดังขึ้น
ผมก้มดูมันอีกครั้งทั้งที่เพิ่งจะเก็บมันไป
สายเรียกเข้าจากคุณหมี…
—
เป็นครั้งแรกในรอบครึ่งปีที่รู้สึกว่าการมารอเด็กผู้หญิงที่สถานีมันรู้สึกตื่นเต้นแล้วก็กังวลขนาดนี้
เมื่อกี้โอโตเมะเพิ่งจะโทรมาหาผมและบอกให้ผมรอเธอที่เดิมในสถานี ที่เดิมที่เรานัดเจอกันเมื่อสองสามครั้งก่อน แล้วก็เป็นที่เดิมที่ครั้งล่าสุดเธอพาคนอื่นมาด้วย
ความรู้สึกอิ่มเอมใจที่ข้อความของตัวเองได้รับความสนใจและตอบกลับมาอย่างรวดเร็วนั้นทำให้ผมดีใจอย่างน่าประหลาดจนเผลอใจเต้นรัวกับการนัดเจอของเธอ
แต่พอมายืนรอเธอที่ตรงนี้เข้าจริงๆ แล้ว ความกังวลจากประสบการณ์ครั้งก่อนก็ฉายซ้ำขึ้นมาอีกรอบ
ใจนึงก็อยากจะคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันคงจะใช่อย่างที่คิดนั่นแหละ แต่อีกใจก็คอยห้ามตัวเองตลอดเวลาว่าอย่าเอาตัวไปเสี่ยงกับอะไรที่ยังไม่รู้แน่ชัด เพราะครั้งแรกและครั้งล่าสุดที่เสี่ยงนั่นก็ทำเอาลำบากมาไม่น้อย
ความคิดสองฝั่งตีกันจนผมรู้สึกว่าในหัวมันยุ่งเหยิงไปหมด เลยตัดสินใจเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตา เผื่อว่าความเย็นของน้ำจะช่วยลดความยุ่งเหยิงในหัวได้บ้าง แล้วก็เป็นดังที่หวัง น้ำประปาฤดูกาลนี้เย็นใช้ได้ นอกจากหัวโล่งแล้วตายังโล่งด้วย
พอเดินออกมาจากห้องน้ำกลับไปที่จุดเดิมยังไม่ทันจะถึงผมก็เห็นสิ่งหนึ่งดึงดูดสายตาผมไปเสียก่อน
เด็กสาวสะพายกระเป๋าไว้ที่ไหล่กำลังมองซ้ายมองขวาไปทั่ว ผมยาวที่ถูกรวบไว้เป็นหางม้าข้างหลังนั่นส่ายไปมาตามจังหวะการหัน
ไหล่ของเธอดูสั่นไหวเล็กน้อย เหมือนจะเกิดจากการหายใจเร็วมากกว่าจะเป็นการสั่นเพราะหนาวหรือเพราะอารมณ์กลัวหรือตกใจ
[‘นี่วิ่งมาหรอเนี่ย?’]
ผมเดินเข้าไปหาเธอแต่เหมือนเธอจะไม่รู้ตัวเลย สายตาเธอเหมือนจะมองที่รางรถไฟที่ตอนนี้ไม่มีรถไฟอยู่
แล้วจู่ๆ เธอก็ล้วงกระเป๋าเอาโทรศัพท์ขึ้นมากดยุกยิกแล้วยกแนบหู
จากนั้น… โทรศัพท์ผมก็สั่น เสียงเรียกเข้าดังขึ้น
ผมมองโทรศัพท์ตัวเองก่อนจะมองไปที่เธอซึ่งตอนนี้ก็กำลังหันมามองผม
ตาคู่นั้นของเธอเหมือนจะวาววับกว่าปกติ ดูชุ่มฉ่ำหยาดเยิ้มขัดกับความแห้งของอากาศในตอนนี้เหลือเกิน จนเกือบจะเผลอยื่นมือไปสัมผัสมันโดยไม่รู้ตัว
ผมกดตัดสายก่อนจะปรับความคิดของตัวเองไม่ให้เพ้อเจ้อไปไกลแล้วจึงถามโอโตเมะด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้ดูเหมือนปกติที่สุด
“โทรมาทำไมของเธอ?”
“ก็ฉันหายนายไม่เจอ นึกว่านายกลับไปก่อนแล้ว”
โอโตเมะตอบพลางเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋า แล้วจึงหันมายิ้มให้ผม
เห็นเธอยิ้มแบบนี้แล้วใจกระตุก แม่นี่ตั้งใจหรือเปล่านะ… ไม่ได้ๆ ต้องระวังตัวเองไว้ อย่าเพิ่งมั่นใจคิดเข้าข้างตัวเองเด็ดขาด
ทั้งที่บอกตัวเองแบบนั้น บอกมาตลอด แต่ก็ยังไม่วายใจเต้นรัวกับสถานการณ์ตอนนี้อยู่ดี
“แล้วเธอมีธุระอะไรกับฉันล่ะ?”
“ก็… ไม่มีอ่ะ”
“อ้าว?”
เจอคำตอบชวนให้เข้าใจผิดได้ง่ายเข้าไปอีก วงจรความคิดผมก็เหมือนจะชะงักไปชั่วขณะ
“ก็นายบอกว่าจะถึงสถานีแล้ว ฉันก็คิดว่านายคงจะไปบ้านคุณนาคาจิมะใช่มั้ยล่ะ แถมพอมาเห็นนายขนกระเป๋ามาขนาดนี้ก็ยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ ฉันก็เลยคิดว่าไหนๆ ก็จะกลับบ้านแล้ว กลับพร้อมกันน่าจะดีน่ะ”
[‘เหตุผลอะไรของยัยนี่ล่ะเนี่ย?’]
ฟังเหตุผลที่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผลเท่าไรของโอโตเมะแล้วยิ่งหวั่นไหวเข้าไปใหญ่
ผมมองเธออย่างตั้งอกตั้งใจพินิจพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งจึงตัดสินใจลองเชิงดู
“จะให้ฉันไปส่งที่บ้านว่างั้น?”
“กะ… ก็ ถ้านายไม่สะดวกก็ไม่เป็นไร”
[‘หืมม…?’]
“อยากให้ไปส่ง?”
“ก็… นายติดธุระอะไรมั้ย?”
“อืมม…”
“งั้นหรอ…”
“ทำไมไม่ให้เพื่อนเธอไปส่งล่ะ?”
“เพื่อนฉันกลับกันไปหมดแล้ว”
[‘อ่ออ… หมอนั่นกลับไปแล้วนี่เอง’]
ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าอะไรเป็นอะไร แต่เลือกจะเงียบไว้ ก่อนที่ทั้งผมและเธอจะพากันมารอรถไฟเพื่อกลับบ้านกัน