ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘] - บทที่ 383 หรือเป็นเพราะพูดคุยไม่ถูกคอ
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นแม่ของวายร้ายทั้งสาม [穿书后,我成了三个反派的娘]
- บทที่ 383 หรือเป็นเพราะพูดคุยไม่ถูกคอ
บทที่ 383 หรือเป็นเพราะพูดคุยไม่ถูกคอ
บทที่ 383 หรือเป็นเพราะพูดคุยไม่ถูกคอ
หลังกลับจากจวนตระกูลไป๋ เด็ก ๆ ต่างก็มีความสุขกันอย่างมาก ทุกคนล้วนมีรอยเกรียมแดดปรากฏขึ้นบนใบหน้าและไม่มีผู้ใดซ่อนความตื่นเต้นในสายตาได้เลย
เมื่อไม่กี่วันก่อนเหยาเฉาเตรียมลูกม้าเอาไว้ให้เด็ก ๆ แต่ละคน
เด็กชายทั้งสามต่างมีท่าทางกระตือรือร้นและยืนยันที่จะออกไปขี่ม้าข้างนอก มีเพียงแต่เหยาซูกับอาซือที่นั่งอยู่ในรถม้า
เด็กน้อยเห็นใบหน้าอันเหนื่อยล้าของมารดา จึงรินน้ำชาให้กับนาง “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไรไป ทำไมถึงไม่มีชีวิตชีวาเลยเจ้าคะ”
เหยาซูยื่นมือไปรับจอกชาจากบุตรสาว ยกขึ้นจิบหนึ่งอึกแล้ววางลง ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “มานวดไหล่ให้แม่หน่อย…”
หญิงสาวอยู่ที่จวนตระกูลไป๋ครึ่งค่อนวัน ดื่นชามาแล้วไม่รู้เท่าไร หากแต่ก็ไม่อร่อยเท่ากับชาที่ลูกสาวรินให้หนึ่งแก้ว
อาซือลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง วางมือเล็กที่นุ่มนวลไว้บนบ่าของเหยาซูก่อนออกแรงบีบนวดให้หญิงสาว
เด็กหญิงตัวเล็กมีเรี่ยวแรงไม่มากนัก ถึงแม้ว่าแรงมือจะแผ่วเบา แต่กลับทำให้ผ่อนคลายเป็นอย่างมาก
อาซือนวดพลางถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไมท่านแม่ถึงเหนื่อยขนาดนี้เจ้าคะ”
เหยาซูไม่อยากให้เด็กหญิงนวดเป็นเวลานาน อาซือเพิ่งจะนวดได้สองสามครั้ง ก็ถูกแม่ดึงมือให้ไปนั่งในอ้อมกอด
เหยาซูกล่าวขึ้นว่า “วันนี้ข้าได้เรียนรู้อะไรมากมาย ได้พูดคุยกับผู้คน ก็อาจจะทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อย…”
อาซือหัวเราะขึ้นมาเบา ๆ แล้วกล่าวขึ้นว่า “แท้จริงแล้วท่านแม่พูดคุยจนเหนื่อยเองหรอกหรือ! แต่ว่าในวันปกติที่ท่านแม่อยู่ที่ร้านอาหารหรือร้านขายผ้า ไม่ใช่ว่าท่านพูดคุยกับผู้คนจนถึงบ่ายเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะ ตอนนั้นข้าก็ไม่ได้เห็นว่าท่านแม่จะเหนื่อยตรงไหนเลย”
เหยาซูหัวเราะออกมาเบา ๆ แล้วลูบหัวของลูกสาวอย่างอบอุ่น “อาซือ เจ้าก็รู้นี่ว่าระหว่างคนเรา เพียงแค่สนใจสิ่งที่เหมือนกัน เวลาพูดคุยกันถึงจะน่าสนใจ ถ้าหากว่าให้ข้าสนทนากับป้าเซวียและป้าเจี่ยงของเจ้า มันก็คงจะไม่ใช่เรื่องยากที่จะสนทนากันให้สบายใจ”
หลังจากที่อาซือเข้าใจความหมายในสิ่งที่เหยาซูกล่าว ก็อดที่จะพูดออกมาไม่ได้ “ท่านแม่ไม่ชอบสนทนากับฮูหยินไป๋หรือเจ้าคะ หรือเพราะว่าพูดคุยกันไม่ถูกคอ?”
เหยาซูยิ้มขึ้นแล้วบีบแก้มนุ่มนิ่มของลูกสาวตัวน้อย “เจ้านี่ฉลาดเสียจริง”
อาซือนั่งในอ้อมแขนของผู้เป็นแม่แล้วเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “ท่านแม่ไม่ชอบฮูหยินไป๋หรือเจ้าคะ”
เหยาซูส่ายหน้า “ฮูหยินไป๋มีนิสัยเฉพาะตัวที่ยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์ของตัวเอง ไม่ใช่ว่าแม่ไม่ชอบนาง เพียงแค่รู้สึกว่ายามสนทนานั้นสิ้นเปลืองแรงกายไปไม่น้อย คงเพราะมีทัศนคติไม่เหมือนกัน”
ฮูหยินไป๋เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ของบุตรสาวจากครอบครัวมั่งคั่ง คำพูดและการกระทำส่งผลให้คนไม่สามารถแยกแยะความผิดพลาดได้ และนางอาจจะระมัดระวังตัวมากไปหน่อย
และยิ่งไปกว่านั้นยังพูดคุยถึงการศึกษาของเด็ก ๆ ทัศนคติของทั้งสองคนเข้ากันไม่ได้ ฮูหยินไป๋ต้องการควบคุมความต้องการทุกอย่างของลูกสาว ซึ่งสิ่งนี้ทำให้เหยาซูรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย
หญิงสาวเข้มงวดกับการเลือกสหายให้ไป๋หรูปิงเป็นอย่างมาก นางจัดการเนื้อหาที่เด็กหญิงต้องศึกษา เสื้อผ้าอาภรณ์ ข้าวปลาอาหาร ทุก ๆ อย่างของไป๋หรูปิงอยู่ภายใต้การจัดการของฮูหยินไป๋ และต้องทำทุกอย่างให้ดีและโดดเด่นเป็นพิเศษ แต่เหยาซูยังคงรู้ดีว่าเด็ก ๆ ต้องการความเป็นอิสระ
ครั้นเห็นเด็กหญิงท่าทางอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เหยาซูจึงไม่อาจเอื้อนเอ่ยประโยคเหล่านี้กับนางได้ เมื่อครู่ที่เหยาซูต้องอดทนอยู่ในจวนตระกูลไป๋ครึ่งค่อนวันก็เกินพอแล้ว
หญิงสาวลูบใบหน้าของอาซือเบา ๆ แล้วเอ่ยถามอย่างอบอุ่น “วันนี้พี่ไป๋หรูปิงเป็นอย่างไรบ้าง พวกเจ้าเข้ากันได้หรือไม่ วันนี้ไปเก็บดอกบัวด้วยกันทั้งวัน ดูสิหน้าเล็ก ๆ ของเจ้าถูกแดดเผาหมดแล้ว”
ตามที่คาดไว้อาซือไม่ได้สนใจเรื่องระหว่างแม่ของตนกับไป๋ฮูหยิน เพียงพยักหน้าอย่างมีความสุขพร้อมกับกล่าวขึ้นว่า “สนุกมาก ๆ พี่ไป๋นิสัยดีมากเจ้าค่ะ ดูแลข้าตลอด ไม่ได้โมโหพี่ใหญ่ที่นิ่งเงียบหรือพี่รองที่เสียงดังโวยวาย และยังพาพวกเราไปสถานที่ในจวนตระกูลไป๋ที่น่าสนใจอีกด้วย!”
เหยาซูเห็นเด็กหญิงพูดจาด้วยความสนใจ ก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
เมื่อนึกถึงตอนที่ไป๋หรูปิงแสดงออกต่อหน้าแม่ของตน หัวใจของเหยาซูพลันเต้นแรง หญิงสาวได้เอ่ยถามขึ้น “ข้าเห็นว่าหรูปิงเป็นเด็กที่เชื่อฟังคำพูดคนหนึ่ง เจ้าชอบเล่นกับนางไหม?”
อาซือเอียงหัวราวกับว่ากำลังครุ่นคิดว่าแม่ของตนหมายความว่าอย่างไร เด็กหญิงกล่าวขึ้นเบา ๆ “พี่ไป๋ยินยอมที่จะเล่นกับพวกเรา เพียงแต่ว่าแม่ของนางมอบหมายบทเรียนให้นางไว้เยอะมากเจ้าค่ะ”
เหยาซูถอนหายใจในใจ มันเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
อาซือเงยหน้าขึ้นมามองตาเหยาซู “ท่านแม่ พวกเราปรึกษากันแล้ว หลังจากกลับบ้านไปจะบอกกับท่านยาย วันข้างหน้าถ้าพี่ไป๋อยากมาเล่นที่บ้านของพวกเรา จะให้ท่านยายเขียนจดหมายให้นาง…พี่ไป๋จะได้มาเล่นหมากรุกที่บ้านของเราได้”
ทักษะการเล่นหมากรุกของแม่เฒ่าเหยานั้นโดดเด่น คนในตระกูลเหยาต่างรู้กันดี
เหยาซูเห็นอาซือกล่าวเช่นนี้ ก็คลี่ยิ้มทันใด “เด็กคนนี้นี่ใช้ได้จริง ๆ แล้วพี่ไป๋ยินยอมหรือไม่”
อาซือพยักหน้า “ยินยอมแน่นอนเจ้าค่ะ”
เหยาซูย้อนคิดไปถึงเหตุการณ์ที่พบกับไป๋หรูปิง เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ ไม่สูงมาก แผ่นหลังตั้งตรง ควรที่จะมีนิสัยที่ดื้อรั้น ทว่าเวลาที่อยู่ต่อหน้าแม่ของตนเด็กหญิงเชื่อฟังทุกและปฏิบัติตามคำสั่ง
พอมองดูแล้วก็รู้สึกได้ว่าเด็กหญิงไม่ชอบการที่ต้องอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเข้มงวด นางควรจะเป็นเด็กหญิงที่มีความคิดเป็นของตัวเอง
เหยาซูทอดถอนใจกับเรื่องนี้ เด็กควรจะได้รับความอิสระ เพียงวันนี้ที่นางสนทนากับฮูหยินไป๋ก็รู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกแล้ว หากเป็นเด็กจะชอบการอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเข้มงวดแบบนี้หรือ
เมื่อเห็นท่าทางไร้กังวลของลูกสาว เหยาซูก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย
หญิงสาวถามขึ้นอย่างอบอุ่น “อาซือมีพี่ไป๋แล้ว เจ้าจะลืมพี่เถิงเอ๋อหรือไม่ ข้าไม่เห็นเจ้าจะพูดถึงเขาเลย แล้วเมื่อไรจะไปหาพี่เถิงเอ๋อเล่า”
อาซือยิ้มกว้างจนแก้มทั้งสองกลมโตดุจลูกสาลี่ “ข้ากำลังจะคุยกับท่านแม่อยู่พอดี ท่านแม่วันพรุ่งนี้ข้ากับพี่เถิงเอ๋อจะไปเดินเล่นที่ร้านหนังสือ จะได้หรือไม่เจ้าคะ”
เด็กหญิงตัวน้อยกลัวว่าแม่ของนางจะไม่เห็นด้วยจึงกล่าวเสริมขึ้นอีก “บ้านของพี่ไป๋มีตำราอยู่มากมาย แต่นางไม่เคยได้อ่านนิทานปรัมปราเลย ข้าจึงอยากเลือกซื้อให้นางสักเล่มสองเล่ม”
เหยาซูยิ้มแล้วเคาะจมูกลูกสาวตัวเอง “อยากไปก็ไปสิ แม่ไม่ห้ามเจ้าอยู่แล้ว แต่อย่าลืมทำการบ้านเล่า และก็อย่าลืมเรื่องสุขภาพของพี่เถิงเอ๋อ อย่าให้เขาต้องเหนื่อยมาก”
อาซือโห่ร้องด้วยความดีใจ “ข้ารู้แล้ว ท่านแม่ดีจริง ๆ เจ้าค่ะ”
เด็กหญิงตัวเล็กเกาะแขนออดอ้อนแม่ของตน นางไม่สามารถหุบยิ้มได้ ทำให้ภายในใจของนางพลันอ่อนยวบ
เหยาซูกล่าวกับลูกสาวด้วยเสียงที่นุ่มนวล “ข้ามองว่าหรูปิงก็เป็นเด็กดีคนหนึ่ง วันข้างหน้าเจ้าสามารถติดตามนางได้ ไปศึกษาเล่าเรียนที่จวนตระกูลไป๋ก็เป็นเรื่องที่ดี”
อาซือหัวเราะคิกคักด้วยความเจ้าเล่ห์ “ท่านแม่รู้หรือไม่ ท่านพี่ก็บอกกับข้าแบบนี้เช่นกันเจ้าค่ะ”
ถึงแม้ว่าเด็กหญิงอายุยังน้อย กลับสังเกตได้ว่าพี่ชายของตนมักจะดูแลพี่ไป๋เป็นพิเศษ
เหยาซูยิ้มและข้ามหัวข้อนี้ไป “ช่างฉลาดนักนะ”
เด็กหญิงตัวเล็กยิ้มขึ้นอย่างสดใส
อาซือเป็นเด็กหญิงที่มีมารยาทที่ดี ฮูหยินไป๋ชอบนางตั้งแต่แรกเห็น ดังนั้นนางจึงบอกกับเหยาซูว่าอาซือสามารถมาที่จวนตระกูลไป๋เพื่อศึกษาเล่าเรียนกับไป๋หรูปิงได้
เพียงแต่ว่าเหยาซูรู้สึกว่าลูกสาวของตนไม่ได้สนใจในศิลปะทั้งสี่แขนง จึงไม่อยากที่จะบังคับนาง แต่มันก็เป็นเพียงแค่อดีตไปแล้ว เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าอาซือเองก็เต็มใจที่จะไปจวนตระกูลไป๋
หญิงสาวจ้องมองไปที่ดวงตาของอาซือแล้วกล่าวอย่างอบอุ่น “ฮูหยินไป๋ถูกใจเจ้ามาก อยู่ที่จวนตระกูลไป๋เจ้าจะไม่ได้รับความไม่เป็นธรรมอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าแม่ต้องการพูดคุยกับเจ้าก่อน เงื่อนไขของฮูหยินไป๋นั้นสูงมาก ๆ โดยปกตินางก็เป็นคนที่เข้มงวดอยู่แล้ว ถ้าหากเจ้ารับไม่ไหวเจ้าอย่าหงุดหงิดโมโหเหมือนพี่รองเชียวนะ”
อาซือพยักหน้า “ท่านแม่ ข้ารู้ดีเจ้าค่ะ สิ่งที่เด็ก ๆ จะต้องเรียนรู้ ข้าจะตั้งใจศึกษาให้ดีที่สุด”
เหยาเอ้อหลางที่มีนิสัยราวกับเป็นปีศาจร้ายในร่างมนุษย์ มีเพียงแค่เหยาเฟิงเท่านั้นที่สามารถจะรับมือกับเด็กชายได้ อาซือคิดในใจว่านางคงจะไม่เหมือนกับพี่รองของตน
อาซือกำลังคิดว่าจะเลือกหนังสือเล่มไหนดีเมื่อไปร้านหนังสือกับพี่เถิงเอ๋อในวันพรุ่ง และในขณะเดียวกันเด็กหญิงก็คิดว่าเมื่อไรจะได้ไปเล่นกับพี่ไป๋พี่สาวคนใหม่ของนางที่เพิ่งรู้จัก นางสามารถตามแม่ของตนได้ ไปร้านอาหารและร้านขายผ้าเพื่อพบปะผู้คนมากขึ้น พลันรู้สึกว่าชีวิตในเมืองหลวงนั้นเริ่มน่าสนใจมากกว่าชีวิตที่เคยเป็นอยู่ขึ้นมาทันใด
…………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหมือนฮูหยินไป๋ก็เคยโดนกดดันแบบนี้มาก่อน พอมีลูกสาวก็เลยมาลงกับลูกสาวน่ะค่ะ รักความสมบูรณ์แบบมากเกินไปมันไม่ใช่เรื่องดีนะคะ
ไหหม่า(海馬)