ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 571 อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]
- บทที่ 571 อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร
บทที่ 571 อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร
บทที่ 571 อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร
“ท่านแม่ ท่านแม่ไม่เป็นห่วงหม่อมฉันหรอกเพคะ นาง นางแทบอยากจะให้หม่อมฉันอยู่กับฝ่าบาทเสียด้วยซ้ำ…”
เสียงของลู่เหยาแผ่วเบาลงเรื่อย ๆ
องค์รัชทายาทยิ้มเยาะเบา ๆ…เด็กโง่ บอกข้าไปเสียทุกอย่าง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมเข้าวังไม่ได้หรอกนะ ได้แต่หวังว่ามารดาของนางจะหาที่พึ่งดี ๆ ให้นางได้
ดวงอาทิตย์ค่อย ๆ ลาลับขอบฟ้า ภูเขาถูกย้อมเป็นสีแดงสดใส แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาบนใบหน้าของทั้งสองคน พาให้อบอุ่นไปทั้งหัวใจของทั้งสองคน
ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงอันอบอุ่น ลู่เหยามองไปยังคนตรงหน้า นัยน์ตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความชื่นชมและเปี่ยมด้วยความรัก
คนที่ต้องขึ้นครองบัลลังก์ในภายภาคหน้าผู้นี้ ตอนนี้กำลังยืนอยู่ข้างกายของนางจริง ๆ นี่เป็นเรื่องที่ตัวเองไม่กล้าคิดฝันมาก่อน
เหยาเอ้อหลางกวัดแกว่งยอดหญ้าอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในสนามม้า เดิมทีเขาไม่อยากมา แต่ครั้นได้ยินว่าหลินซือและเจี่ยงเถิงต้องมา และอยากรวมตัวพอดี ใครจะรู้เล่าว่าหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจที่อยู่ในมือ ดวงอาทิตย์ก็ใกล้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว
เมื่อเขามาถึงสนามม้า หลินซือและเจี่ยงเถิงก็ออกไปเที่ยวเดินเตร่ไปที่อื่นแล้ว
คนที่อยู่ในสนามต่างก็เตรียมตัวจะกลับ เหยาเอ้อหลางคิดว่าการมารอบนี้คงเสียเปล่า จึงเตรียมจะกลับ แต่แล้วก็เห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งไว ๆ
“คุณชายซวี ข้าได้ยินมาว่าท่านเป็นผู้ที่มีทักษะการต่อสู้สูง ทั้งยังเป็นคนเจ้าแผนการอีกด้วย ข้าเลื่อมใสคุณชายมาตลอด ไม่ทราบว่าคุณชายพอมีเวลาไปดูละครงิ้วด้วยกันหรือไม่เจ้าคะ?”
หญิงสาวผู้หนึ่งกำลังสารภาพความในใจต่อซวีจ้าว ครั้นเหยาเอ้อหลางเห็น ฝีเท้าของเขาก็พลันหยุดชะงัก พร้อมกับก่อเกิดความรู้สึกหวงอยู่ในใจ
ซวีจ้าวส่ายหน้า และเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “ข้าไม่มีเวลา อีกอย่างข้าไม่ชอบดูละครงิ้วด้วย ขอบคุณแม่นางสำหรับความรู้สึกดี ๆ ตอนนี้ก็มืดแล้ว แม่นางรีบกลับจวนเถอะ”
หญิงสาวผู้นั้นถูกปฏิเสธจนน้ำตานองหน้า ซวีจ้าวยังไม่ทันพูดจบนางก็วิ่งออกไป
เหยาเอ้อหลางเห็นเหตุการณ์นั้น จู่ ๆ ความรู้สึกขุ่นมัวก็พลันหายไป ซวีจ้าวผู้นี้ ไม่ทำให้เขาผิดหวังจริง ๆ ความเด็ดเดี่ยวและการตัดเยื่อใยทำร้ายผู้อื่นช่างโหดเหี้ยมยิ่งนัก
“เหอะ! คาดไม่ถึง เราจะมาเจอกันที่นี่ ว่าแต่เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร? ข้าจำได้ว่าเจ้าไม่ชอบสถานที่ครึกครื้นเช่นนี้ไม่ใช่หรือ?” เหยาเอ้อหลางรุดขึ้นหน้าไปโอบซวีจ้าว แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ซวีจ้าวหันไปยังผู้ที่มาใหม่ เมื่อเห็นว่าเป็นเหยาเอ้อหลาง สีหน้าก็หมดความอดทน แต่ในใจกลับรู้สึกชอบ “วันนี้มีการแข่งขันหม่าฉิวขึ้นที่นี่ ท่านพ่อให้ข้ามาเฝ้า ไม่ให้ผู้คนฉกฉวยโอกาส”
เหยาเอ้อหลางตอบแค่ ‘อือ’ หนึ่งเสียง ก่อนจะเอ่ยอยากหยอกเย้า “เอ๊ะ? เมื่อครู่แม่นางผู้นั้นชอบเจ้าใช่หรือไม่? ทำไมเจ้าถึงได้ปฏิเสธนางไปเล่า? นางคือไข่มุกแห่งจวนขุนนางเชียวนะ หน้าตาก็งดงาม ความรู้ก็เป็นเลิศ เจ้ายังกล้าปฏิเสธนางอีกหรือ?”
“ข้าไม่รู้จักนาง เหตุใดต้องตอบรับคนที่ไม่รู้จักด้วย” ซวีจ้าวได้ยินคำแนะนำของเหยาเอ้อหลาง ในใจก็ยิ่งไร้ซึ่งความรู้สึก เขาไม่เคยคิดจะใช้การแต่งงานมาผลักดันให้ตัวเองดูสูงส่ง อีกอย่างสำหรับเขาแล้ว ความมั่งคั่งและอำนาจต่างไม่ใช่เรื่องที่สำคัญ
พูดได้ว่า ตัวเองดูเหมือนจะไม่มีสิ่งใดต้องใส่ใจเป็นพิเศษ
มีชีวิตมาจนถึงตอนนี้ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่บิดามารดาเป็นผู้จัดสรรวางแผนให้เสมอ ถ้าจะบอกสิ่งที่ต้องการมากที่สุด ก็คงจะเป็นการดูแลครอบครัวปกป้องบ้านเมือง
ถ้าวันหนึ่งต้าเยี่ยนต้องการตน ตนคงจะสละชีวิตตัวเองอย่างไม่ลังเล
ชีวิตนี้เขาขอยอมตายในสนามรบ แต่จะไม่มีวันเกษียณอายุกลับบ้านเกิดเด็ดขาด
เขาเป็นคนหยาบกระด้าง ไม่เคยได้ร่ำเรียน แต่ความเชื่อมั่นในใจเขากลับไม่เคยเปลี่ยนแปลง ประมาณว่าเขาเห็นบิดาอุทิศตนเพื่อชีวิตที่เป็นสุขของราษฎรตั้งแต่เด็ก ซึ่งเขาก็ได้รับผลกระทบนั้นโดยไม่รู้ตัวไปด้วย
เรื่องแต่งงานอะไรนั้นเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดมาก่อน
ถ้าจะพูดเรื่องการแต่งงาน หญิงสาวข้างกายก็คงไม่มีใครยอมคุยกับตนหรอก พวกนางมักบอกว่าตนนั้นจริงจังเกินไป จึงไม่อยากเสวนาด้วย อยู่กับตนแล้วอึดอัดหายใจไม่ค่อยออก
แต่ต่อหน้าคนผู้นี้ ดูเหมือนจะพูดคุยได้ตลอด ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังคุยโวไม่หยุด ต่อให้ตัวเองจะไม่สนใจเขา หรือพูดแบบขอไปที แต่เขาก็ยังพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ
“เจ้า…เจ้าคงไม่ได้รู้สึกว่าข้าแปลกหรอกนะ?” ซวีจ้าวหยุดก้าวเดินและถามขึ้น
เหยาเอ้อหลางมีสีหน้างุนงง ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาถึงได้ถามคำถามเช่นนี้ จึงรู้สึกแปลกใจมากอยู่ข้างใน ซวีจ้าวไม่สนใจความคิดของผู้อื่นไม่ใช่หรือ? จู่ ๆ ก็ถามว่าตัวเองรู้สึกว่าเขาแปลกไหมขึ้นมา? หรือว่ามีคนที่ชอบแล้ว?
คิดได้ดังนี้ ไม่รู้เพราะเหตุใดในใจของเหยาเอ้อหลางถึงได้รู้สึกไม่ดีขึ้นมาเสียอย่างนั้น แต่ก็ยังเอ่ยอย่างจริงจังออกไป “ไม่นี่ ข้าไม่เคยรู้สึกว่าเจ้าแปลกมาก่อน โลกใบนี้ก็ช่างกว้างใหญ่ อยากให้ทุกคนเหมือนกันหรือ? เจ้าก็คือเจ้า เจ้าคือซวีจ้าวที่ไม่เป็นสองรองใคร เป็นซวีจ้าวหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ เจ้าพิเศษเพียงนั้น เหตุใดต้องใช้ความแปลกมาอธิบายตัวตนด้วย?”
ซวีจ้าวก้มหน้าลง และกล่าวอย่างอึดอัดใจ “แต่ แต่พวกเขามักบอกว่าข้าไม่ชอบพูด มักแสดงท่าทีเคร่งขรึม และยังบอกอีกว่ายามอยู่ข้างกายข้าแล้วหายใจไม่ออก มันน่ากลัวขนาดนั้นเลยใช่หรือไม่?”
“สหาย ใครบังอาจพูดจามั่วซั่วเช่นนั้น? เจ้าบอกข้ามา ข้าจะไปคิดบัญชีกับเขาเดี๋ยวนี้เลย! เจ้าไม่ชอบพูดแล้วอย่างไร เจ้ามักจะตั้งใจฟังผู้อื่นพูดเสมอ นี่เป็นเรื่องที่หลายคนทำไม่ได้เชียว คนเหล่านี้หายใจไม่ออกก็เพราะร่างกายไม่แข็งแรงต่างหาก ข้าแนะนำให้พวกเขารีบไปหาหมอดีกว่า เหตุใดถึงมาโทษเจ้า?” เหยาเอ้อหลางตบไหล่ของซวีจ้าวเบา ๆ พลางเอ่ยปลอบใจ
ดวงอาทิตย์ได้ลาลับขอบฟ้าไปแล้ว แสงจันทราค่อย ๆ ไต่ระดับขึ้นมา ดวงดาวบนน่านฟ้าส่องแสงระยิบระยับ แสงจันทร์สีเหลืองนวลลออได้สาดส่องปกคลุมไปทั่วทุกหนทุกแห่ง
เหยาเอ้อหลางและซวีจ้าวเดินอยู่บนสนามแข่งม้า เดินไปคุยกันกันเนิ่นนาน ครั้งนี้ ซวีจ้าวไม่ได้ดื่มสุรา แต่เขารู้ว่าคนตรงหน้าคือคนที่ไว้ใจได้ เขายอมบอกความในใจของตัวเองกับเขา นี่คือการบอกความลับมากมายเหล่านั้นกับคนอื่นเป็นครั้งแรก
ในใจของเหยาเอ้อหลางก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน ซวีจ้าวทำเหมือนกับเขาเป็นสหายของเขาไปแล้วจริง ๆ! ก่อนหน้านั้นตัวเองเป็นฝ่ายบากหน้าเข้าไปยุ่งกับเขา ในที่สุดตอนนี้ก็สร้างความประทับใจให้เขาได้แล้วใช่หรือไม่? ความสุขที่มาเร็วอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ตนไม่อยากจะเชื่อ
หลังจากนั้นเนิ่นนาน พวกเขาสองคนยังคงจดจำ แสงอาทิตย์ยามอัสดงนั้น แสงจันทรานั้น พวกเขากำลังเดินเล่นอยู่ในสนามแข่งม้า คุยเรื่องอุดมการณ์ของชีวิต คุยเรื่องปณิธานในใจ และอีกมากมาย… วันนั้นทำให้ระยะห่างระหว่างพวกเขาขยับเข้าใกล้กันมากขึ้น อาจจะเป็นการเริ่มต้นใหม่อย่างหนึ่งเลยก็ว่าได้
ซวีจ้าวรู้สึกว่านับตั้งแต่ที่คนผู้นี้ปรากฏตัวข้างกาย ชีวิตของตัวเองก็ดูน่าสนใจขึ้นมาก ไม่ใช่ความจำเจไร้ซึ่งการเปลี่ยนแปลง เขามักนำพาความประหลาดใจและความสุขมาให้ตนเสมอ
คนเรามีชีวิตอยู่ได้เพื่อความสุขใจไม่ใช่หรือ?
เหยาเอ้อหลางไม่ได้สังเกตถึงความชอบที่ตัวเองมีต่อซวีจ้าว คิดว่ามันเป็นแค่ความสัมพันธ์ระหว่างสหายเท่านั้น
ขุนนางอย่างเขาไม่ชอบเอาใจ และไม่มีการปฏิสัมพันธ์กับสหายคนอื่น มีแค่ซวีจ้าวเป็นสหายเพียงผู้เดียวก็คุ้มค่ามากแล้ว
ถึงอย่างไรนอกจากหลินจื้อและเจี่ยงเถิงแล้ว เขาก็นับว่าเป็นสหายที่ดีคนหนึ่ง
ยามสายลมโชยพัด แสงจันทราทำให้เงาของทั้งสองคนยืดยาวออกไป เงาของพวกเขาในสนามแข่งม้า ดูกลมเกลียวเคียงข้างกันไป ใครจะไปรู้เล่าว่า อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร?
……………………………………………………………………………………………………………….