ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 67 สัปดาห์ที่ 27 อาคิยามะ เออิชิ
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 67 สัปดาห์ที่ 27 อาคิยามะ เออิชิ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
ผมรู้สึกว่าช่วงนี้วันเวลามันผ่านไปเร็วแปลกๆ เผลอแปบเดียวก็เข้าสู่เดือนตุลาคมเสียแล้ว อากาศร้อนที่ก่อนหน้านี้ผมไม่ค่อยจะชอบกำลังหายไปแทนที่ด้วยอากาศเย็นสบายที่ตอนกลางคืนออกจะหนาวอยู่หน่อยๆ
ฤดูกาลเปลี่ยนไปแล้ว…
ชีวิตผมเองก็เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับฤดูกาล นับตั้งแต่เข้าเรียน ม.ปลาย เมื่อฤดูใบไม้ผลิ ผ่านชีวิตฤดูร้อน จนตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแรกของการเป็นนักเรียน ม.ปลาย บอกได้คำเดียวว่าต่างจาก ม.ต้น เป็นหนังคนละม้วน
หนึ่งในตัวแปรที่ทำให้ชีวิต ม.ปลาย ของผมต่างจาก ม.ต้น อย่างชัดเจนเลยก็คือเพื่อน
การเข้าเรียนที่โรงเรียนชายล้วน ทำให้เพื่อนของผมมีแต่เพื่อนผู้ชาย จะมองดูว่าเป็นชีวิต ม.ปลายที่แห้งแล้งก็ได้ แต่ผมก็ไม่ได้คิดมากนัก
ในห้องเรียนผมก็มีเพื่อนหลายคน แต่ที่จะสนิทๆ กันก็มี 3 คน เรียกตัวเองว่ากลุ่ม F4
พวกเรา 4 คน อยู่ด้วยกันตลอด เรียน เล่น หนีเรียน มีเรื่อง และอีกหลายๆ อย่างที่ไม่เคยทำตอนสมัย ม.ต้น ผมก็ได้ทำพร้อมกับพวกเขา
ดังนั้นแล้วถ้าว่ากันตามความรู้สึกสนิทสนมแล้ว ผมรู้สึกสนิทสนมกับพวกเขามากกว่าเพื่อนผู้ชายสมัย ม.ต้น บางคน ที่อยู่ด้วยกันมา 3 ปีซะอีก
แต่บางครั้งเจ้าพวกเพื่อนสนิทก็มักจะชอบทำให้ผมลำบากใจ ไม่ใช่ความลำบากใจอะไรมากมายหรอกนะ แต่มันออกจะเป็นเรื่องชวนปวดหัวหรือชวนรำคาญซะมากกว่า
อย่างล่าสุดนี่ก็เพิ่งจะมากราบขอร้องให้ผมช่วยหาบัตรเข้างานวัฒนธรรมของโรงเรียนมัธยมปลายฮิบิยะให้ งานโรงเรียนที่ใครต่อใครก็อยากจะไปแต่ติดว่ามันต้องมีบัตรเข้างาน
ผมมองหน้าเพื่อนๆ ที่ทำตาแป๋วราวกับลูกแมวร้องขออาหารตรงหน้าแล้วรู้สึกว่าเส้นเลือดที่ขมับจะเต้นตุบๆ
[‘พวกนายหาไม่ได้แล้วฉันจะไปหาได้จากที่ไหนเล่า?’]
ด่ากลับเจ้าพวกนั้นในใจแต่ไม่กล้าพูด เพราะถ้าพูดก็รู้ดีว่าจะโดนให้ไปหาจากไหน
โอโตเมะ อามายะ…
เด็กสาวเจ้าของดวงตางดงามคู่นั้นน่าจะหาให้ผมได้ แต่ช้าก่อน… คุณเอ็งเพิ่งจะไปบอกเขาว่าจะไม่ไปงานแถมโกหกเหตุผลแบบโคตรไม่เนียนมาหมาดๆ
เพิ่งจะขอโทษเขาไปแท้ๆ จะให้บากหน้าไปขอบัตรจากเขามันก็กระไรอยู่
หลังจากทนการรบเร้าอยู่นานเป็นสัปดาห์จนทนไม่ไหว สุดท้ายผมก็ต้องรับปากเพื่อนสนิททั้งสามคนไป คิดว่าถ้าสุดท้ายแล้วยังหาไม่ได้คงต้องไปพึ่งใบบุญรุ่นพี่นาคาจิมะ รุ่นพี่ผู้มีแฟนสาวสุดสวยเป็นอดีตประธานนักเรียนของโรงเรียนฮิบิยะให้หาทางช่วย
แต่สวรรค์มีตาไม่ทอดทิ้งคนดี เพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วโอโตเมะบอกว่าจะช่วยหาบัตรเข้างานมาให้
อ๊ะ… ทุกท่านอาจจะงงว่าโอโตเมะมาได้ยังไง ผมจะย้อนกลับไปให้สักเล็กน้อย
เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อวันศุกร์ที่แล้วจู่ๆ โอโตเมะก็ส่งข้อความมานัดเจอกับผมตอนเย็น ปกติเราส่งข้อความคุยกันทุกวันอยู่แล้ว บางครั้งก็โทรหากันด้วย แต่คุยกันแปบๆ ก็วางสาย
ทีนี้พอเธอส่งข้อความมานัดเจอซึ่งปกติไม่เคยนัดแบบนี้ผมก็ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น เย็นวันนั้นเลยตะลีตะลานไปจุดนัดพบก่อนเวลาซะนาน
แต่พอเจอกันเธอกลับไม่ได้มีเรื่องอะไรเร่งด่วนหรือธุระสำคัญอะไรทั้งนั้น ทำเอาผมทั้งโล่งใจและงงไปพร้อมๆ กัน
พอแกล้งถามว่าที่นัดมานี่คืออยากให้ไปส่งบ้านใช่มั้ย เธอดันย้อนมาว่าไม่ได้หรือไงซะงั้น
อ่า… กะเล่นเขาใจเราสั่นเองเฉยเลย
แต่แสดงออกไม่ได้ เดี๋ยวเสียฟอร์ม ผมเลยหาเรื่องกวนประสาทเธอไปเรื่อยเพื่อเบี่ยงประเด็น จนในที่สุด โอโตเมะก็ยอมพูดจุดประสงค์ที่นัดผมมาเจอกัน บอกตามตรงตอนนั้นผมแปลกใจไม่น้อยเลย
โอโตเมะถามผมว่าจะไปงานโรงเรียนเธอมั้ย
- [‘ถามแบบนี้นี่จะพาลให้คิดไปไกลเอาได้นะ’] –
ผมดึงสติตัวเองกลับมาก่อนที่จะเผลอล่องลอยไปไกล
- [‘ลองถามเรื่องบัตรเข้างานดูดีกว่า’] –
หลังจากนั้นผมก็เจรจา อืมมม… อันที่จริงก็ขอร้องแหละ
ขอร้องให้โอโตเมะช่วยหาบัตรเข้างานมาให้ ไม่ใช่แค่ของผมแต่รวมถึงเพื่อนๆ ทั้งสามของผมด้วย โดยมีข้อแม้ข้อเดียวคือเพื่อนๆ ของผมห้ามก่อปัญหาเด็ดขาด
ก็นั่นแหละครับ จากที่เล่ามาทั้งหมดทั้งมวลนั้นนำมาสู่เหตุการณ์ ณ ตอนนี้ที่ผมกำลังนั่งมองสมาชิกของกลุ่ม F4 สามคน กำลังร่วมกันก่อตั้งลัทธิบูชาเทพธิดาโอโตเมะ
ส่วนสาเหตุที่มันเป็นแบบนี้ก็เพราะผมเพิ่งจะยืนยันกับเจ้าพวกนี้ว่าโอโตเมะหาบัตรมาให้พวกเขาได้เรียบร้อยแล้ว
“พวกนายฟังฉันหรือเปล่าเนี่ย ถ้าเข้าไปในงานแล้วห้ามก่อปัญหาเด็ดขาด”
รู้แล้วๆๆ …
[‘จะเชื่อได้แค่ไหนกันล่ะนั่น’]
ผมมองเพื่อนๆ ที่ดีอกดีใจกันพลางขอให้ตอนไปงานไม่มีใครมาหาเรื่องเจ้าพวกนี้ด้วยเถอะ
หลังเลิกเรียน ผมกลับบ้านทันทีเพราะต้องรีบกลับมาติวให้อันนะที่บ้าน
หลานสาวของคุณยายมานามิผู้มีบ้านอยู่ฝั่งตรงข้ามเยื้องๆ กับบ้านผมมีสถานะเป็นทั้งเพื่อนบ้าน รุ่นน้อง และตอนนี้ก็ลูกศิษย์
พูดเองก็ออกจะเขินๆ แต่ครั้งแรกที่ไปติวอันนะเรียกผมว่าคุณครูด้วย
จั๊กจี้หัวใจชะมัด ผมเลยฟาดด้วยสันมือไปทีนึง คำเรียกเลยกลับมาเป็นรุ่นพี่เหมือนเดิม
ผมกับอันนะเริ่มติวกันมาได้ประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว ก่อนหน้านี้เธอไปติวที่โรงเรียนกวดวิชาแต่เพราะมีปัญหาเกิดขึ้นจนทำให้ได้เจอกับผม สุดท้ายก็มาลงเอยที่ให้ผมช่วยติวให้
ตอนแรกผมค่อนข้างประหลาดใจที่เธอมีผลการเรียนค่อนข้างดีแล้วยังจะมาขอให้ผมติวให้ทุกวันแบบไม่มีวันพัก
เผลอคิดไปว่าเด็กคนนี้ช่างเป็นคนขยันเอาการเอางาน แต่พออันนะบอกเหตุผลที่อยากมาติวว่าจะได้เอาไปอวดเพื่อนๆ ว่าอยู่กับผมทุกวัน ก็เลยฟากสันมือใส่กระหม่อมเธอไป
สรุปผมติวให้สัปดาห์ละสองวัน อังคารกับพฤหัสบดี ถ้าวันไหนไม่สะดวกก็จะนัดเปลี่ยนวันเอา สถานที่ก็เป็นที่บ้านคุณมานามิ พูดชัดๆ ก็คือที่ห้องนอนของอันนะ แต่ผมไม่ได้คิดอะไรหรอกนะ เชื่อผมซิ
หลังติวเสร็จประมาณทุ่มครึ่ง ผมกับอันนะก็ลงมากินข้าวกับคุณมานามิ และนี่ก็คือค่าจ้างของผม เป็นการติวแลกมื้อเย็น
“วันนี้ก็ขอบใจที่มาติวให้อันนะนะจ๊ะ เอ้านี่ กินเยอะๆ จ้ะ”
คุณมานามิยังคงใจดีตักข้าวซะล้นให้ผมเหมือนเดิม อันนะที่เห็นแบบนั้นก็ถ่ายรูปผมเพื่อเอาไปอวดเพื่อนๆ ของเธอ
ตั้งแต่ผมอนุญาตให้เธอเอารูปของผมให้เพื่อนดูได้แต่ต้องเป็นเพื่อนสนิทเท่านั้นและห้ามส่งให้คนอื่นเด็ดขาด อันนะก็มักจะถ่ายรูปผมตอนเผลอตลอด บางรูปก็ดูได้ บางรูปก็ไม่กล้าให้ออกสื่อ ต้องลบทิ้งเท่านั้น
“อันนะ เวลากินข้าว อย่าเล่นโทรศัพท์”
“ค่าาา…”
อันนะโดนคุณมานามิดุแต่ก็ไม่ได้สลดลงแต่อย่างใด ยังชวนผมคุยด้วยท่าทางอารมณ์ดีสุดๆ อยู่เลย
หลังจากลาคุณมานามิและอันนะแล้วผมก็เดินกลับมาบ้าน
ในบ้านเงียบสงัดมีเพียงไฟที่ผมเปิดทิ้งไว้ก่อนออกไปติวให้อันนะ ผมเดินเข้าห้องน้ำเตรียมรองน้ำไว้สำหรับแช่ตอนอาบน้ำ ตั้งเวลาเตือนแล้วออกมานั่งดูทีวีที่ห้องนั่งเล่น
เสียงจากทีวีทำให้ในบ้านไม่เงียบเหมือนในตอนแรก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ในบ้านมีชีวิตชีวาเหมือนตอนกินข้าวกับคุณมานามิและอันนะ
ที่บ้านนี้ไม่มีใคร นอกจากผม
อารมณ์เหงาที่ช่วงนี้ไม่ค่อยได้รู้สึกเข้าเกาะกุมห้วงความนึกคิด ก่อนหน้านี้มีรุ่นพี่นาคาจิมะกับครอบครัวที่คอยช่วยให้ไม่รู้สึกเหงาตอนช่วงสุดสัปดาห์ มาตอนนี้ก็มีอันนะกับคุณมานามิมาช่วยคลายเหงาระหว่างสัปดาห์ให้
เป็นโชคดีของผมที่ทั้งสองครอบครัวดีต่อผม ในความรู้สึกตอนอยู่กับรุ่นพี่กับครอบครัวนาคาจิมะ ผมจะรู้สึกเหมือนอยู่กับพ่อแม่และพี่ชาย
ในขณะที่ตอนอยู่กับอันนะกับคุณมานามิจะให้ความรู้สึกเหมือนอยู่กับญาติผู้ใหญ่และมีน้องสาวที่ต้องดูแล
เป็นความรู้สึกคนละแบบ แต่ก็ให้อารมณ์คล้ายๆ กัน จะเรียกว่าเป็นความอาลัยอาวรณ์หรือความยึดติดหรืออะไรดี แต่ผมคิดถึงความรู้สึกพวกนี้ คิดถึงพ่อแม่ คิดถึงครอบครัว
ถ้าพ่อกับแม่ยังอยู่ ก็คงไม่เหงาแบบนี้…
ถ้าแค่ใครสักคนยังอยู่ หรือแค่มีใครสักคนอยู่…
ตรึ๊งงงง… ตรึ๊งงงง…
เสียงเตือนจากนาฬิกาที่ตั้งไว้ดังขึ้น ปลุกผมจากภวังค์ความคิดที่กำลังจมดิ่ง
ผมส่ายหัว หัวเราะตัวเองเบาๆ
“เพ้อเจ้ออีกแล้วเออิชิ…”
ฮึบบ…
ผมลุกขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินไปห้องน้ำ เป้าหมายคือการเอาน้ำรดหัวให้สมองปลอดโปร่งก่อนจะแช่น้ำให้สบายใจ
“อืมม… เดี๋ยวทำสรุปให้เจ้าพวกนั้นเลยดีกว่า ช่วงนี้รับงานเยอะแล้วด้วย เดี๋ยวไม่ทัน”
พึมพำว่าจะทำสรุปอ่านสอบให้เพื่อนพลางถอดเสื้อผ้าไปพลาง น้ำในอ่างก็เต็มพอดี
ผมชำระล้างร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะลงไปแช่น้ำอุ่น หวังให้ความเหนื่อยล้าทั้งทางร่างกายและจิตใจละลายหายออกไปจากตัว
—
ตรึ๊ง…
ผมเงยหน้าจากกองสรุปวิชาประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นไปมองโทรศัพท์ เวลาบนหน้าจอแสดงเป็นตัวเลข 23:58
อีกสองนาทีจะเข้าวันใหม่…
ไม่ต้องมองก็พอจะเดาได้ว่าใครส่งข้อความมา เวลาประมาณนี้ น่าจะมีคนเดียวแหละ
ผมยิ้มแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ หน้าต่างแชทแสดงข้อความใหม่ที่เพิ่งส่งมาอยู่ด้านล่างสุด
[เจ้าหมอน นอนยัง?]
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เจ้าของข้อความมักจะเรียกผมว่าเจ้าหมอนเวลาเราคุยแชทกัน
[มีอะไร? ทำไมไม่หลับไม่นอน?]
ผมพิมพ์ตอบเหมือนทุกครั้ง
[นายก็ยังไม่นอนนิ]
อีกฝ่ายก็ย้อนมาแบบทุกครั้งเหมือนกัน
[ไม่โดนฉันกวนประสาทแล้วนอนไม่หลับหรอ?]
[วันนี้นายกวนฉันมาเยอะแล้วเหอะ]
“สติกเกอร์อะไรล่ะนั่น”
ฝั่งนั้นส่งสติกเกอร์มา แล้วพิมพ์ตามมาอีก
[พรุ่งนี้นายไปค้างบ้านคุณนาคาจิมะใช่มั้ย?]
[อืมม… ทำไม?]
[ไปตอนไหน?]
[ก็เวลาเดิมแหละมั้ง]
[งั้นรอฉันด้วย]
[รอทำไม?]
[ฉันจะกลับด้วย?]
ผมส่งสติกเกอร์สงสัยไปให้เพราะไม่เข้าใจว่าเธอจะกลับไปไหน
[เธอจะบ้านรุ่นพี่ฉันหรอ?]
[ฉันจะไปทำไม?]
[อ้าว… ก็เธอบอกจะกลับด้วย]
[กลับบ้านฉันซิ]
[หืมม…?]
[อะไร?]
[จะให้ฉันไปส่งว่างั้น?]
[กลับเองก็ได้ย่ะ]
ผมนึกภาพอีกฝ่ายนั่งหน้าบูดพิมพ์ข้อความส่งมาแล้วก็อดยิ้มอยู่คนเดียวไม่ได้
เหลือบมองนาฬิกาก็เห็นว่าเข้าวันใหม่มาสักพักแล้ว
[‘แกล้งก่อนนอนมากๆ คงจะไม่ดี’]
ผมส่งข้อความว่าจะรอที่เดิมกลับไป คิดว่าอีกฝ่ายคงจะได้คำตอบที่พอใจแล้วเธอเลยส่งสติกเกอร์โอเคกลับมา
ผมวางโทรศัพท์ลงแล้วเก็บข้าวของบนโต๊ะจัดลงกระเป๋าเตรียมพร้อมไว้ให้เรียบร้อย ก่อนจะขึ้นที่นอนปิดไฟ
ในห้วงความมืดสมองจินตนาการผู้หญิงที่เพิ่งจะคุยกันเมื่อกี้ขึ้นมาเป็นรูปเป็นร่าง
รู้ตัวดีแล้วว่าตัวเองแคร์คนคนนี้ มากกว่าเพื่อนต่างเพศคนอื่นๆ ที่เคยมีมา
รู้ดีว่านี่เป็นอารมณ์ความรู้สึกที่อันตราย มันอาจจะพัฒนาไปเป็นอะไรก็ได้ทั้งด้านดีและไม่ดี
บางทีมันอาจก่อให้เกิดสายสัมพันธ์ใหม่ขึ้น หรือบางทีมันอาจจะตัดสายสัมพันธ์เดิมให้ขาดลง
และแน่นอนว่าตัวผมในตอนนี้ยังไม่อยากเดิมพันกับมัน ไม่อยากเอาความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่เพิ่งได้รับมาเสี่ยง
ไหนจะความรู้สึกกับรอยแผลเก่าที่ยังคงหลงเหลือค้างคา ไหนจะข่าวลือว่าเธอมีคนที่ผมไม่น่าจะสู้ด้วยได้อยู่แล้ว
แต่ให้ตายเถอะ… ถ้าสมมตินะ สมมติว่า เธอคิดและรู้สึกเหมือนผมล่ะ
ถ้าสิ่งที่เธอทำ สิ่งที่เธอแสดงออกมาทุกอย่าง ทุกวันนี้มันไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดจินตนาการเข้าข้างตัวเองล่ะ
ถ้าเป็นแบบนั้น… ถ้าผมจะคิดสักนิดนึง คงจะได้ใช่มั้ย…
—
อ่าาา…ใช่ เมื่อคืนผมคิดแบบนั้นจริงๆ แล้ววันนี้ทั้งวันผมก็น่าจะเผลอคิดไปโดยไม่รู้ตัวทั้งวันแน่ๆ ผมถึงได้มายืนรอเธอที่นี่ได้เป็นชั่วโมงๆ
ตรงหน้าเป็นผู้หญิงที่ผมยืนรอมาชั่วโมงกว่าๆ ส่วนข้างๆ เธอคือหนุ่มหล่อที่มองจากดาวอังคารก็ยังหล่อ เจ้าของฉายาชายที่สาวๆ อยากคบด้วยมากที่สุดสมัย ม.ต้น
นิโนะมิยะ เรียว
ผมรู้ว่าเขาเป็นใคร แน่นอนว่าเขาก็รู้ว่าผมเป็นใคร แต่ไม่มีใครในสองคนเราที่จะพูดกัน
ผมทำแค่เพียงมองเขาและเขาก็มองผมกลับเท่านั้น
“เอ่อ…คือ นี่…นิโนะมิยะคุงนะ เป็นเพื่อนฉันที่โรงเรียน เอ่ออ…นิโนะมิยะคุง นี่อาคิยามะคุงนะ เพื่อนฉันเอง”
““สวัสดี””
เราสองคนทักทายกันแค่นั้นก่อนที่ผมจะหันไปทางโอโตเมะ
“เราไปกันเลยมั้ย?”
“อ๊ะ? อ่อ ไปซิ”
ผมเดินไปก่อนโดยไม่รอทั้งสองคนและไม่คิดจะรอ เหมือนจะได้ยินสองคนนั้นคุยกันแว่วๆ แต่จับใจความไม่ได้ ไม่นานนักรถไฟก็มา
ผมขึ้นรถไฟและยืนประจำตรงที่ผมเพียงแต่คราวนี้ไม่ต้องคอยบังให้ใครแล้ว ผมจึงเลือกที่จะใส่หูฟังและพึงประตูสบายๆ
ใกล้ๆ กัน โอโตเมะกับนิโนะมิยะยืนอยู่ รู้สึกเหมือนเธอจะมองมาที่ผมอยู่สองสามครั้งแต่ก็ไม่เห็นพูดอะไรจนกระทั่งผมลงจากรถไฟ
…วันนี้ ผมไม่ได้ไปส่งเธอ
สิ่งที่ผมกังวลเมื่อคืนเป็นจริงขึ้นมาแล้ว และเป็นโชคดีของผมที่ยังไม่ได้ลองเสี่ยงกับความคิดเข้าข้างตัวเอง
ตัวผมที่หลงคิดเข้าข้างตัวเองมาตั้งแต่เมื่อคืนโดยหวังว่าตัวเองจะสามารถคิดเพ้อฝันเล็กๆ น้อยๆ ได้นั่นโดนความจริงตรงหน้าเตือนสติให้อีกครั้ง
ความจริงที่ว่า โอโตเมะ อามายะ ไม่ได้คิดแบบเดียวกันกับผม
เธอไม่ได้บอกผม แต่เธอแสดงให้ผมดู…
เธอมากับหมอนั่น…
ที่เมื่อคืนเธอบอกให้รอเธอก่อนก็คงเพราะแบบนี้
บางทีเธอคงจะอึดอัดที่คุยกับผมทุกวันเลยอยากบอกให้ผมรู้ หรือบางทีหมอนั่นอาจจะรู้แล้วอึดอัดเลยมาแสดงตัวให้ผมเห็น
แต่จะเป็นแบบไหนก็ไม่สำคัญ เพราะยังไงก็มีค่าเท่ากันอยู่ดี
ผมเก็บหูฟังที่คาอยู่ที่หูเฉยๆ ตั้งแต่ขึ้นรถไฟเข้ากระเป๋า ลมเย็นพัดผ่านไปให้ความรู้สึกสดชื่นและสะท้านไปพร้อมๆ กัน
เพราะมัวแต่หลงดีใจกับการได้เป็นเพื่อนกันเลยหลงลืมไปว่าเคยตักเตือนตัวเองให้ระวัง
“วันนี้คนคุมก็มาแล้ว ระวังตัวเองไว้หน่อยดีกว่าเรา”
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่คืนนี้อากาศหนาวกว่าทุกทีที่ผ่านมา