ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 85 เบื้องหลังฮองเฮาตกน้ำ
บทที่ 85 เบื้องหลังฮองเฮาตกน้ำ
บทที่ 85 เบื้องหลังฮองเฮาตกน้ำ
เหยียนอี้กล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่ได้ยินสิ่งที่หมอหลวงพูดหรือ? ดื่มให้หมดเถิด ข้าเพิ่มปืนนกไส้*[1] ลงในโจ๊กนี้ตามคำแนะนำของหมอ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการดับร้อนและล้างพิษแล้วเพคะ”
หลี่หรงอวี่ผลักชามออกไปก่อนจะพูดว่า “ข้าสบายดี ไม่อยากดื่มแล้ว”
เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปสัมผัสหน้าผากของเขา แล้วก็พบว่าองค์รัชทายาทตัวร้อนเป็นไฟ
“พระองค์ตรัสว่าทรงปกติดี แต่หม่อมฉันว่าฝ่าบาทอาการแย่มากเพคะ เมื่อวานฝ่าบาทอาเจียนเป็นเลือด นั่นเรียกสบายดีหรือ ถ้าฝ่าบาททรงเป็นห่วงพระวรกายของไทเฮาก็ต้องดูแลตัวเองด้วยสิเพคะ” เหยียนอี้กล่าว
หลี่หรงอวี่ผุดรอยยิ้มขมขื่นออกมา “พูดอย่างกับเป็นแม่แก่ ๆ”
เหยียนอี้พูดจนปากเปียกปากแฉะแทบจะบังคับหลี่หรงอวี่ให้ซดโจ๊ก และในที่สุดเขาก็หลับไป
อู๋เกาคลุมผ้านวมให้ เหยียนอี้จึงกล่าวต่อ “ฝ่าบาททรงบรรทมเสียที”
อู๋เกาชะงักไปครู่หนึ่ง เหยียนอี้จึงกล่าวต่อยิ้ม ๆ “แท้จริงแล้วข้าโกหกน่ะ ไม่มีปืนนกไส้อยู่ในนั้น ข้าใส่แค่มะเขือยาว หลังซดคงหลับยาวแน่นอน”
อู๋เการู้สึกขอบคุณเหยียนอี้มาก “ฝ่าบาทเป็นห่วงไทเฮาเกินไป ถ้าเจ้าไม่บอกว่ามียา ฝ่าบาทคงไม่ยอมบรรทม แม่ครัวเหยียนไหวพริบดีจริง ๆ”
“ตอนแรกข้ากังวลว่าฝ่าบาทจะไม่เสวยโจ๊ก แต่ข้าไม่คิดว่าเพียงแม่ครัวเหยียนพูดสองสามคำ ฝ่าบาทก็ทรงเชื่อฟังแล้ว ข้ารับใช้ฝ่าบาทมาหลายปี นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นเขาฟังคนอื่นที่ไม่ใช่ไทเฮา”
เหยียนอี้ถามต่อ “เขาจะไม่ฟังฮ่องเต้และฮองเฮาเชียวหรือ”
อู๋เกาตอบ “ฮ่องเต้และฮองเฮาไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยอย่างเช่นว่าฝ่าบาทจะเสวยโจ๊กหรือไม่หรอก”
หลี่หรงอวี่หลับลึกมาก แต่อาการยังคงไม่ทุเลา ตัวเขายังร้อนผ่าว เหงื่อไหลซึม ใบหน้าชื้นไปด้วยเหงื่อจนเส้นผมเปียกติดใบหน้า
อู๋เกาหยิบผ้าเช็ดตัวมาเช็ดเหงื่อให้เขา
ตอนแรกเหยียนอี้คิดจะออกไป แต่เมื่อนางเห็นอาการขององค์รัชทายาท นางก็อดไม่ได้ที่จะอยู่ต่อ จึงนั่งลงบนที่วางเท้าข้างเก้าอี้
อู๋เกาออกไปเปลี่ยนน้ำ เหยียนอี้จึงต้องดูแลเขาคนเดียว
หลี่หรงอวี่คล้ายกำลังเพ้อฟัน ชายหนุ่มงึมงำออกมา คิ้วขมวดราวกับว่ากังวลบางอย่างนักหนา
เหยียนอี้แนบหูฟัง แต่ก็ได้ยินไม่ได้ศัพท์ คล้ายกับจะได้ยินว่า “เสด็จแม่”
เหยียนอี้จำได้ว่าตอนที่นางกำลังนอนหลับ บางครั้งนางก็เรียกหาแม่ของนาง
คนหมดสติย่อมเรียกบุคคลที่อยู่ในจิตใต้สำนึกโดยไม่รู้ตัว
ตอนนี้แม่ของนางอยู่ไกล ไม่รู้ว่าจะพบกันได้อีกเมื่อไหร่ ส่วนหลี่หรงอวี่และมารดาถูกแยกออกจากกันตลอดกาล เช่นเดียวกับหยินและหยางที่ไม่ได้พบกันอีกในชีวิตนี้
มือด้านข้างขององค์รัชทายาทกระตุกราวกับว่าอยากจะคว้าจับอะไรสักอย่างแต่ไม่สามารถทำได้
เหยียนอี้จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปจับเขา
การกระทำนี้ไม่เหมาะสมสำหรับคนที่มีสถานะต่างกัน แต่หลังจากจับมือนาง หลี่หรงอวี่ก็ดูเหมือนจะสงบลง ส่วนคิ้วยังขมวดไขว้เล็กน้อย
“เสด็จแม่ ข้ากลัว”
เหยียนอี้ได้ยินคำนี้อย่างชัดเจน ในใจนางรู้สึกถึงบางอย่างที่อ่อนไหว
“ไม่ต้องกลัวเพคะ” นางกระซิบเสียงแผ่วเบา
ไม่รู้ว่าหลี่หรงอวี่ได้ยินหรือไม่ แต่มุมปากเจ้าตัวขยับคล้ายรอยยิ้มออกมา
อู๋เกากลับมาพร้อมน้ำ เหยียนอี้จึงรีบดึงมือตัวเองออก แต่นางไม่ได้คาดหวังว่าหลี่หรงอวี่จะจับมันไว้แน่นจนนางไม่สามารถดึงมันออกมาได้ ขณะนี้นางจึงรู้สึกประดักประเดิด
เหมือนอู๋เกาจะไม่สังเกตเห็น เขาเปลี่ยนผ้าชุบน้ำบนหน้าผากขององค์รัชทายาทแล้วนั่งยอง ๆ ลงที่ข้างเตียง
“เสด็จแม่ ข้ากลัว”
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่หรงอวี่ก็เปล่งเสียงอีกครั้ง มือกุมเหยียนอี้แน่นขึ้น
เหยียนอี้เศร้าใจ หลังเห็นอู๋เกามีท่าทีคุ้นเคยและไม่ตอบสนองใด นางก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชม อู๋เกามาจากตำหนักตะวันออกย่อมรับมือได้
“สำหรับฝ่าบาทแล้ว ผ่านมาถึงวันนี้ไม่ง่ายเลย” จู่ ๆ อู๋เกาก็พูดขึ้น
เหยียนอี้รู้สึกแปลกใจ ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ ๆ เขาจึงบอกเรื่องนี้กับนาง
นางไม่สนิทกับอู๋เกา แต่เมื่อได้พบกับองค์รัชทายาท นางก็เห็นเขามากับองค์รัชทายาทเป็นครั้งคราว
“ฝ่าบาททรงไม่เกรงกลัวผู้ใด แม้จะมีคนจำนวนมากที่ต้องการทำร้ายเขา” อู๋เกากล่าว
“ไทเฮาเป็นคนเดียวที่ฝ่าบาททรงห่วงใยในวังแห่งนี้ หากนางไม่อยู่ ครึ่งชีวิตของฝ่าบาทจะหายไป ปีนั้น… ปีที่ฮองเฮาจากไป ฝ่าบาททรงสูญเสียครึ่งชีวิตไปแล้ว หลังจากผ่านไปหลายปี เขาก็ค่อย ๆ ฟื้นตัวได้ เวลานี้ยังต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก!”
สีหน้าของอู๋เกาฉายความเศร้า เปลี่ยนไปเป็นโกรธระคนคร่ำครวญ แม้ว่าเหยียนอี้จะไม่เข้าใจ แต่นางก็พอจะตอบได้ว่า ‘ฮองเฮา’ ที่ว่านั้นคงจะไม่ใช่ฮองเฮาองค์ปัจจุบัน แต่เป็นมารดาผู้ให้กำเนิด หรือก็คือฮองเฮาเสี้ยวหมิ่น
“อู๋กงกง*[2] ข้าได้ยินมาว่าฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นทรงสิ้นพระชนม์ตอนองค์รัชทายาทอายุห้าขวบ จากนั้นจึงได้รับการเลี้ยงดูจากไทเฮาใช่หรือไม่” เหยียนอี้ถาม
อู๋เกาพยักหน้า “นั่นเป็นความลับที่ใหญ่ที่สุดในวัง”
“ลับ?” เหยียนอี้แปลกใจ ฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นตกลงไปในน้ำและสิ้นพระชนม์ นางยังเสียองค์ชายหกอายุแปดเดือนในครรภ์ไปด้วย เรื่องนี้คนในวังรู้กันหมด มีอะไรซ่อนอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกหรือ?
อู๋เกากล่าวต่อด้วยรอยยิ้มกล้ำกลืน “ฮ่องเต้ไม่ปล่อยให้ผู้คนเผยแพร่เรื่องนี้ คนในวังส่วนใหญ่ที่รู้เรื่องนี้ในสมัยนั้นก็ถูกขับออกจากวัง ส่วนที่เหลือก็ไม่ปริปากใดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก”
หลังได้ยินว่ามีความลับซ่อนอยู่ นางรู้สึกว่าฮ่องเต้ต้องจงใจปกปิดบางอย่าง อู๋เกาคงไม่เปิดปากพูดต่อ อย่างไรก็คงไม่ดีสำหรับนางหากรู้มากไปกว่านี้ และสุดท้ายมันก็เป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว
ทว่าอู๋เกายังคงพูดต่อ อาจเป็นเพราะเขาไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไป “เดิมทีข้ารับใช้ฮองเฮาเสี้ยวหมิ่น ปีนั้นองค์ชายอายุเพียงแปดขวบเท่านั้น”
เหยียนอี้คิดในใจ ‘อู๋เกาคงกังวลเรื่องนี้มาหลายปีแล้ว เวลานี้มีโอกาสจึงอยากพูดออกมา ในเมื่อเขาไม่สามารถต้านทานความปรารถนาที่จะพูดได้ ข้าจะฟังก็แล้วกัน’
นางไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทปฏิบัติต่อนางพิเศษกว่าใครอื่น อู๋เกาเห็นความจริงนั้นแล้ว แต่ในหัวใจของชายหนุ่มนั้น เขาก็ไม่อาจรับรู้ได้
เขาตั้งใจจะบอกเหยียนอี้ถึงเรื่องเก่า ๆ เพื่อที่นางจะได้เข้าใจความยากลำบากขององค์รัชทายาทได้ดีขึ้น ทั้งสองจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น
อู๋เกากล่าวว่า “เราทุกคนคิดว่าฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นประมาทที่ตกลงไปในน้ำแล้วสิ้นพระชนม์ แต่ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วนางถูกลอบปลงพระชนม์ต่างหาก!!”
เหยียนอี้ได้ยินดังนั้นก็อยากลุกไปปิดประตูก่อน แต่หลี่หรงอวี่ยังคงจับมือนางชนิดที่ว่าดึงมันออกมาไม่ได้ ทว่าอู๋เกาเข้าใจดีจึงลุกขึ้นปิดประตูให้
“ตอนฮองเฮาตกน้ำ ฝ่าบาทเองก็เห็น” อู๋เกาเล่า
“ฝ่าบาทยังเด็กเกินไปที่จะว่ายน้ำ อีกทั้งยังไม่กล้ากระโดดลงไปช่วย… พระองค์ตัวเล็กมาก หากกระโดดลงไปคงกลายเป็นอีกศพ พระองค์เอาแต่ร่ำไห้อย่างไร้ความหวัง ไม่มีผู้ใดลงไปช่วยฮองเฮาเลย ไม่นานฮองเฮาก็หยุดตะเกียกตะกาย ฝ่าบาทได้แต่มองฮองเฮาสิ้นพระชนม์ไปทั้งอย่างนั้น”
เหยียนอี้นึกภาพไม่ออกว่าเด็กอายุแปดขวบจะมีบาดแผลในใจขนาดไหนหากต้องเห็นฉากน่าเศร้าเช่นนี้
อู๋เกากล่าวต่ออีกว่า “ตอนฮองเฮาถูกพาร่างขึ้นมา พระวรกายบวมไปหมด เพราะพระองค์ทรงครรภ์อยู่ ศีรษะ ใบหน้า แขนขาบวมมากมิเหลือเค้าใด ฝ่าบาททรงเฝ้าดูอยู่ไม่ไกล ทรงหวาดกลัวจนไม่กล้ามองเป็นครั้งสุดท้าย แถมยังไม่มีน้ำตาออกมาด้วยซ้ำ”
“ใครปลงพระชนม์ฮองเฮาเสี้ยวหมิ่นกัน?” เหยียนอี้ถาม
อู๋เการะบายลมหายใจแล้วตอบว่า “ไม่มีผู้ใดต้องการทำร้ายฮองเฮา ฮองเฮาจมน้ำตาย”
“แต่เจ้าบอกว่า…” เหยียนอี้ตกใจมาก
อู๋เกาไม่ได้มองไปที่เหยียนอี้ แต่จ้องมองไปยังใบหน้าหลับใหลของหลี่หรงอวี่ ก่อนจะพูดต่อ “ฝ่าบาททูลฮ่องเต้ว่าฮองเฮาถูกผลักโดยองค์ชายสี่”
เหยียนอี้อุทาน “องค์ชายสี่?”
หลี่หรงซือหรือองค์ชายสี่นั้น เหยียนอี้ได้เห็นเพียงไม่กี่ครั้งจากระยะไกล นางไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายนัก รู้เพียงว่าเขาเป็นบุตรชายของจางกุ้ยเฟยที่ได้รับความโปรดปรานเช่นเดียวกับมารดา ทั้งยังเป็นองค์ชายที่น่านับถือจากคนในวัง ฮ่องเต้แต่งตั้งเขาเป็นผู้บัญชาการทัพหลวงด้วย
“คำนวณอายุแล้ว องค์ชายสี่ในตอนนั้นมีอายุเพียงห้าหรือหกขวบเท่านั้น จะเป็นไปได้อย่างไร” เหยียนอี้ถาม
อู๋เกาเหยียดฝ่ามือออกพลางกล่าวว่า “เพราะอายุเพียงห้าขวบ ฮ่องเต้จึงไม่เชื่อ ไม่มีใครในวังเชื่อ ในครั้งนั้น องค์รัชทายาทชะงักงัน ไม่ร่ำไห้สร้างปัญหาใด ทว่ายามเห็นใครกลับหัวเราะ ยามเห็นน้ำกลับกรีดร้อง ทุกคนต่างบอกว่าเพราะสิ้นสติหลังเห็นศพของฮองเฮา”
“ไม่กี่เดือนหลังจากฝังศพ องค์รัชทายาทมิต่างจากคนเสียสติ เอาแต่เก็บตัวในห้องทั้งวันมิปริปากเอ่ยคำใด ไทเฮาทุกข์ใจมาก และประสงค์ให้องค์รัชทายาทไปอยู่ตำหนักฉืออัน แต่องค์รัชทายาทกลับปฏิเสธเรื่องออกจากตำหนักจาวหยาง”
“แล้ววันหนึ่งพระองค์ก็เสียสติ รุดไปหาฮ่องเต้พื่อทูลเรืององค์ชายสี่ฆ่าฮองเฮา ทว่าฮ่องเต้ทรงไม่เชื่อ ทรงเรียกองค์ชายสี่ให้มาคุยกันต่อหน้า องค์ชายสี่ปฏิเสธ ส่วนสนมจางคุกเข่าลงต่อหน้าฮ่องเต้ สาบานว่าองค์ชายสี่อยู่กับนางในวันนั้น”
“องค์รัชทายาทยังทรงพระเยาว์ย่อมไม่มีวาทศิลป์เหมือนสนมจาง พระองค์ไม่อาจโต้เถียงใดได้ ไม่นานก็ล้มฟุบหมดสติไป หลังจากตื่นขึ้นก็เสด็จไปพบฮ่องเต้อีกครา กระนั้นฮ่องเต้ฟังแค่คำพูดของสนมจาง ไม่ยอมเชื่อองค์รัชทายาทแม้แต่น้อย พระองค์จึงทรงผิดหวังตั้งแต่นั้นมา”
“เกิดอะไรขึ้นในวันนั้นกันแน่? เหตุใดฮองเฮาถึงไปที่แม่น้ำกับองค์รัชทายาทและองค์ชายสี่ เหตุใดนางถึงถูกองค์ชายสี่ผลักลงไปในน้ำ? ใครจะรู้ความจริงหากไม่ใช่คนที่เกี่ยวข้อง”
“องค์ชายสี่ทรงยืนกรานว่าเขาไม่ได้อยู่ริมแม่น้ำ แต่อยู่กับสนมจาง องค์รัชทายาทตรัสว่าทันทีที่ฮองเฮาตกลงไปในน้ำ องค์ชายสี่ก็หนีไปทันที โชคร้ายที่ไม่มีใครอยู่ใกล้แม่น้ำ จึงไม่มีใครเห็นเขา”
“บางทีอาจมีคนเคยเห็น แต่ฮองเฮาเพิ่งตาย องค์ชายยังเด็กและนางสนมจางกำลังได้รับความโปรดปราน ลูกพี่ลูกน้องพระสนมเป็นมู่โหวเย่*[3]แห่งยูนนานที่สนับสนุนกองทัพทางตอนใต้ของซินเจียง ฮ่องเต้ยังต้องพึ่งพาพระสนม จึงมิอาจแตะต้องได้”
“ความตั้งใจเดิมของฮ่องเต้คือแต่งตั้งจางกุ้ยเฟยเป็นฮองเฮา แต่เพราะมีคำพูดที่เคลือบแคลงอยู่ ฮ่องเต้จึงแต่งตั้งให้เป็นเสียนเฟย ตอนนี้ฮองเฮาเฉียนนั่นเองที่เป็นผู้สืบทอด”
[1] ปืนนกไส้ หมายถึง สมุนไพรจีนมีฤทธิ์ช่วยล้างพิษ
[2] กงกง คือขันทีซึ่งมีหน้าที่ดูแลหรือเป็นผู้รับใช้ส่วนพระองค์
[3] มู่โหวเย่ คือคำที่ใช้เรียกนายท่านของจวน หรือบุตรที่จะรับสืบทอดตำแหน่งเจ้าของจวน