ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 570 หลินซือไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]
- บทที่ 570 หลินซือไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว
บทที่ 570 หลินซือไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว
บทที่ 570 หลินซือไม่ใช่ของตัวเองอีกแล้ว
เหยาซูเองก็รู้เรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่เคยคิดอยากให้หลินซือเข้าวังแต่อย่างใด
แต่คาดไม่ถึงว่าองค์รัชทายาทจะมีความรู้สึกต่อหลินซือโดยแท้จริง ยังคงดันทุรังมาตลอด คิดกลอุบายต่าง ๆ เพื่อจะได้เจอกับหลินซือ
จะว่าไปแล้วองค์รัชทายาทก็แปลกอยู่ไม่น้อย เวลานี้เขามีความรู้สึกลึกซึ้ง แต่หลินซือกลับไม่ชอบ ต่อให้เขาทำมากเพียงใดก็ไร้ประโยชน์ และเสียเปล่าก็เท่านั้น
จุดจบของอาซือในนิยายเรื่องเดิมเกิดขึ้นเพราะองค์รัชทายาทไม่ชอบอาซือแล้ว
อีกด้านหนึ่ง
องค์รัชทายาทเดินไปด้านหลังสนามแข่งม้าเพียงลำพัง เขาคิดว่าตราบใดที่เขาชนะ อาซือจะมองเขามากขึ้น แต่คาดไม่ถึงเลยว่าในสายตาของอาซือมีเพียงแค่เจี่ยงเถิงผู้เดียวตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้!
นางสนใจแค่เจี่ยงเถิงว่าบาดเจ็บหรือไม่ กลับไม่เคยนึกถึงตนว่ากว่าจะชนะการแข่งขันนี้ลำบากมากเพียงใด
เขาทำเพื่อนางมากมายเพียงนี้ แต่นางกลับไม่เคยเห็น! องค์รัชทายาทโกรธเคืองมาก กระทั่งยกกำปั้นขึ้นมาต่อยต้นไม้ จนมีเลือดไหลซิบออกมาจากหลังมือ แต่เขากลับไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ยังคงชกต่อไปซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ตัวเองต้องทำอย่างไร? ต้องทำอย่างไรนางถึงจะเห็นความจริงใจของตัวเอง? ในอดีตเห็นได้ชัดว่านางเป็นภรรยาของตัวเอง ช่วงเวลาที่ดีของพวกเขา มันดีเสียจนอยากเกิดมาเป็นสามีภรรยากันทุกชาติภพไป แต่เวลาต่อมากลับเกลียดกัน จนลืมไปว่าพวกเขาเคยลั่นสาบานอย่างจริงใจไปเสียสนิทใจ
ยามนั้นเขารู้สึกว่า หลินซือเอาแต่ใจและดื้อรั้นมาก เห็นนางแล้วหงุดหงิดใจ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่านางน่ารักยิ่งนัก
เขายังจำคืนอภิเษกสมรสของพวกเขาเมื่อครั้งอดีตได้ ยามเขาเปิดผ้าคลุมหน้าของนาง ใบหน้าเอียงอาย มุมปากที่เหยียดยิ้ม และนัยน์ตาที่มีเสน่ห์คู่นั้น ยามนั้นนางชอบตนมาก! เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเหมาะสมกันเสมือนกิ่งทองใบหยก สวรรค์ให้โอกาสตนกลับมาเกิดใหม่ คงไม่ได้อยากให้เขาและหลินซือเริ่มต้นใหม่หรอกกระมัง?
ในชาตินี้ เขาไม่ต้องเพียรพยายามเพื่อให้ได้ตำแหน่งองค์จักรพรรดิ เขากล้าไล่ตามในสิ่งที่ตัวเองต้องการ แต่ตอนนี้เขากลับเหมือนโดนตบหน้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพื่อบอกเขาว่า ‘หลินซือไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป นางมีคนที่ชอบในวัยเด็กของตัวเองแล้ว สายตาของนางมีแค่เจี่ยงเถิง!’
ลู่เหยาเห็นท่าทางโกรธเคืองขององค์รัชทายาท และเห็นเขาทำร้ายตัวเองก็รีบรุดเข้าไปตรงหน้าเขา ยื้อมือของเขาออกมาพลางเอ่ยว่า “องค์รัชทายาท! ฝ่าบาท หยุดเดี๋ยวนี้! มือของฝ่าบาทบาดเจ็บแล้วนะเพคะ!”
องค์รัชทายาทเงยหน้า ครั้นเห็นว่าเป็นลู่เหยาก็ยิ้มเยาะเสียงเบา “บาดเจ็บแล้วอย่างไร มันก็เพียงเรื่องเล็กน้อย เมื่อก่อนข้ายังเคยบาดเจ็บร้ายแรงกว่านี้ ยามนั้น ข้าต้องใช้ชีวิตอย่างวิตกกังวลทุกวัน หวาดกลัวว่าลมหายใจเฮือกต่อไปข้าจะไม่รอด เอ๊ะ? ไม่สิ ข้าจำผิด ข้าคือองค์รัชทายาท มีทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยต้องกังวล ได้รับความโปรดปรานจนเติบใหญ่จะมีเรื่องขุ่นเคืองได้อย่างไร?”
ครั้นลู่เหยาเห็นองค์รัชทายาทพร่ำเพ้อกับตัวเอง ก็อดเป็นห่วงไม่ได้จึงเอ่ยปลอบใจด้วยเสียงผะแผ่ว “องค์รัชทายาท อย่ากังวลไปเลย หม่อมฉันเห็นแล้ว ฝ่าบาททรงแข่งม้าชนะ ฝ่าบาทเก่งกว่าพี่ชายคนนั้นเป็นไหน ๆ! พี่หลินซือแค่เป็นห่วงพี่ชายคนนั้น จึงไม่เห็นฝ่าบาท พี่หลินซือ… ต้องมีแต่ฝ่าบาทอยู่ในใจแน่นอนเพคะ”
องค์รัชทายาทแสยะยิ้ม และเอ่ยว่า “มีข้า? เหอะ… ข้าเองก็ดูออกว่าในหัวใจและสายตาของนางมีแต่เจี่ยงเถิง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าทำสำหรับพวกเจ้าก็เป็นแค่เรื่องน่าขันเท่านั้น ความจริงใจของข้า สิ่งที่ข้าต้องแลก ล้วนแต่เป็นเรื่องน่าขัน ทำไม? ทำไมถึงทำกับข้าเช่นนี้? เหตุใดสิ่งที่ข้าอยากได้ถึงไม่เคยได้เลย? ทำไมสวรรค์ต้องไม่ยุติธรรมเช่นนี้…”
เขาพูดพลางเอนกายพิงต้นไม้อย่างหมดแรง
ลู่เหยาไม่รู้ไปเอาความกล้ามาจากที่ไหน นางเดินหน้าเข้าไปโอบกอดองค์รัชทายาท ยื่นมือไปโอบเอวขององค์รัชทายาทอย่างเบามือ พลางเอ่ยเสียงเบา “องค์รัชทายาท ฝ่าบาทอย่าได้เศร้าใจไปเลย หม่อมฉันรู้ หม่อมฉันเห็นว่าฝ่าบาทต้องแลกทุกสิ่งเพื่อพี่หลินซือ ดังนั้นหม่อมฉันถึงไม่เคยขบขันฝ่าบาท หม่อมฉันอิจฉาเสียด้วยซ้ำ เพราะหม่อมฉันอยากเป็นเหมือนฝ่าบาท กล้าแสดงความรักของตัวเอง และหม่อมฉันยิ่งอยากเหมือนพี่หลินซือ มีคนที่ชอบตัวเองเช่นนี้”
“ฝ่าบาทเป็นคนดี พี่หลินซือแค่ไม่มองฝ่าบาทมาตลอด จึงไม่เห็นว่าฝ่าบาทนั้นแสนดี แสนดีมากจริง ๆ”
ขณะพูด เสียงลู่เหยาหายไปชั่วขณะ เพราะนางรู้สึกว่าเสียงของนางในตอนนี้มันแหบแห้งลงอย่างเห็นได้ชัด
องค์รัชทายาทได้รับอ้อมกอดของลู่เหยา ไม่นานก็ได้สติกลับมาจึงใช้มือโอบกอดเอวของลู่เหยาเช่นกัน
เขาคาดไม่ถึงว่าเด็กหญิงผู้นี้จะมีอ้อมกอดจะอบอุ่นถึงเพียงนี้ เขาไม่เคยได้รับอ้อมกอดของผู้อื่นมาก่อน
สวีกุ้ยเฟยคือมารดาของตน แต่ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นเพียงแม่เลี้ยง แม้ว่าจะดีกับตนแค่ไหน แต่ก็ไม่เคยสนิทใจ
เมื่อครั้งวัยเยาว์ เขาเห็นองค์หญิงจาวเอ๋อได้รับอ้อมกอดจากสวีกุ้ยเฟย ก็พลันรู้สึกอิจฉา
ไม่ว่าจะอดีตชาติ หรือว่าชาตินี้ ตัวเองก็ล้วนแต่น่าสงสาร โดดเดี่ยว ในอดีตเขามีหลินซือคอยปลอบใจ แต่ชาตินี้หลินซือไม่ใช่ของตนอีกแล้ว
องค์รัชทายาทซบหน้าลงบนไหล่ของลู่เหยา ทั้งสองคนเงียบงันอย่างนั้นเนิ่นนาน โดยไม่พูดสิ่งใด
ลู่เหยาลูบแผ่นหลังขององค์รัชทายาทอย่างเบามือ “องค์รัชทายาทอย่าได้เศร้าใจไปเลยเพคะ ทุกสิ่งทุกอย่างมันดีที่สุดแล้ว ความเพียรพยายามของฝ่าบาท สักวันพี่หลินซือจะต้องได้เห็นมันอย่างแน่นอน”
นับแต่นี้ไปนานแสนนานลู่เหยาจะไม่มีวันลืมวันนี้ ช่วงเวลาพลบค่ำนี้ คนเหงาสองคนมอบกอดแสนอบอุ่นแก่กัน ยามนั้นนางคิดว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางได้ใกล้ชีวิตกับองค์รัชทายาทเพียงนี้ ต่อไปอาจจะไม่มีโอกาสเช่นนี้อีกแล้ว นางทำสิ่งใดไม่ได้นัก หวังแค่ได้อยู่ข้างกายองค์รัชทายาทในยามที่กำลังเศร้าโศก ต่อให้ไม่มีการพูดคุยกัน แค่ได้ยืนเคียงข้างเขา ไม่ทิ้งให้เขาโดดเดี่ยวเพียงลำพัง ก็มากพอแล้ว
เขามักจะโดดเดี่ยวเสมอ ยิ่งเห็นยิ่งปวดใจ
คนอื่นคิดว่าความรู้สึกของเขาเหมือนเรื่องขบขันของเด็ก มีแค่นางเท่านั้นที่รู้ว่าองค์รัชทายาทจริงจัง
เพราะความจริงจังที่หาที่เปรียบไม่ได้ จึงอยากให้โลกได้รู้ ความในใจที่ตนมีต่อคนรัก
ลู่เหยานึกถึงชื่อของตัวเอง เด็กหญิงตบแผ่นหลังขององค์รัชทายาทอย่างอ่อนโยน “ฝ่าบาทดูสิ หม่อมฉันชื่อลู่เหยา ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน นี่ก็ผ่านมานานแล้ว พี่หลินซือรู้ความจริงใจของฝ่าบาทแล้วล่ะ! ฝ่าบาทอย่าได้เศร้าใจไปเลย การแข่งขันหม่าฉิวกำลังดำเนินอยู่ ฝ่าบาทอยากลับไปดูหรือไม่เพคะ?”
องค์รัชทายาทผละออกจากอ้อมกอดลู่เหยา ส่งเสียงกระแอมและกล่าวว่า “ข้าไม่ดูแล้ว เดิมทีข้าไม่ได้สนใจการแข่งขันหม่าฉิวอยู่แล้ว แค่ใช้มันเป็นข้ออ้างเท่านั้น ว่าแต่เจ้าเถอะ เดินออกมาคนเดียวเสียตั้งนาน มารดาเจ้าไม่เป็นห่วงแย่แล้วหรือ?”
………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ปลงเถอะองค์รัชทายาท ในเมื่อวาสนาไม่ได้กำหนดมาให้คู่กันแล้ว ก็จงปล่อยอาซือไปในทางของนางเสีย
น้องเหยาน่าจะเหมาะกับองค์รัชทายาทมากกว่านะคะ
ไหหม่า(海馬)