ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 563 จนปัญญาเพราะตัวเองเป็นสตรี
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]
- บทที่ 563 จนปัญญาเพราะตัวเองเป็นสตรี
บทที่ 563 จนปัญญาเพราะตัวเองเป็นสตรี
บทที่ 563 จนปัญญาเพราะตัวเองเป็นสตรี
ไม่สิ ทำไมตัวเองต้องนึกถึงเขาด้วย? แม้จะบอกว่าเขาเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตตนไว้ แต่ก็เปลี่ยนแปลงความจริงเรื่องนิสัยเอาแต่ใจของเขาไม่ได้ สีหน้าขึงขัง เหมือนกับมีใครไปติดหนี้เขาไว้อย่างนั้น เห็น ๆ อยู่ว่าใบหน้าที่หล่อเหลานั้น…
เหยาเอ้อหลางนึกถึงเหตุการณ์ที่ซวีจ้าวให้ตนลูบหน้าของเขา ยามนั้นเหยาเอ้อหลางเพิ่งค้นพบว่า เขามีหน้าตาที่งดงามมาก
แต่อีกฝ่ายมักแสดงสีหน้าเย็นชา ใครเล่าจะมีกะจิตกะใจสังเกตว่าเขามีหน้าตาอย่างไร
เหยาเอ้อหลางสะบัดหน้า ครุ่นคิดว่าทำไมวันนี้ตนถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ในสมองมักจะนึกถึงแต่ซวีจ้าว
ปกติแล้วเขาชอบแสดงท่าทีเย็นชาใส่เขา มีแค่ตอนเมาเท่านั้นที่แสดงด้านที่แท้จริงของตัวเองออกมา
ขณะที่ครุ่นคิดเรื่องนี้ในใจ เวลานี้เหยาเอ้อหลางกำลังเดินเล่นอยู่ริมถนนอย่างเบื่อหน่าย จังหวะนั้นเขาเหลือบไปเห็นเงาที่คล้ายคลึงกับซวีจ้าวในมุมถนน และมีสตรีคุ้นหน้าผู้หนึ่งเดินตามหลังเขา ดูท่าจะเป็นอวี๋ชิว
ความรู้สึกที่ไม่ชัดเจนของเหยาเอ้อหลางได้เปลี่ยนเป็นตื่นเต้นในทันที เขารุดขึ้นหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คว้าไหล่ของซวีจ้าวด้วยมือข้างเดียว “เฮ้! บังเอิญยิ่งนัก? เจ้า…กำลังจะไปส่งแม่นางอวี๋เข้าที่พักใช่หรือไม่?”
ซวีจ้าวไม่ได้แสดงปฏิกิริยาตอบสนองใด ๆ ต่อการปรากฏตัวอย่างฉับพลันของเหยาเอ้อหลาง นอกจากพูดเสียงราบเรียบว่า “ข้าจะพาแม่นางอวี๋ไปโรงเตี๊ยมแห่งอื่นทางตอนใต้ของเมือง ให้นางพักที่นั่นก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันหลังจากนางจัดการเรื่องในสองวันนี้เรียบร้อยแล้ว”
อวี๋ชิวทำความเคารพจากด้านข้าง “อวี๋ชิวขอแสดงความเคารพต่อท่านเหยาเอ้อหลางเจ้าค่ะ”
เหยาเอ้อหลางพยักหน้าบ่งบอกว่าไม่ต้องเกรงใจ จากนั้นก็ถามซวีจ้าวต่อว่า “วันนี้พี่ใหญ่ของข้าแต่งงาน เจ้าไม่ดื่มฉลองหน่อยหรือ? ไม่สิ เจ้าไม่ชอบโอกาสเหล่านี้ ความจริงแล้ว ข้าก็ไม่ชอบ ดังนั้นข้าจึงแอบย่องออกมา”
ซวีจ้าวชำเลืองมองเหยาเอ้อหลางแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเดิม โดยไม่พูดสิ่งใด
ครั้นเหยาเอ้อหลางเห็นเขาแบบนี้ก็รู้สึกขุ่นเคืองใจ คนผู้นี้ยามมีสติไม่ได้เมาช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก พอได้ดื่มก็ช่างน่ารัก เหตุใดมันถึงแตกต่างกันมากเพียงนั้น?
เหยาเอ้อหลางคิดฟุ้งซ่านอยู่ในใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากในมุมถนน เป็นชายชุดดำกลุ่มหนึ่งกำลังไล่ตามชายผู้หนึ่ง เขาพุ่งตัวออกไปอย่างไม่ลังเลและไม่สนใจว่าชายกลุ่มนั้นมีจำนวนมากน้อยเพียงใด
ครั้นซวีจ้าวเห็นเหยาเอ้อหลางพุ่งตัวออกไป ก็ตั้งใจจะตามไปขัดขวาง แต่ยังไม่ทันจะพูดเขาก็เข้าไปสู้กับชายชุดดำกลุ่มนั้นเสียแล้ว
ชายชุดดำมีจำนวนไม่น้อย ในระหว่างที่เหยาเอ้อหลางและชายผู้นั้นกำลังต่อสู้กันเขาค่อย ๆ เสียเปรียบ ซวีจ้าวเห็นดังนั้นก็อดร้อนใจไม่ได้ เป็นห่วงกลัวว่าเหยาเอ้อหลางจะบาดเจ็บ เนื่องจากไม่มีทางเลือกเขาจึงต้องเข้าร่วมตะลุมบอนในคราวนี้ด้วย
หลังจากสู้กันได้พักใหญ่ ชายชุดดำพากันบาดเจ็บกันเป็นจำนวนมาก ต่างประคองกัน กระเสือกกระสนวิ่งหนีจากไป ก่อนไปก็ยังมิวายทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ว่า “ฝากไว้ก่อนเถอะ”
เหยาเอ้อหลางเดินมาตรงหน้าของชายผู้นั้น และกล่าวด้วยความกังวล “สหายผู้นี้ เจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่? บาดเจ็บหรือไม่? ฝีมือของพวกเขาล้วนแต่เป็นทักษะชั้นยอด ร่างกายของเจ้าแข็งแกร่งมาก ขัดขวางพวกเขาเพียงลำพังได้นานเพียงนั้น”
ชายผู้นั้นยกกำปั้นขึ้นมาทำความเคารพพร้อมเอ่ยว่า “ขอบพระคุณสหายทั้งสองที่ช่วยข้า ซุนจางซาบซึ้งใจยิ่งนัก วันนี้ถ้าไม่ใช่เพราะพวกเจ้าช่วยไว้ เกรงว่าข้าต้องตายอยู่ข้างถนนเป็นแน่ สหายทั้งสองรู้จักกันใช่หรือไม่? เป็นสหายกันใช่หรือไม่?”
เหยาเอ้อหลางมองซวีจ้าว แล้วโอบไหล่เขาด้วยมือข้างเดียว พลางหัวเราะคิกคัก “ใช่ เราเป็นสหายที่รักกันมาก รู้จักมาตั้งแต่เด็ก เราตั้งใจจะไปกินข้าว สหายซุนอยากไปด้วยหรือไม่? จริงสิ นี่คือญาติผู้น้องของเรา อวี๋ชิว” พูดพลางให้อวี๋ชิวรุดหน้าเข้าไปทักทาย
ซุนจางนับว่าเป็นคนที่มีความห้าวหาญ เขาเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ช่างมีน้ำใจยิ่งนัก! วันนี้พวกเจ้าช่วยชีวิตข้าไว้ ข้าขอเลี้ยงอาหารพวกเจ้าสักมื้อ แม่นางผู้นี้ ข้าเห็นแล้วคุ้นหน้ายิ่งนัก…แต่กลับนึกอย่างไรก็นึกไม่ออก พาให้แม่นางขบขันเสียเปล่า ๆ”
ทั้งสี่คนพากันไปหอหรูอี้ ตรงไปยังห้องพิเศษชั้นสอง
“สหายซุน เหตุใดชายชุดดำกลุ่มนั้นถึงต้องมาหาเรื่องเจ้าด้วย? ข้าว่าพวกเขามีฝีมือไม่ธรรมดาเชียวนะ จะต้องเป็นทหารรับจ้างที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีแน่นอน เจ้าไปก่อเรื่องอะไรไว้ คนผู้นั้นถึงได้ยกพวกมารุมกระทืบเจ้าเช่นนี้” เหยาเอ้อหลางถามขึ้นหลังจากสั่งอาหารเสร็จ
ซุนจางทอดถอนใจ พลางเอ่ยว่า “ขอไม่ปิดบังแล้วกัน ข้าเป็นพ่อค้า ชีวิตนี้ไม่ได้มีความสามารถอะไร เปิดโรงพนันสองสามแห่ง แม้จะบอกว่าเป็นโรงพนัน แต่ข้ากล้ารับรองว่ากิจการของข้าไม่มีเบื้องหลังที่ไม่ดีแน่นอน ครั้นชื่อเสียงเลื่องลือออกไปก็มีลูกหลานตระกูลมั่งคั่งจำนวนมากแห่กันมาใช้บริการ กิจการโรงพนันของข้ารุ่งเรืองขึ้นเรื่อย ๆ และในขณะเดียวกันก็มักมีคนอิจฉาตาร้อน แต่ข้าคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะร้ายกาจเพียงนี้ หวังเล่นข้าถึงตาย”
ซวีจ้าวเหมือนกำลังครุ่นคิดบางอย่างพลางเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าไม่เคยเชิญใครมาไว้ปกป้องตัวเองเลยนะสิ? ฝีมือเจ้าก็ดี แต่ก็มีหลายครั้งที่น้ำน้อยมักแพ้ไฟ เช่นนี้เจ้าจะเสียเปรียบ การเปิดโรงพนัน ต้องเลี้ยงผู้คุ้มกันไว้ปกป้องตัวเองบ้าง”
“สหายซวีพูดก็มีเหตุผล ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคยคิด แต่ผู้คุ้มกันคงจะหาแบบโจ่งแจ้งไม่ได้ ข้าตามหาเป็นการส่วนตัวมาหลายคนแล้ว แต่ทุกคนไม่อยากทำเรื่องที่ต้องเสี่ยงชีวิต นานวันเข้า เรื่องนี้ก็ถูกทิ้งไป” ซุนจางเอ่ยปากอธิบาย
จู่ ๆ เหยาเอ้อหลางก็พูดออกมาด้วยความสนใจ “หมายความว่าสหายซุนยังไม่แต่งงานเช่นนั้นสิ? ถึงได้กล้าทำตามใจชอบเพียงลำพังเช่นนี้ ถ้ามีครอบครัวยามจะทำสิ่งใดก็ต้องระแวดระวังมากขึ้น เหมือนอย่างเรา มีอิสระช่างดียิ่งนัก”
ซุนจางยิ้มอย่างจนปัญญา พลางพูดว่า “สหายเหยาอย่าล้อข้าสิ หลายปีมานี้ข้ายุ่งแต่กับกิจการมาโดยตลอด ไฉนเลยจะมีเวลาไปคิดเรื่องเหล่านี้ เมื่อกิจการรุ่งเรือง ข้าก็แก่แล้ว จะมีหญิงงามนางไหนมาชอบข้าเล่า สหายเหยาพูดถูก เหมือนเราในตอนนี้ เป็นอิสระช่างดียิ่งนัก”
เหยาเอ้อหลางหัวเราะเสียงดัง เวลานี้อาหารถูกยกเข้ามาพอดี ทั้งสี่คนต่างเริ่มกินไปคุยไป
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เหยาเอ้อหลางเห็นทุกคนกินกันไปพอสมควรแล้ว จึงคว้าตัวซวีจ้าวลุกขึ้นและพุดว่า “สหายซุน ข้าและซวีจ้าวมีเรื่องด่วนต้องไปจัดการ ประเดี๋ยวจะรีบกลับมา รบกวนเจ้าช่วยดูแลญาติผู้น้องของข้าครู่หนึ่ง นางขี้กลัว กลัวคนแปลกหน้า รบกวนสหายซุนแล้วล่ะ”
เมื่อสิ้นสุดประโยคก็พากันเดินออกจากห้องไป ทิ้งพวกเขาสองคนให้นั่งมองหน้ากัน
อวี๋ชิวรู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แสนอึดอัด จึงเอ่ยปากพูดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ “ข้าน้อยขอชื่นชมคุณชายซุน เมื่อครู่ได้ยินท่านบอกว่าช่วงนี้ยุ่งแต่กับกิจการ ล้มเหลวไปก็ตั้งหลายครั้ง แต่ก็ยังยืนหยัดต่อไป ทำให้ข้าได้คิดว่าข้าเองก็อยากทำในสิ่งที่ตัวเองต้องการเหมือนกันเจ้าค่ะ…แต่ ข้าไม่มีวาสนานั้น”
ซุนจางมองอวี๋ชิวที่กำลังก้มหน้า กระทั่งสังเกตเห็นความหดหู่ใจของนาง จึงเอ่ยปลอบใจ “แม่นางอวี๋พูดอะไรเช่นนั้น? วาสนาของคนเราล้วนแต่อยู่ในกำมือของเราเอง เจ้าอยากทำอะไรก็ต้องกล้าที่จะลงมือทำ สตรีในวัยนี้กลับมีความคิดเช่นนี้ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ข้าขอชื่นชม หวังว่าแม่นางจะไม่ดูถูกตนเองเกินไป”
อวี๋ชิวไม่ได้ยินผู้อื่นพูดกับตนด้วยน้ำเสียงอบอุ่นเช่นนี้มานานมากแล้ว จึงรู้สึกอบอุ่นในใจ หยาดน้ำตาหลั่งริน และพูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “คุณชายซุนคงจะไม่รู้ว่าในบ้านของผู้น้อยเหลือเพียงท่านพ่อและข้าที่คอยพึ่งพากันและกัน แต่เมื่อหลายวันก่อนท่านพ่อของข้าล้มป่วยและจากโลกนี้ไป เหลือข้าเพียงลำพัง….ข้าอยากเป็นเหมือนคุณชายซุน แต่ก็จนปัญญาเพราะตัวเองเป็นสตรีเจ้าค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………..