ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 421 ควบคุมตัวเองไม่ได้!
บทที่ 421 ควบคุมตัวเองไม่ได้!
บทที่ 421 ควบคุมตัวเองไม่ได้!
ครั้นตู้เหิงเงยหน้าขึ้น ก็ปะทะกับสายตาประหลาดใจของลู่หัวพอดี
หญิงสาวจึงได้สติกลับมา เมื่อครู่จิตใจของนางกำลังสั่นไหวจึงทำอะไรไม่ถูก กระทั่งเดินมายังห้องหนังสือของลู่หัวที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเรือนด้านหลังโดยไม่รู้ตัว
นั่นคือสถานที่ที่นางมักจะมาหาเขาอยู่บ่อยครั้งยามที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในชาติที่แล้ว…
ตู้เหิงนึกย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น จู่ ๆ ดวงตาก็แดงก่ำ
ครั้นลู่หัวเห็นสีหน้าของนางแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง ดวงตาคู่นั้นก็ฉายแววโกรธและร้อนใจ เลยไม่รู้จะต้องทำอย่างไรไปชั่วขณะ นอกจากเอ่ยกระซิบว่า “แม่นางตู้ เจ้าเป็นอะไร? ถูกผู้ใดรังแกมาใช่หรือไม่?”
ตู้เหิงตะโกนเรียกโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว “ลู่หลาง[1]…”
การปฏิสัมพันธ์กับตู้เหิงก่อนหน้านั้น จนถึงตอนนี้นางมักจะแสดงท่าทีที่เหนือกว่า ความงดงามอันเลอค่าตั้งแต่เด็กจนเติบใหญ่ก็ยังได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีอยู่ในจวนขุนนางชั้นสูง
ต่อมาเมื่อต้องตกอับ กลับไม่เคยเห็นการเปลี่ยนแปลงใด ๆ บนใบหน้าของนางเลยแม้แต่น้อย มีแต่ความหยิ่งยโสที่ทวีความรุนแรงขึ้นกว่าเดิม
ไฉนเลยลู่หัวจะเคยเห็นท่าทางดั่งดอกสาลี่ต้องหยาดพิรุณในตัวนาง? ทั้งยังถูกนางขานเรียกด้วยความคับแค้นระคนความอาลัยอาวรณ์หนึ่งเสียง ร่างกายจึงหมดเรี่ยวแรงอย่างฉับพลัน
เขาเดินรุดหน้าหนึ่งก้าว ประคองแขนของตู้เหิงด้วยความยับยั้งชั่งใจ ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “อาเหิง เจ้าเป็นอะไร?”
คำเรียก ‘อาเหิง’ นี้ เรียกสติของตู้เหิงกลับมาจากห้วงความทรงจำ
จู่ ๆ นัยน์ตาของนางก็ฉายแววประหลาดใจ พร้อมความเกลียดชังที่ปิดไม่มิด
ลู่หัวได้ยินอาเหลียงพูดก่อนหน้านั้นว่าวันนี้ตู้เหิงได้รับคำเชิญจากผู้เป็นน้องสาวของตนในฐานะแขก เมื่อครู่เห็นตู้เหิงท่าทางเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมก็รู้ทันทีว่าน้องสาวของตนต้องรังแกนางแน่นอน
ความเกลียดชังในสายตาของนางทำให้ลู่หัวต้องถอยเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ เสี้ยวขณะที่เกิดความไม่เข้าใจอย่างต่อเนื่องนั้น เขาก็หาเหตุผลที่ดีให้กับนางได้
ลู่หัวรู้ดี คำพูดคำจาระหว่างสตรีคือมีดอันแหลมคมที่ปักตรงขั้วหัวใจ
ตู้เหิงเป็นสตรีที่เย่อหยิ่ง เชื่อมั่นในตัวเองและแข็งแกร่ง บุรุษทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็เคยประจบเอาใจนาง ปกป้องนาง เหตุใดนางถึงได้รับความไม่เป็นธรรมเช่นนี้?
เขาเอ่ยถามเสียงต่ำ “น้องสาวของข้าพูดจาทำร้ายจิตใจใช่หรือไม่? เจ้าอย่าไปใส่ใจ นางก็มีนิสัยเช่นนี้เสมอ กลับไปข้าจะสั่งสอนนาง ระบายความโกรธแทนเจ้าเอง”
ตู้เหิงสะบัดมือของลู่หัวอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ถอยหลังหนึ่งก้าว กลั้นน้ำตาและเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ไม่ขอรบกวนคุณชายลู่ดีกว่า ท่านและแม่นางลู่เป็นพี่น้องแท้ ๆ กัน เหตุใดจะต้องมาทำเพื่อคนนอกที่นอนกลางดินกินกลางทรายอย่างข้าจนต้องแตกแยกกันด้วย?”
ในคำพูดนี้ ไม่รู้ว่าคำไหนบ้างที่ทิ่มแทงใจของลู่หัว มันแทงเข้าจนรู้สึกถึงความเจ็บปวดจางๆ ในใจ
ตู้เหิงที่มองเขาด้วยสายตาอันเต็มไปด้วยความไม่เป็นธรรม ความอาลัยอาวรณ์เมื่อครู่ได้จางหายไปหมดแล้ว สิ่งที่เข้ามาแทนที่คือใบหน้าเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตาดั่งน้ำค้างที่หยดลงมาบนแป้ง
นัยน์ตาคู่งามนั้น เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาอย่างชัดเจน
ลู่หัวไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองจะมีความอ่อนโยนและความอดทนมากเพียงนี้ ทำได้เพียงรุดขึ้นหน้า แล้วพูดกับนางเสียงต่ำว่า “อาเหิง ข้าสนใจในตัวเจ้า เจ้าคงรู้มาตลอด อีกทั้งไม่ว่าจะเป็นอย่างไร หัวใจดวงนี้ก็จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง”
ครั้นตู้เหิงได้ยินคำพูดนี้ ทั่วทั้งร่างกายก็พากันสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้
ยามที่นางเพิ่งออกเรือนกับเขา เขาได้ลั่นสาบานว่าจะรักกันตราบชั่วฟ้าดินสลาย! แล้วอย่างไรเล่า? ก่อนที่เขาจะสู่ขอนาง เขาก็ลอบไปมีสัมพันธ์ส่วนตัวกับน้องสาวต่างมารดาของนาง!
และเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ก็คือ ลู่หัวเคยให้ความรักที่สมบูรณ์แบบแก่ตู้เหิงโดยแท้จริง เขาอ่อนโยน หล่อเหลา และยังอ่อนเยาว์มาก ไม่ว่าเรื่องใดก็ยอมให้นางเสมอ
แต่หลังจากที่ตู้หวู่ถูกยกเกี้ยวสีแดงเข้าจวนลู่ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
กระทั่งวันนี้ ตู้เหิงยังคงจดจำความสะอิดสะเอียนที่ได้รับจากสามีและน้องสาวแท้ ๆ ที่ร่วมมือรังแกนางอย่างได้ดี และสายตาอันเฉยชาที่เขาใช้มองมายามตู้หวู่กำลังเหยียบย่ำอยู่บนศีรษะของนาง ข่มเหงรังแกนาง ทำให้นางต้องอับอาย
ตู้เหิงตัวสั่นเทิ้มด้วยความต่อต้านและความชิงชัง ทว่าในสายตาของลู่หัว กลับกลายเป็นความซาบซึ้งใจที่หญิงสาวมีต่อคำพูดเมื่อครู่ของเขา
ในสายตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “อาเหิง ในที่สุดเจ้าก็กล้าเผชิญหน้ากับความรักที่ข้ามีต่อเจ้าแล้วใช่หรือไม่? นี่ก็นานแล้วนะ เจ้าไม่เคยตอบรับ…”
ตู้เหิงกำมือทั้งสองข้างไว้แน่น พร้อมกับกล่าวเสียงต่ำเพื่อหยุดเขา “พอได้แล้ว! ท่านไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น”
ลู่หัวไม่ยอมรามือ พยายามดึงมือของตู้เหิง แล้วพูดกับนาง “เห็นได้ชัดว่าเจ้ารู้และเต็มใจ เหตุใดตอนนี้ถึงได้ปฏิเสธอีกเล่า? อาเหิง ให้ข้าได้ดูแลเจ้า ให้ข้าได้แต่งเจ้าเข้าจวนลู่ ได้หรือไม่?”
ยามที่ทั้งสองคนพูดคุยกัน เสี่ยวหงก็ตามมาทันในที่สุด ด้วยความที่ในสายตาของลู่หัวมีแต่ตู้เหิง จึงไม่ทันเห็นเงาของนาง
นางจึงได้ยินประโยคนี้ของลู่หัวเข้าพอดี ครั้นเห็นท่าทางที่ลึกซึ้งของลู่หัว ก็รู้สึกซาบซึ้งอย่างต่อเนื่องในใจ ตามมาด้วยใบหน้าที่ค่อย ๆ แดงระเรื่อแล้ว
‘รีบตอบรับเร็วเข้า คุณหนู รีบตอบรับเร็วเข้า’
เสี่ยวหงครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ ไม่หยุด
ตู้เหิงกลับสะบัดมือของลู่หัวออก ขมวดคิ้วและพูดว่า “คุณชายลู่โปรดสำรวมต่อตัวเองด้วย”
ลู่หัวมองตู้เหิงเนิ่นนาน ก่อนจะค่อย ๆ ขมวดคิ้ว
ครั้นเสี่ยวหงเห็นท่าไม่ดี ก็รีบเดินออกมาจากด้านหลังของตู้เหิง แล้วกล่าวกับลู่หัวว่า “คุณชายลู่คงจะไม่พอใจ เมื่อครู่คุณหนูของเราได้รับคำเตือนมาจากแม่นางลู่…ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามคุณหนูเข้าใกล้คุณชายเด็ดขาด หลีกเลี่ยงไม่ให้ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างคุณชายกับแม่นางเฉินเจ้าค่ะ”
คำพูดนี้ของนาง สร้างความตื่นตกใจให้กับทั้งสองคน
แรกเริ่มลู่หัวอยากจะพูดคุยเรื่องงานแต่งระหว่างตัวเองและคุณหนูใหญ่แห่งจวนเฉิน แต่ต่อมาก็พลันนึกได้ ท่าทางเย็นชาที่แฝงไปด้วยความเกลียดชังในวันนี้ของตู้เหิง จะต้องนำมาซึ่งความสิ้นหวังเนื่องจากความอิจฉาริษยาของคุณหนูเฉินสู่อนาคตของทั้งสองคนแน่นอน
เขารีบแสดงจุดยืนของตัวเอง ด้วยการพูดเสียงต่ำว่า “อาเหิง เจ้าวางใจ…”
ตู้เหิงนึกถึงท่าทางอันสูงศักดิ์ที่แม่นางลู่แสดงออกมาเมื่อครู่ และสายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยามและดูถูกนาง
ถ้านางเกี่ยวดองกับลู่หัว ทำลายงานแต่งของเขา ทำลายอนาคตของนาง ไม่รู้ว่านางจะยังกล้าใช้น้ำเสียงเช่นนั้นพูดกับนางอีกหรือไม่?
ที่แม่นางลู่อยากพึ่งพิง ไม่ใช่เพราะต้องการให้จวนเฉินช่วยหาสามีที่ดีในอนาคตให้แก่นางหรอกหรือ?
ครั้นคิดได้เช่นนี้ สีหน้าของตู้เหิงก็ไม่ได้เย็นเยือกถึงเพียงนั้นแล้ว
ครั้นลู่หัวเห็นนางมีสีหน้าที่ผ่อนคลายลง ก็รีบเอ่ยขึ้นว่า “อาเหิง ข้าและแม่นางเฉินผู้นั้น ไม่ได้เป็นอะไรกัน ข้าไม่เคยเจอนาง ข้ากับนางจะเทียบเท่ากับมิตรภาพที่ข้าและเจ้าเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่วัยเยาว์ได้อย่างไร?”
ตู้เหิงรู้สึกเหยียดหยามในใจ แต่ใบหน้ากลับไม่ได้แสดงออกแต่อย่างใด ก่อนจะเอ่ยถามเขาด้วยคิ้วที่ขมวดกันเป็นปมว่า “ท่านกับแม่นางเฉินไม่เคยมีความสัมพันธ์ต่อกันเช่นนั้นหรือ? แล้วเหตุใด เหตุใดน้องสาวของท่านถึง…”
ลู่หัวคว้ามือของตู้เหิง จากนั้นก็ดึงมาทาบอกของตัวเอง “อาเหิง เจ้าเชื่อข้านะ หัวใจดวงนี้ของข้า มีเพียงแต่เจ้าทั้งสี่ห้อง ไฉนจะเหลือที่ให้กับคุณหนูเฉินอะไรผู้นั้นเล่า?”
ตู้เหิงดิ้นสะบัดครู่หนึ่ง แต่กลับไม่สามารถสะบัดหลุดออกจากการควบคุมของเขาได้ จึงทำได้แค่ปล่อยให้ลู่หัวจับมือของนาง วางไว้บนหน้าอกอย่างนั้น
หญิงสาวครุ่นคิดอย่างรังเกียจ
แม้ว่าตอนนี้หัวใจดวงนี้จะมีเพียงนาง แต่เกรงว่าพรุ่งนี้คงจะสู่ขอแม่นางเฉินผู้มีภูมิหลังไม่ธรรมดาเข้าจวน เครื่องแต่งกายธรรมดาหรือจะสู้ความมั่งคั่งร่ำรวยและอนาคตที่งดงาม
ตู้เหิงจึงอยากจะเกลี้ยกล่อมเขา โดยไม่ได้ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง แค่หลุบตามองต่ำ ไม่ให้ลู่หัวเห็นความรู้สึกในสายตาของตัวเอง “ท่านปล่อยข้าก่อนเถอะ”
ฝ่ามือของตู้เหิงเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขามองหญิงสาวตรงหน้าผู้ซึ่งเคยทำให้เขาคิดคะนึงหาอยู่หลายปีเมื่อครั้งยังวัยเยาว์อย่างไม่กะพริบตา เขาจะยอมปล่อยมือได้อย่างไร?
ตู้เหิงปรายตามอง ดวงตาคู่งามและเต็มไปด้วยความอ่อนโยนภายใต้แพขนตาหนา ได้สบเข้ากับสายตาของเขา ก่อนจะเมินไปทางอื่นอย่างรวดเร็ว ซึ่งทำให้ลู่หัวมองด้วยแววตาสับสน
กระทั่งเขาได้ยินน้ำเสียงที่แผ่วเบา เหมือนอึดอัดจนยากที่จะรับไหว ตู้เหิงพูดซ้ำอีกครั้ง “ท่านปล่อยข้าก่อนเถอะ….ที่นี่คือจวนลู่ หากคนรับใช้ในจวนเห็นเข้าจะพูดถึงข้าว่าอย่างไร?”
ลู่หัวตื่นตกใจอย่างฉับพลัน จากนั้นก็ปล่อยมือของตู้เหิง
แต่ในระหว่างที่ดึงมือออกจากนางนั้น เขาก็ยื่นออกไปคว้าอีกครั้ง แล้วพูดกับนางว่า “เห็นแล้วอย่างไร? อาเหิง เจ้าเป็นของข้า”
เสี่ยวหงยืนอยู่ข้างกาย ครั้นเห็นลู่หัวผู้มีหน้าหล่อเหลาไร้ที่ติพูดแสดงความเป็นเจ้าของอย่างเปิดเผยเช่นนี้กับคุณหนูของตัวเอง สติถึงกับกระเจิงอย่างอดไม่ได้
แต่ในใจของตู้เหิง กลับก่อเกิดความเย็นเยือกระลอกหนึ่ง
ถ้าวันนี้ลู่หัวเต็มใจปล่อยนางไปด้วยความเคารพ นั่นหมายความเขาอยากปกป้องนาง ยินยอมรักษาชื่อเสียงของนาง แต่ตอนนี้เขาคว้ามือของนางตามใจตัวเอง เห็นได้ชัดว่ากำลังดูถูกนางอย่างมาก
อยากให้คนรับใช้ในจวนเห็น ประกาศชื่อเสียงของหญิงสาวออกไป ก็ยิ่งดี…ครั้นชื่อเสียงของนางป่นปี้ ก็มีแค่ต้องตามเขาไป
แต่ลู่หัวเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของเจ้ากรมกลาโหม จะแต่งงานกับนางผู้ไม่มีตระกูลให้พึ่งพิงได้อย่างไร?
ถึงตอนนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดของนาง ก็คือการเป็นอนุภรรยา เป็นเพียงของเล่นในห้องเขา…
สีหน้าของตู้เหิงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นเย็นยะชา ดวงตาคู่งามที่ดูเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ค่อย ๆ สูญเสียความอ่อนโยนทีละน้อย “ลู่หัว ท่านปล่อยข้าเดี๋ยวนี้”
ชายหนุ่มจึงได้ปล่อยมือ
ครั้นเห็นแววตาของตู้เหิงดูแปลกไป ลู่หัวจึงรีบอธิบายเสียงต่ำทันที “อาเหิง ข้าไม่ได้…ข้าไม่ได้หมายความอย่างอื่นนะ แค่ควบคุมตัวเองไม่ได้เท่านั้น”
ตู้เหิงยิ้มเยาะอย่างเย็นชาในใจ ควบคุมตัวเองไม่ได้อย่างนั้นรึ!
ตอนนี้จิตใจของนางกำลังสั่นไหว ไม่มีเรี่ยวแรงจะแสร้งอ่อนน้อมถ่อมตนกับลู่หัว แต่ก่อเกิดความคิดที่จะกลับมาแก้แค้นเขา แก้แค้นคุณหนูจวนลู่ จึงได้ฝืนยิ้ม แล้วพูดกับลู่หัวว่า “วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว อยากกลับจวน”
ไฉนลู่หัวจะไม่เข้าใจความหมายเป็นนัยของนาง? ถึงกระนั้นก็คาดไม่ถึงว่าท่าทีของตู้เหิงจะอ่อนโยนลง ลู่หัวจึงคิดอยากจะติดตามนาง ปลอบให้นางสบายใจ
“อาเหิง เจ้ากลับไปก่อน วันนี้ข้าต้องไปสั่งสอนน้องสาวของข้าสักหน่อย วันหน้าจะให้นางไปขอโทษเจ้าถึงที่บ้าน”
ตู้เหิงไม่สนใจ แต่กลับแสดงสีหน้าซาบซึ้งใจ และแล้วก็หยุดชะงัก สุดท้ายก็ไม่พูดอะไร แค่พาเสี่ยวหงเดินจากไป
ลู่หัวมองเงาที่เดินจากไปของตู้เหิงอยู่ไกล ๆ ในใจรู้สึกดีใจและดูถูกในเวลาเดียวกัน
ดีใจที่ความรักในวัยเด็กได้รับการตอบรับในที่สุด และดูถูกที่นางผู้เปรียบดั่งดอกเหมยอันบริสุทธิ์ได้ร่วงโรยตกลงไปในโคลนตม
……………………………………………………………………………………………..
[1] คำว่าหลาง (郎) ในที่นี่หมายถึงคำเรียกสามีในสมัยโบราณ
สารจากผู้แปล
ระหว่างลู่หัวกับตู้เหิงนี่ดูเป็นคู่รักคู่แค้นกันมาหลายชาติภพยังไงก็ไม่รู้ค่ะ ใจหนึ่งก็รัก อีกใจก็ทำลายซึ่งกันและกัน
ไหหม่า(海馬)