ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ - ตอนที่ 105 สัปดาห์ที่ 38 อาคิยามะ เออิชิ (2)
- Home
- ที่หนึ่งอันยอดเยี่ยมนั่น จะไปถึงมันอีกครั้งได้ไหมนะ
- ตอนที่ 105 สัปดาห์ที่ 38 อาคิยามะ เออิชิ (2)
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาสนับสนุนกัน และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกๆ ท่านจะสนับสนุนกันต่อไปในอนาคต
พรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญยิ่งอีกวันหนึ่งในชีวิตผม เป็นวันที่ผมจะต้องไปทำภารกิจระดับ SSS เพื่อความสงบสุขของโลก… ซะที่ไหนล่ะ
ภารกิจพิชิตใจสาวต่างหาก
ผมล่ะอยากจะบอกรุ่นพี่นาคาจิมะเหลือเกินว่าตัวเขาเองก็มีภารกิจกับแฟนสาวของตัวเองเช่นกันนะ เพราะงั้นวันนี้น่ะเรามาเตรียมความพร้อมกันเถอะ
เตรียมตัวให้พร้อมสำหรับวันพิเศษกันดีกว่า แต่ว่านะ… รุ่นพี่นาคาจิมะน่ะ… ฮือออ… มาขยันจริงจังอะไรตอนนี้
ทีแรกผมก็นึกว่าเขาจะงอแงไม่อยากติวเหมือนทุกที แต่ครั้งนี้กลับไม่เป็นแบบนั้น
ไม่ค่อยแน่ใจว่าได้พูดคุยตกลงอะไรกับคุณคาวากุจิมาหรือเปล่า เลยรู้สึกว่าวันนี้รุ่นพี่ดูมีไฟมากกว่าปกติ
แน่นอนว่าเห็นพลังไฟวัยรุ่นของรุ่นพี่แล้วตัวผมที่ไม่อาจต้านทานความร้อนแรงนั้นได้จึงได้คล้อยตามเข้าไป อาศัยคติพจน์อันยิ่งใหญ่ที่ว่า
ต่อต้านไม่ได้ก็เข้าร่วมกับมันซะ
ดังนั้นแล้วการติวกันครั้งนี้ของผมกับรุ่นพี่นาคาจิมะจึงทั้งเข้มข้น เร่าร้อน และจริงจังกันสุดๆ
กว่าจะถึงช่วงพักก็เล่นเอาเหนื่อย…
“นี่ มารุ นายว่าฉันจะเข้ามหาวิทยาลัยได้มั้ย?”
ในตอนที่กำลังพักสมองกันอยู่นั้น รุ่นพี่ที่ฟิตปั๋งมาทั้งวันเอ่ยคำถามที่ดูแล้วเหมือนจะเป็นความกังวลใจลึกๆ ของตัวเองออกมา
สภาพของชายที่ได้ฉายาเทพเจ้าในร่างคนที่ตอนนี้นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นห้องดูแล้วไม่ต่างจากไปเด็ก ม.ปลาย ทั่วไปที่ยังสับสนกับเป้าหมายของชีวิต
“ถ้าทำได้ระดับนี้ ผมว่าก็มีลุ้นครับ”
“ยังแค่มีลุ้นซินะ…”
น้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยไร้อารมณ์เหมือนไม่ใส่ แต่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่แบบนั้น
“มินะจะได้รับจดหมายแนะนำให้เข้ามหาวิทยาลัยหญิง TK ขอแค่เธอตกลง เมษาปีหน้าเธอจะได้เป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยสตรีอันดับหนึ่งของประเทศทันที”
แต่ฉันยังทำได้แค่ต้องรอลุ้น…
ผมนั่งฟังรุ่นพี่เงียบๆ ไม่ได้เอ่ยออกความเห็นอะไร เพราะไม่มั่นใจนักว่าตัวเองเข้าใจความรู้สึกของรุ่นพี่ทั้งหมด
ความกังวลต่างๆ นานาเมื่อต้องแยกจากคนที่เรารักมักจะทำให้เราวิตกจริตได้ง่าย ยิ่งเป็นคนที่เคยอยู่ใกล้จนเขากลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้วผมเดาว่ามันคงยิ่งทำให้เรากังวลมากขึ้นไปอีก
กังวลว่าจะเสียเขาไป…
มองรุ่นพี่ที่นอนมองเพดานเงียบๆ แล้วก็คิดย้อนกลับไป…
ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีความกังวลแบบนี้เกิดขึ้นเช่นกัน แต่มันอาจจะไม่เหมือนของรุ่นพี่นาคาจิมะซะทีเดียวนัก
ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็ไม่ได้แย่ ไม่ได้ด้อย ไม่ได้แตกต่างจากอีกฝ่ายมากมาย แต่ผมก็ยังกังวลว่าจะเสียอีกฝ่ายไปอยู่ตลอด
พยายามอย่างหนักเพื่อที่จะผลักดันตัวเองอยู่ตลอดเวลาเพื่อที่ว่าจะได้อยู่ในระดับเดียวกันกับอีกฝ่าย เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเราอยู่ใกล้กันและจะไม่จากกันไปไหน เป็นวิธีการแก้ปัญหาแบบง่ายๆ ของผมในตอนนั้น
ถึงสุดท้ายแล้วมันจะไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่สิ่งที่ได้ลงแรงไปมันก็ไม่สูญหายไปเสียทั้งหมด ยังพอมีสิ่งปลอบใจเหลือไว้ให้บ้าง
“ผมไม่รู้จะช่วยคลายกังวลให้รุ่นพี่ยังไงเหมือนกันครับ แต่ถ้าเป็นตัวผม ผมจะทำทุกทางเพื่อให้ตัวเองไปอยู่ในจุดเดียวกับอีกฝ่าย ต่อให้มันจะยากจนเลือดตาแทบกระเด็น หรือมองไม่เห็นหนทางที่จะทำได้ ถ้าไม่อยากปล่อยมือจากอีกฝ่ายไปก็มีแต่ต้องทุ่มสุดกำลังเท่านั้นครับ”
“ถ้าทุ่มสุดกำลังแล้ว ยังตามไม่ทันล่ะ?”
“ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าอีกฝ่ายเขาไม่รอแล้วล่ะมั้งครับ?”
“นายหมายความว่ายังไงที่ว่าไม่รอน่ะ?”
รุ่นพี่นาคาจิมะลุกขึ้นมานั่งจ้องผม ไม่ใช่สายตาพิฆาต แต่เป็นสายตาไม่เข้าใจที่แฝงไว้ด้วยความสับสน
“รุ่นพี่เชื่อใจคุณคาวากุจิขนาดไหนครับ?”
“ก็ต้องเชื่อได้มากกว่าตัวฉันเองอยู่แล้วซิ ถ้าไม่มีมินะน่ะ ฉันไม่อยู่รอดปลอดภัยมาขนาดนี้หรอก แต่ว่ามันเกี่ยวอะไรกัน?”
“อันนี้เป็นแค่ทฤษฎีของผมนะครับ ผมคิดว่ารุ่นพี่น่ะยังไงก็ไล่ตามคุณคาวากุจิทันครับ ไม่ซิ ต้องบอกว่าคุณคาวากุจิรอรุ่นพี่อยู่ที่เดิมมาตลอดหรือเปล่า?”
เห็นรุ่นพี่ทำหน้างง ผมเลยอธิบายต่อ
“จำที่เราเคยคุยกันได้มั้ยครับ ที่ว่าต่อให้รุ่นพี่จะไม่ได้เรื่อง หรือแย่ หรือโดนดูถูกยังไงคุณคาวากุจิก็ไม่ว่าอะไรน่ะ ในความคิดผมนะ คุณคาวากุจิเธอไม่ได้ไปไหนหรอกครับ เธอยังรอรุ่นพี่อยู่ที่เดิมนั่นแหละ รออยู่ตรงไหนสักแห่งที่เป็นที่ของทั้งคู่มาตลอด ต่อให้เธอจะออกเดินไปไหนไกลยังไง ผมคิดว่าเธอก็คงจะกลับมาอยู่ดี เพราะงั้นสิ่งที่รุ่นพี่ต้องทำไม่ใช่พยายามไปให้ถึงที่ที่เธออยู่ แต่เป็นการพยายามที่จะออกเดินเคียงคู่และกลับมาพร้อมกับเธอครับ”
“จะบอกว่าให้เดินไปด้วยกัน? กลับมาด้วยกัน? คล้ายกับชีวิตคู่แต่งงานเลยแฮะ”
“แล้วรุ่นพี่ไม่ได้คิดไปถึงขั้นนั้นหรอครับ?”
“คิดซิ ถึงได้มานั่งกลุ้มนี่ไง”
“ถ้างั้นก็ต้องทำงานให้หนักขึ้นแล้วล่ะครับ เพราะถ้าอยากเดินเคียงคู่กับคุณคาวากุจิไปได้ในทุกที่ไม่ใช่อะไรที่แค่ขึ้นไปถึงจุดเดียวกับเธอแล้วจะทำได้ แต่มันต้องพร้อมที่จะเดินไปด้วยกันด้วย”
“นายทำฉันกังวลมากขึ้นนะมารุ”
“แต่ตั้งเป้าสูงไว้มันก็ดีไม่ใช่หรอครับ ผมเชื่อว่าพอรุ่นพี่ไปถึงจุดๆ หนึ่งที่ใกล้คุณคาวากุจิมากพอแล้ว เธอจะเป็นฝ่ายดึงรุ่นพี่เข้าไปหาเธอเองครับ เพราะงั้นเรามาทำงานให้หนักขึ้นเถอะครับ”
“นั่นซินะ มินะเองก็คงรอฉันอยู่ คงต้องทุ่มเต็มที่แล้วล่ะ”
แล้วหลังจากนั้นอีก 4 ชั่วโมงต่อมาผมก็ถูกรุ่นพี่ผู้กังวลกับชีวิตลากตัวมาสนามบาสเกตบอล
ไม่รู้ว่าเพราะกังวลมากเกินไปหรือเพราะเลิกกังวลแล้ว หลังจากติวเข้มแบบจัดหนักกันไปแล้ว รุ่นพี่นาคาจิมะถึงได้กึ่งชวนกึ่งบังคับให้ผมมาเล่นบาสด้วยกัน
แล้วมันก็เป็นอะไรที่น่าแปลกใจอยู่อย่าง คือแม้จะอยู่ในช่วงหน้าหนาวที่หนาวจนขี้เกียจขยับตัว แต่ที่สนามบาสกลับยังมีคนมาเล่นกันเต็มเหมือนเดิม เห็นแล้วอดทึ่งไม่ได้จริงๆ
หลังจากวอร์มอัพร่างกายให้พร้อมเรียบร้อย ผมก็ถูกรุ่นพี่ลากลงสนามไปทันที แน่นอนว่ามันเป็นเกมการแข่งขันที่สนุกและได้แรงในการออกกำลังกายที่ดีเยี่ยม สามารถทดแทนการจ๊อกกิ้งที่ช่วงนี้หยุดไปแล้วได้อย่างสบาย แต่ข้อเสียใหญ่ของการเล่นบาสในช่วงอากาศหนาวๆ ก็ยังคงอยู่
นั่นคือความเจ็บปวดตอนจังหวะปะทะมันทวีคูณจากช่วงเวลาปกติขึ้นมาชนิดที่ว่าเหมือนอยู่คนละโลกจนผมเผลอคิดไปว่าหรือนี่มันคือรูปแบบการฝึกตนรูปแบบใหม่กันแน่
สิ่งเดียวที่ช่วยปลอบประโลมผมได้ก็เห็นแต่จะมีข้อความของโอโตเมะที่ส่งมาตอนที่ผมจะออกจากบ้านมา
– [วันนี้ไปเล่นบาสมั้ย? ถ้าไปเดี๋ยวฉันแวะไปหา มีเรื่องจะคุยด้วย] –
นั่นล่ะครับ สิ่งที่ทำให้ผมสามารถอดทนกับการฝึกตนในสนามบาสต่อไปได้
—
กว่าโอโตเมะจะมาได้ผมก็แทบตายอยู่ในสนามแล้ว ผมเห็นเธอหอบหิ้วของพะรุงพะรังเข้ามานั่งรอข้างสนามก็ตั้งใจจะหนีออกมาคุยกับเธอ แต่แม่คุณก็เป็นคนดีซะเหลือเกิน แล้วก็ดันรู้กติกาบาสเกตบอลเพราะผมสอนพื้นฐานไปให้แล้วอีก พอเห็นว่ายังไม่จบเกมก็บอกให้ผมลงไปเล่นต่อให้จบ
– “ไม่เป็นไร ฉันรอได้” –
อยากบอกเหลือเกินว่าเธอจะน่ารักไปไหน รู้มั้ยฉันจะตายแล้ว…
แต่ก็นั่นแหละ ต่อหน้าหญิงทุกสิ่งล้วนเป็นเพียงขี้มด กะอีกแค่เล่นบาสท่วมกลางอากาศหนาว ชิลๆ … ชิลซะที่ไหน กว่าจะผ่านอีกครึ่งเกมมาได้ก็รากเลือด
ผมขอตัวลาพวกรุ่นพี่ในสนามทันทีที่เกมจบ รีบไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนจะกลับมารับโอโตเมะที่รออยู่ออกไปพร้อมกับเสียงเชียร์ของบรรดารุ่นพี่ทั้งหลาย
พอได้ออกมาด้วยกันแบบนี้แล้วผมถึงได้เพิ่งสังเกตว่าวันนี้โอโตเมะแต่งตัวดูดีกว่าปกติบวกกับหิ้วของมาพะรุงพะรังเลยเดาว่าเธอน่าจะไปซื้อของมา
“ฉันไปซื้อของกับเซริมาน่ะ”
บนรถประจำทางที่แทบจะไม่มีคนนั่งอยู่ ผมกับโอโตเมะเลือกที่นั่งคู่ทางท้ายของรถ โอโตเมะเลือกนั่งติดริมหน้าต่างและให้ผมนั่งติดฝั่งทางเดิน
ทันทีที่นั่งลง โอโตเมะก็เริ่มเล่าเรื่องราวของเธอวันนี้ให้ผมฟังเหมือนทุกครั้งที่เราคุยกัน ถ้าตัดการเถียงการกวนประสาทกันออกไปเนื้อหาเรื่องราวที่เราคุยกันก็คือเรื่องราวในชีวิตประจำวันของกันและกัน
“เมื่อตอนบ่ายฉันขอให้เซริไปช่วยเลือกซื้อของมาน่ะ เดินดูกันหลายร้านอยู่ แต่งบมีน้อยเลยได้มาแค่ไม่กี่อย่าง…”
“ไม่กี่อย่างนี่อะไรมั่งเนี่ย ตั้งสองสามถุง”
ผมถามพลางชำเลืองมองถุงกระดาษที่อยู่บนตักเธอ
“ก็พวกเสื้อผ้าน่ะ แล้วก็ของจุกจิกอีกนิดหน่อย”
“เสื้อผ้า?”
“สำหรับพรุ่งนี้น่ะ ฮิๆ ฉันจะเอาให้นายตะลึงเลย”
“แบบนี้ก็ยิ่งตั้งตารอเลยซิเนี่ย”
เห็นโอโตเมะหัวเราะอารมณ์ดีแล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีตามไปด้วย
“จริงซิ เธอว่ามีเรื่องจะคุยกับฉันนิ เรื่องอะไรหรอ?”
“อ่อ…”
สีหน้าของโอโตเมะดูหมองลงนิดหนึ่ง ก่อนเธอจะเริ่มพูดธุระของเธอมา
“คืออ… ฉันอยากจะขอเลื่อนนัดพรุ่งนี้เป็นตอนบ่ายน่ะ พอดีว่าช่วงเช้าต้องไปช่วยพี่ขนของย้ายห้องใหม่ ไม่แน่ว่าอาจจะไปคืนนี้เลยด้วยซ้ำ”
โอโตเมะอธิบายเหตุผลที่ขอเลื่อนนัดด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ เหมือนจะกลัวผมไม่พอใจ หน้าตาก็ไม่สดใสเท่าตอนอวดชุดที่ซื้อมา
[‘ทำหน้าเศร้าอีกแล้ว’]
อยากจะยกมือไปลูบหัวเธอให้หายเศร้าแต่เพราะเรานั่งรถกันอยู่เลยทำค่อนข้างลำบาก ผมเลยเลือกจะปลอบเธอด้วยคำพูดแทน
“ไม่เห็นเป็นไรนี่ เราก็แค่เจอกันช้าหน่อย ไม่ได้ยกเลิกนัดซะหน่อย”
“นายไม่โกรธหรอ? แบบนี้แผนที่นายคิดมามันก็พังหมดซิ”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่ตัดอันที่ทำไม่ทันทิ้งไปแค่นั้นเอง อีกอย่างฉันมีเวลาให้เธอทั้งวัน เธออยากอยู่กับฉันนานขนาดไหนก็ได้”
“ฮี่ๆๆ นายพูดแล้วนะ”
“คำไหนคำนั้น”
“สัญญา?”
“เรื่องแค่นี้ต้องสัญญาด้วย?”
“แน่นอนซิ ใครผิดสัญญาต้องกลืนเข็มพันเล่ม”
“โหดไปมั้ย?”
พูดแหย่โอโตเมะเล่นไปพร้อมกับเกี่ยวก้อยสัญญากัน ตอนนั้นเองที่ผมรับรู้ได้ว่ามือเธอเย็นมาก แถมซีดมากด้วย
“ทำไมมือเธอเย็นจัง?”
ถือโอกาสหลังการเกี่ยวก้อยสัญญาจับมือโอโตเมะมาบีบๆ นวดๆ สังเกตดูแล้วเหมือนมือเธอจะเย็นกว่าเมื่อวานอีก
“เธอไม่มีถุงมือหรอ?”
โอโตเมะดึงมือกลับไปเป่าฮู่ๆ ก่อนจะเอามาถูๆ กันแล้วแนบแก้ม จากนั้นจึงหันมาตอบผม
“มีอยู่คู่นึง แต่เก่ามากแล้ว ใส่ไม่สบายด้วยเลยไม่อยากใส่”
“แต่ฉันว่าเธอควรจะใส่นะ มือเธอเย็นมาก แถมซีดเหมือนมือคนไม่มีเลือดเลย ฉันว่าเพิ่มการออกกำลังกายกระตุ้นให้ร่างกายอบอุ่นด้วยก็ดีนะ”
“ไม่ไหวอ่ะ แค่ทุกวันนี้ฉันก็เหนื่อยจะตายอยู่แล้วนะ นายจะให้ฉันไปออกกำลังกายอีกหรอ?”
“แต่มันดีกับสุขภาพนะ”
“นายก็ออกไปคนเดียวซิ”
“ฉันก็เพิ่งออกมานี่ไง”
สุดท้ายก็เถียงกันไปเถียงกันมาจนลงจากรถ
“ฉันไปส่งเธออีกหน่อยได้มั้ย?”
“อืมม… อ๊ะ ฉันถือเองก็ได้ อ่า… ขอบใจ”
ขอไปส่งเธอต่ออีกนิดพร้อมกับแบ่งของที่โอโตเมะถืออยู่มาถือให้ แต่โอโตเมะกลับทำสีหน้าไม่ดีซะอย่างนั้น
“ไม่โอโคหรอ?”
“ไม่หรอก ก็แค่… ขอโทษนะ”
“เรื่องอะไร?”
“ก็ฉันยังไม่กล้าให้นายไปที่บ้านฉันเลย”
“แค่นั้นเอง ไม่เห็นเป็นไรนิ”
“แต่ฉันก็อยากให้นายไปได้นิ นายควรจะไปได้ไม่ใช่หรอ แต่ฉันกลับทำอะไรไม่ได้เลย”
เห็นโอโตเมะเอามือมาถูๆ กันแล้วเอามานวดๆ ที่หน้า ไม่รู้ว่าเพื่อเพิ่มความร้อนหรือมีเหตุผลอื่นอีกกันแน่
แต่ผมก็คว้ามือข้างที่อยู่ใกล้ของเธอมา
“ก็ไม่เห็นต้องรีบร้อนนิ สัญญาไปแล้วนิว่าเธอจะอยู่กับฉันนานขนาดไหนก็ได้ เพราะงั้นก็ค่อยเป็นค่อยไปก็ได้ ฉันเองก็จะค่อยๆ ทำตัวให้ดีขึ้น เผื่อมันจะช่วยเธอได้บ้าง”
“อื้มมม… ขอบคุณนะ”
ภาพใบหน้าของเด็กสาวที่ตัวเล็กกว่าผมราวหนึ่งช่วงศีรษะกำลังแหงนหน้ามายิ้มนั้นดูงดงามแต่ก็บอบบางราวเกล็ดน้ำค้างแข็ง ดวงตาคู่งามอันเป็นจุดเริ่มต้นให้ผมหลงใหลนั่นทอแสงแวววาวราวกับว่ามันเป็นอัญมณีที่กำลังต้องแสงไฟ
ช่างชวนให้หลงใหล ชวนให้ใคร่ทะนุถนอม ชวนให้อยากเก็บมันเอาไว้ชื่นชมเป็นของตัวเองแต่เพียงผู้เดียว
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ค่อยๆ ลับหายไป เงาของเราทั้งคู่ทอดยาวและอ่อนจาง สัมผัสเล็กๆ อ่อนนุ่มที่เย็นเล็กน้อยกำลังบีบมือของผมเบาๆ
ผมมองเด็กสาวที่อยู่ข้างๆ กันในตอนนี้ ยิ้มตอบรอยยิ้มของเธอ พร้อมกับพยายามระงับความรู้สึกอยากครอบครองเธอไว้แต่เพียงผู้เดียวของตนเองที่พวยพุ่งขึ้นมา