ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 622 รถม้าของคุณหนูลู่
บทที่ 622 รถม้าของคุณหนูลู่
บทที่ 622 รถม้าของคุณหนูลู่
“เอาละ เจ้าไม่ต้องกังวล เอ้อหลางเองก็ไม่ใช่เด็กแล้ว เขามีประสบการณ์เหล่านี้ อีกอย่างถ้าเจ้าไปปกป้องเขา ใครจะมาปกป้องข้า?”
คำพูดของเหยาเฉาก็มีเหตุผล แต่กลับทำให้เสี่ยวเวยอึ้งงันไป เอ้อหลางในความประทับใจแรกของเขาไม่เคยพูดแบบนี้มาก่อน
“เช่นนั้นพี่รองก็คำนวณไว้ในใจอยู่แล้วใช่ไหม?”
“ประมาณว่าเข้าใจ แต่เสี่ยวเวย ข้าไม่รู้ว่าที่นี่มีเส้นสายลึกเพียงไหน ถ้าเกี่ยวข้องกับเจ้าจริง ๆ ข้าจะทำอย่างไร?”
“ข้าไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ขอแค่พี่รองเชื่อใจข้าก็พอ” เหยาเฉาเป็นคนช่วยชีวิตของเขากลับมา ดังนั้นเสี่ยวเวยจึงยินยอมอย่างไม่มีเงื่อนไขต่อเหยาเฉา
อย่าว่าแต่คำซุบซิบนินทาเลย จะให้เสี่ยวเวยตายเพื่อเหยาเฉา เขาก็ทำอย่างไม่ลังเล
“เอาเถอะ เช่นนั้นหลายวันนี้เจ้าก็อยู่ข้างกายข้า ห้ามไปไหน เข้าใจไหม?”
“อื้อ” หลังจากครู่นคิดครู่หนึ่ง เสี่ยวเวยก็ตอบรับ
“ในเมื่อพี่รองพูดแบบนี้ แสดงว่ามีแผนการแล้ว เขาจะต้องไม่ลงมืออย่างบุ่มบ่าม หลีกเลี่ยงการทำเรื่องที่เกินความจำเป็นเมื่อถึงเวลา”
หลายวันหลังจากนั้น ในเมืองหลวงได้เกิดเรื่องราวเล็กใหญ่ขึ้นไม่น้อย ทำให้เหยาเอ้อหลางรีบเร่งฝีเท้าไปอย่างรวดเร็ว ส่วนซวีจ้าวก็อดทนอยู่ข้างกายของเหยาเอ้อหลางมาตลอด เหยาเฉาจึงวางใจไม่น้อย
แต่เจี่ยงเถิงและหลินซือของเรา ใกล้ถึงเมืองหลวงเต็มที
“พี่อาเถิง เราจะได้กลับเมืองแล้วจริง ๆ” หลินซือเปิดม่านบนรถม้า แล้วกวาดตามองทิวทัศน์ข้างนอก
ตอนที่ออกเดินทาง เพราะร่างกายปรับตัวไม่ทันจึงไม่ได้มองทิวทัศน์ข้างนอกมากนัก วันนี้ครั้นได้เห็นแล้วช่างงดงามยิ่งนัก ทำไมเมื่อก่อนนางถึงไม่รู้สึก?
“ใช่ อาซือดีใจหรือไม่?” สองสามวันนี้การฟื้นตัวของเจี่ยงเถิงค่อนข้างดี ดังนั้นใบหน้าจึงมีเลือดฝาดมากขึ้น
เขาใช้มือกันเอวของหลินซือด้วยความระมัดระวัง ขณะเดียวกันก็ป้องกันไม่ให้สัมผัสหลินซือเพื่อจะได้ปกป้องหลินซือได้ทันเวลา เรียกได้ว่าเจี่ยงเถิงค่อนข้างระแวดระวังทีเดียว
“ดีใจสิ ข้าไม่ได้เจอท่านแม่นานมากแล้ว” ครั้นนึกถึงเหยาซู ในใจของหลินซือก็เต็มไปด้วยความดีใจ
เมื่อก่อนมีแต่มารดาที่จากนางไป ตอนนี้เป็นนางที่จากมารดาไปไกล ไม่รู้ว่ามารดาจะถวิลหานางบ้างหรือไม่
“เจ้าดีใจก็ดี” ครั้นเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลินซือ ในใจของเจี่ยงเถิงก็มีความสุขมากไปด้วย อาซือเป็นคนที่นำพาความสุขนั้นมาให้เขา
“พี่อาเถิง ตอนท่านออกไป ท่านถวิลหาท่านป้าเจี่ยงบ้างไหม?” หลินซืออยากรู้ ครานี้พวกนางออกไปเป็นระยะเวลาหนึ่งเดือนเศษ นางถวิลหาเหยาซูยิ่งนัก
พี่อาเถิงเมื่อก่อนต้องเดินทางเป็นระยะเวลาหลายเดือน จะไม่เป็นห่วงท่านป้าเจี่ยงเลยหรือ? อีกอย่างเส้นทางที่ไกลเพียงนั้น เดินทางเพียงลำพัง เขาผ่านมาได้อย่างไร?
แม้ว่าตัวเองจะมีพี่อาเถิงอยู่เป็นเพื่อน แต่บางครั้งก็รู้สึกเบื่อหน่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พี่อาเถิงเก่งยิ่งนัก
ทุกครั้งที่ตัวเองต้องออกจากจวนเพียงลำพัง จึงมักดูแลตัวเองเป็นอย่างดี
“มีสิ และยังถวิลหาอาซือด้วย”
“ความจริงแล้วทุกครั้งที่พี่อาเถิงต้องเดินทาง ข้ามักจะถวิลหาท่านเสมอ” ครั้นได้ยินคำพูดของเจี่ยงเถิง รอยยิ้มบนใบหน้าของหลินซือก็ยิ่งกว้างขึ้น นางถวิลหาพี่อาเถิงมากเช่นกัน
“เช่นนั้นดูท่าอาซือยังต้องถวิลหาข้าต่อไป เด็กดี”
“แน่นอนอยู่แล้ว แต่พี่อาเถิง ท่านว่าของที่เราซื้อมาครานี้ จะแบ่งให้ทุกคนดีไหม?” หลินซือครุ่นคิดอย่างจริงจัง สหายตัวน้อยของตัวเองก็มากมายเพียงนั้น ดูท่าจะไม่พอจริง ๆ
“ไม่เป็นไร เจ้ายกสิ่งของให้ท่านอาซูเถอะ เชื่อว่าท่านอาต้องทำมันได้ดีแน่นอน”
“ก็จริง ท่านแม่มีความสามารถ พี่อาเถิงคงไม่รู้ มีอยู่ครั้งหนึ่ง ข้าทำจานฝนหมึกที่ท่านพ่อเก็บทะนุถนอมไว้อย่างดีตกแตก แล้วแอบบอกท่านแม่ สุดท้ายท่านพ่อรู้แต่กลับไม่โกรธ แต่ก็ทำให้ข้ากลัวไปเลย”
ระหว่างพูด หลินซือก็แสดงท่าทางไปด้วย ท่าทางนั้นช่างน่ารักไม่น้อย
“เรื่องที่เจ้าทำวัยเด็กมีมากมาย ไฉนถึงหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ก็ไม่รู้ว่าเจ้าจะจำได้มากน้อยแค่ไหน?” ครั้นนึกถึงหลินซือวัยเด็ก เจี่ยงเถิงก็ถึงกับกลืนไม่เข้าคายไม่ออกจริง ๆ
หลินซือในตอนนั้น เป็นเด็กฉลาดตัวน้อยหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นความผิดของนาง แต่แค่เขามองด้วยหยาดน้ำตาที่เอ่อล้นออกมาจากนัยน์ตาคู่นั้น ประกอบกับบีบน้ำตาให้ไหลรินออกมาอย่างฉับพลัน ก็ทำให้เจี่ยงเถิงต้องยกมือยอมแพ้แล้ว
ไม่ว่าจะเป็นความผิดอะไร เขาก็มักจะรับไว้เอง
ตอนแรกเริ่ม หลินจื้อยังเชื่อน้องสาวที่น่ารักคนนี้ แต่ต่อมาหลังจากได้ประสบกับกลอุบายของหลินซือ ก็ไม่เชื่ออีกเลย
เวลานี้ หลินซือถูกหลินจื้อตำหนิไม่น้อย แต่ก็สู้ไม่ได้ถึงอย่างไรตัวเองก็เป็นน้องสาวเพียงแค่คนเดียว ก็ต้องปกป้องอย่างดี
เพราะเหยาซูและหลินเหราไม่อยู่ หลินจื้อพี่ใหญ่คนนี้จึงต้องระดมความคิดไม่น้อยถึงจะเลี้ยงดูหลินซือจนเติบใหญ่
โชคดีที่อยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมแบบนี้ อาซือจึงได้เติบโตมาอย่างมีความสุขและใจดี เรื่องนี้ทำให้หลินจือชื่นชมอย่างมาก
แน่นอนว่า ทั้งหมดนี้ยกให้เป็นความดีความชอบของไป๋หรูปิง
ถึงอย่างไรในตอนที่เหยาซูไม่อยู่ ไป๋หรูปิงก็คอยมาเล่นกับหลินซือตั้งแต่เด็กจนโตมาด้วยกัน
“ข้าจำอะไรไม่ได้แล้ว พี่อาเถิงช่างร้ายกาจยิ่งนัก รู้จักโค่นล้มข้า”
“ข้าไม่ได้โค่นล้มของเจ้า แต่พูดความจริงเท่านั้น อาซือ ตอนนี้ลองคิดดู ข้าคิดว่าวัยเด็กมีความสุขหรือไม่?”
หลินซือไม่ใช่คนที่โลภมากไม่รู้จักพอ เรื่องนี้เจี่ยงเถิงเองก็รู้ เขาเองก็ถูกความพิเศษนี้ของหลินซือดึงดูดเข้าหาด้วย จึงได้ยิ่งอยู่ยิ่งถลำลึก
“วัยเด็กของอาซือซุกซนมากจริง ๆ แต่ก็ได้รับความโปรดปรานจากท่านอาซูนะ”
“อื้อ มีความสุขมาก ข้าจะได้กลับจวนไปเจอท่านแม่แล้ว พี่อาเถิง ประเดี๋ยวอยู่กินข้าวที่จวนข้าก่อนดีไหม?”
“ถึงตอนนั้นก็ค่อยว่ากัน ข้ายังต้องเข้าเมืองอีกรอบ เอาล่ะ ลมข้างนอกค่อนข้างแรง รีบเข้าไปเถอะ หยุดดูได้แล้ว”
เจี่ยงเถิงไม่ได้รับตอบตกลง เพราะสิ่งที่สืบหามาได้ครานี้ เกี่ยวข้องกันเป็นวงกว้าง เขาต้องเข้าเมืองไปกราบทูลรายงานสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องแด่องค์จักรพรรดิก่อน
“อื้อ” ครั้นได้ยินก็หดกลับเข้าไปในรถม้าทันที หลินซือเห็นท่าทางของเจี่ยงเถิง ดูท่าจะแตกต่างจากพี่อาเถิงในความทรงจำเล็กน้อย หลังจากเติบโตมาดูเหมือนพี่อาเถิงจะรูปงามมากขึ้น!
ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกัน จู่ ๆ รถม้าก็หยุดชะงักลง จนเกือบจะกระแทกกับศีรษะของหลินซือ
“เกิดอะไรขึ้น?” เสียงของเจี่ยงเถิงดังออกมาจากข้างใน ดูเหมือนจะแฝงไปด้วยควาไม่พอใจ
“รายงานใต้เท้า เป็นรถม้าของคุณหนูลู่ บอกว่าอยากเจอคุณหนูหลินขอรับ”