ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 83 วางยาพิษไทเฮา
บทที่ 83 วางยาพิษไทเฮา
เนื่องจากครอบครัวที่ยากจน น้ำแกงของเหยียนอี้จึงไม่มีวัตถุดิบอะไรมาก เพราะนางไม่มีกำลังซื้อผัก จึงต้องเข้าป่าไปขุดผักป่า และปรุงเป็นน้ำแกงใสแทน เพราะแม้แต่เกลือก็ไม่มีให้ปรุงรส
อย่างไรก็ตาม ไปไม่ได้ที่ไทเฮาและองค์รัชทายาทจะเสวยต้มผักป่าด้วยน้ำแกงใสโล้น ดังนั้นน้ำแกงในครั้งนี้จึงไม่เพียงแค่เคี่ยวด้วยเนื้อไก่และผักป่าเท่านั้น แต่ยังมีเห็ด หอยเป๋าฮื้อ ปลิงทะเล และส่วนผสมอื่น ๆ อีกด้วย
นางเข้าใจว่าไทเฮาเคยชินกับการกินอาหารที่ใช้วัตถุดิบจากภูเขาและอาหารทะเล ส่วนอาหารรสเบา ๆ นั้นประสงค์ลิ้มรสเป็นครั้งคราว
ทว่าเหยียนอี้ไม่ได้คาดหวังเลยว่าจะไม่มีน้ำแกงเหลืออยู่ในหม้อใบใหญ่เช่นนี้? หรือไทเฮาและองค์รัชทายาทจะมีความอยากอาหารมากขึ้น!
สำหรับพ่อครัวแล้วอาหารที่หมดหม้อถือเป็นคำชมที่มากล้น
แต่ไม่มีใครคาดคิดว่าช่วงเวลาที่มีความสุขจะจบลง
บ่ายวันนั้นตำหนักฉืออันกำลังยุ่งเหยิง
ไทเฮามีไข้สูงกะทันหัน หมอหลวงเข้ามาตรวจดูและรักษาด้วยเข็มหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ไทเฮาไม่สามารถจิบยาได้แม้แต่คำเดียว
ไทเฮามีอายุมากกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว นางจะทนการรักษาเช่นนี้ได้อย่างไร? และแล้วตอนเย็นนางก็หมดสติไป ใบหน้าของนางซีดจาง ริมฝีปากสั่นเครือ
ทันทีที่องค์รัชทายาทออกมาจากตำหนักฉืออันแล้วกลับไปที่ตำหนักตะวันออก เขาก็ได้รับข่าว และเขาก็โกรธจนแทบหมดสติ
ด้วยอายุที่ยังเยาว์นักและพละกำลังจากการฝึกศิลปะการต่อสู้ ทำให้ตอนนี้องค์รัชทายาทไม่ได้ไตร่ตรองว่าร่างกายของตนยังคงแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ เขารีบไปที่ห้องบรรทมของไทเฮา ทว่ากลับล้มลงทันทีที่ก้าวผ่านประตู
เมื่อฮ่องเต้และฮองเฮาได้รับข่าวก็รีบรุดไปโรงหมอ จากนั้นหมอทุกคนจากทั้งสำนักก็มาถึงเพื่อช่วยตรวจชีพจร
อาการขององค์รัชทายาทคล้ายกับอาการของไทเฮา แต่ชีพจรเต้นแตกต่างกันเล็กน้อย หลังจากถูกแทงด้วยเข็มสามเข็ม องค์รัชทายาทจึงรู้สึกตัวและพยายามจะลุกขึ้น แต่ร่างกายของเขาตอนนี้กำลังร้อนรุ่ม ใบหน้าซีดขาว และมีอาการปวดท้อง
สุดท้ายแล้วไทเฮาที่แก่ชราและร่างกายที่อ่อนแอก็ไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้ พวกหมอไม่สามารถวินิจฉัยสาเหตุของโรคได้ แต่เดาได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติกับอาหาร จึงได้ให้ไทเฮาดื่มน้ำข้าวกล้องสองชาม
ทว่าไทเฮากลับมีอาการรุนแรงขึ้นมาก น้ำข้าวกล้องที่อาเจียนออกมานั้นมีมากกว่าที่ได้กลืนลงไป แม้ว่าพวกหมอต้องการให้ไทเฮาเฉียนอาเจียนออกมา แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้
ฮ่องเต้โกรธจัด จึงได้สั่งให้มีการสอบสวนอย่างละเอียด
สถานที่แรกย่อมเป็นห้องเครื่องตำหนักฉืออันนั่นเอง
เหยียนอี้ เหวินต้าชิง และคนอื่น ๆ อีกหลายสิบคนถูกนำตัวไปที่วังหลวง พวกเขาไม่รู้อะไรเลยและไม่สามารถถามอะไรได้
หมอหลวงเสนอให้ตรวจสอบอาหารที่ไทเฮากินตอนเที่ยง แต่ในเวลานั้นจานตะเกียบหม้อและกระทะถูกล้างและตากจนแห้งเรียบร้อยแล้ว จึงไม่พบสิ่งใด
ฮองเฮาถามผู้คนที่คุกเข่าอยู่กับพื้นว่า “วันนี้ตำหนักฉืออันมีอะไรผิดปกติหรือไม่? ไม่ว่าเรื่องจะเล็กแค่ไหน จงคิดอย่างรอบคอบแล้วตอบมา”
เหยียนอี้นึกถึงร่างลึกลับที่นางเห็นนอกกำแพงในตอนดึกของคืนนั้น มันเกี่ยวข้องกับชีวิตของไทเฮาเป็นแน่ นางรู้สึกแย่ที่นางไม่ได้บอกความจริงให้ทันเวลา สายไปแล้วที่จะวัวหายแล้วค่อยล้อมคอกเช่นนี้
เหยียนอี้เล่าทุกอย่างที่นางเห็นในวันนั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อครึ่งเดือนก่อน นางไม่แน่ใจว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางยาพิษไทเฮาในวันนี้หรือไม่
หลังฮองเฮาได้ยินเช่นนั้น ใบหน้าของนางก็เคร่งขรึม ฮ่องเต้โกรธมาก เขาชี้ไปที่เหยียนอี้แล้วผรุสวาทว่า “หากมันน่าสงสัยเจ้าควรรายงานทันที เหตุใดเจ้าจึงมาพูดเอาวันนี้”
เหยียนอี้โขกหัวของนางลงกับพื้นแล้วตอบว่า “หม่อมฉันเพิ่งเข้ามาที่ตำหนักฉืออัน ในเวลานั้นหม่อมฉันยังไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ หม่อมฉันเกรงว่าจะมีความเข้าใจผิด อีกอย่างหม่อมฉันไม่ได้ยินอะไรอีก หม่อมฉันเกรงว่าจะโดนกล่าวหาว่ารายงานข้อมูลเท็จ หม่อมฉันสมควรตาย!”
องค์รัชทายาทที่นอนอยู่ใกล้แท่นบรรทมไทเฮาแค่นเลือดออกมา เขาเห็นฮ่องเต้ว่ากล่าวเหยียนอี้จึงตรัสขึ้น “เสด็จพ่อ นั่นก็ครึ่งเดือนแล้ว อาจจะไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ก็ได้”
ฮองเฮาตรัสกับเหยียนอี้ว่า “กลางดึกเจ้าไม่ยอมนอน แต่กลับออกไปนอกห้อง น่าสงสัยนัก”
องค์หญิงผิงหยางที่ยืนอยู่ข้างองค์รัชทายาทได้ยินจึงรีบขัดจังหวะ “ที่ผ่านมาไม่เห็นจะมีปัญหา เหตุใดไทเฮาถึงตกอยู่ในอันตรายหลังแม่ครัวเหยียนเข้ามาเพียงครึ่งเดือนเล่า? เสด็จพ่อ เสด็จแม่ นางต้องเป็นปีศาจแน่นอน!”
เหยียนอี้ได้ยินองค์หญิงใส่ร้ายนางจึงรีบตอบกลับ “คนรับใช้อย่างหม่อมฉันได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นแม่ครัว ล้วนเป็นพระมหากุรณาธิคุณ อีกอย่างหม่อมฉันเป็นที่โปรดปรานของไทเฮา หากมีสิ่งใดเกิดขึ้นกับไทเฮา มันจะดีกับคนรับใช้เช่นหม่อมฉันได้อย่างไร? หม่อมฉันไม่ทำเช่นนั้นหรอกเพคะ!”
ผิงหยางพ่นลมอย่างเย็นชา “ทุกคนบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เจ้าเห็น บังเอิญไปไหมที่เจ้าไม่เห็นใบหน้าของผู้ต้องสงสัย โกหกชัด ๆ หากคนที่วางยาพิษไม่ใช่เจ้า จะมีใครอีก”
เหยียนอี้กล่าวว่า “หากองค์หญิงยืนกรานที่จะกล่าวหาเท็จ สถานะของหม่อมฉันต่ำต้อย หม่อมฉันไม่สามารถพูดอะไรได้หรอกเพคะ หากอาการของไทเฮาเกิดจากอาหารจริง ๆ คนแรกที่ต้องรับผิดชอบคือคนในห้องเครื่อง หม่อมฉันจะโง่เขลาแล้วทำให้ตนตกอยู่ในอันตรายเช่นนี้ได้อย่างไร? แล้วนี่หม่อมฉันจะเรียกความสนใจจากการโกหกอีกหรือ?”
ผิงหยางชี้ไปที่จมูกของเหยียนอี้แล้วสาปแช่ง “เจ้าคนขี้ขลาด! ดูเจ้าสิ มิต่างกับหัวขโมย เจ้ามันไม่ใช่คนดี!”
เหยียนอี้อดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างเมื่อผิงหยางยืนกรานว่าเป็นนาง จะแย้งกลับไปอีกครั้งนางก็เห็นหลี่หรงอวี่ที่อยู่หลังผิงหยางส่ายนิ้วใส่นางอย่างเงียบ ๆ เหยียนอี้จึงหุบปากทันที
ในเวลานี้ทุกคนในวังได้รับข่าว สนมจางกุ้ยเฟยทรงนำเหล่านางสนม ส่วนองค์ชายหลี่หรงจงนำองค์ชายคนอื่น ๆ คุกเข่าลงที่ประตู
ฮ่องเต้เดินไปมา ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยกับตนเองว่า “หากมีอะไรเกิดขึ้นกับไทเฮา ใครจะได้ประโยชน์ในวังนี้”
หลังจากนั้นเขาก็มองไปยังฮองเฮาที่เผยความตกใจออกมา
องค์รัชทายาทพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อ บัดนี้การสอบสวนสามารถหยุดไว้ก่อนได้ อาการของไทเฮานั้นสำคัญกว่า”
ฮ่องเต้พยักหน้า จางกุ้ยเฟยเข้ามาแล้วพูดว่า “สุขภาพของไทเฮาปล่อยให้เป็นเรื่องของหมอ วิตกกังวลไปก็เท่านั้นเพคะ แต่เราต้องรีบสอบสวนคดีเพื่อไม่ให้คนร้ายมีโอกาสทำลายหลักฐานนะเพคะ”
จางกุ้ยเฟยเหลือบมองไปที่ฮองเฮา
ฮองเฮาไม่พอพระทัยมาก นางกำลังจะเอ่ยปากแต่ถูกขัดจังหวะโดยหมอหลวงเสียก่อน
“ฝ่าบาท หากไม่สามารถรู้ได้ว่าไทเฮาถูกวางยาพิษอะไร หมอหลวงก็ไม่อาจรักษาได้” หมอหลวงเหอปาดเหงื่อบนหน้าผากระหว่างเอ่ยกับฮ่องเต้
เมื่อผิงหยางได้ยินเช่นนี้นางก็รุดไปที่องค์รัชทายาท คว้าแขนเสื้อหมอแล้วถามว่า “แล้วพี่รองล่ะ? แล้วยาพิษในร่างกายเขาล่ะ”
ในเวลานี้หลี่หรงอวี่ได้รับคำแนะนำจากหมอหลวงให้อาเจียน หลังเขาขย้อนเลือดอีกคราก็ดื่มยาแก้พิษ แม้ว่าสีหน้าจะยังแย่อยู่ แต่ก็ไม่ดูน่ากังวลอีกต่อไป
หมอเหอกล่าวว่า “พระองค์ยังหนุ่มและแข็งแรง ปริมาณพิษที่กินเข้าไปก็น้อยนัก มิต้องกังวลว่าจะเป็นอันตราย แต่องค์ชายยังต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มยาแก้พิษทุกวันเพื่อเอาสารพิษออกจากร่างกายพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากได้ยินเช่นนี้หลี่หรงอวี่ก็กล่าวว่า “ถ้าพิษมาจากอาหารกลางวันจริง ๆ พิษในตัวข้าน้อยกว่าเพราะข้าเสวยน้อยกว่าไทเฮาใช่หรือเปล่า”
หมอเหอตอบกลับ “ใช่แล้ว ข้าขอทูลถามองค์ชาย ในมื้อกลางวัน องค์รัชทายาททรงเสวยอาหารประเภทใด แล้วไทเฮาเสวยสิ่งใดเข้าไปมาก”
หลี่หรงอวี่คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “มีไก่และเต้าหู้หั่นฝอยจานหนึ่ง ข้าไม่ได้แตะต้อง ไทเฮาเสวยไม่กี่คำ ส่วนมะเขือยาว ข้าลิ้มรสแค่ปลายตะเกียบเท่านั้นพวกแกงผักป่าข้าดื่มเพียงหนึ่งชาม แต่ไทเฮาโปรดมากจึงดื่มไปสามชาม”
เหยียนอี้ขัดจังหวะ “น้ำแกงผักรวมถวายในหม้อใบใหญ่ ถ้ามันใส่ในชามหยกจะสามารถใส่หกหรือเจ็ดชามเท่านั้น หากไทเฮาและองค์รัชทายาทลิ้มรสเพียงสี่ชามมันจะหมดหม้อได้อย่างไร ตอนเอามันกลับไปที่ห้องเครื่องไทเฮามอบน้ำแกงให้กับคนในวังหรือไม่เพคะ”
ฟางกูกูที่รับใช้ไทเฮากล่าวว่า “ไทเฮาเฉียนไม่สามารถดื่มได้มากขนาดนั้นเพคะ ตอนถวายน้ำแกงยังมีเหลืออีกมาก”
จางกุ้ยเฟยระบายลมหายใจอย่างเย็นชา “พิษคงจะถูกใส่ในหม้อนี้ คนที่วางยาพิษแอบเทน้ำแกงออกมาเพราะกลัวว่าจะมีคนรู้สินะ”
จักรพรรดิมองไปยังผู้คนที่คุกเข่าลงบนพื้น ถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “ใครเป็นคนทำน้ำแกงผักป่า”
เหยียนอี้เกาหัวของนางแล้วพูดว่า “เป็นหม่อมฉันเองเพคะ”
ผิงหยางพุ่งออกมาตบหน้าเหยียนอี้แล้วสาปแช่ง “แล้วเจ้ากล้าพูดได้ยังไงว่าเจ้าไม่ได้วางยาพิษ”
ทุกคนไม่คิดหวังว่าองค์หญิงผิงหยางจะทำเช่นนี้จึงถึงกับตกตะลึง
เหยียนอี้กุมใบหน้าของนาง รู้สึกถึงแก้มที่ชาไปครึ่งซีก
นางกล่าวว่า “หม่อมฉันอยู่ในห้องเครื่องมาตลอด ไม่เคยออกไปข้างนอก ตอนขันทีเอาจานกลับมาก็ว่างเปล่าแล้ว หม่อมฉันจะทำได้อย่างไร”
ผิงหยางเอ่ยขึ้น “หากเจ้ากล้าก่อเหตุชั่วร้ายเช่นนี้ จะวางแผนรอบคอบก็มิแปลก เจ้ามีผู้สมรู้ร่วมคิดเป็นพวกขันทียกอาหารเป็นแน่!”
เมื่อขันทีทั้งสามคนได้ยินว่าพวกเขาถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด พวกเขาก็รีบพูดว่า “หลังจากที่ไทเฮาเสวยเสร็จ ไทเฮาและองค์รัชทายาทก็ไปที่ห้องโถงด้านหน้า ตอนคนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดพวกมันก็เป็นหม้อเปล่าแล้ว! หรงกูกูและฟางกูกูล้วนเป็นพยานได้พ่ะย่ะค่ะ!”
เมื่อหรงกูกูได้ยินชื่อตน นางก็คุกเข่าลงอย่างรวดเร็วพลางเอ่ยว่า “หลังจากที่ไทเฮาเสวยข้าวเสร็จแล้ว หม่อมฉันก็ไปรับใช้ไทเฮา จะสังเกตได้อย่างไรว่าหม้อและกระทะเหลืออะไร”
ฟางกูกูยังกล่าวอีกว่า “ตอนหม่อมฉันออกไปกับไทเฮาและองค์รัชทายาท ยังมีน้ำแกงเหลือมากมายในหม้อบนโต๊ะอยู่เลยเพคะ”
ขันทีและหญิงชราทั้งสองต่างก็ยืนกรานด้วยคำพูดของตัวเอง พวกเขาถกเถียงกันเป็นเวลานานว่าหม้อว่างเปล่าหรือไม่ แต่ก็ไม่มีผล ในเวลาสั้น ๆ นี้อาจมีหนึ่งในห้านี้โกหกก็เป็นได้
ฮ่องเต้เหนื่อยที่จะได้ยินอีกจึงโบกมือให้ทุกคนหุบปาก
“ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ถกเถียงไปก็สูญเปล่า เวลานี้เรามีบุคคลที่เกี่ยวข้อง คนพวกนี้ต้องถูกจำคุกรอกรมยุติธรรมสอบสวน” ฮองเฮาตรัส
จางกุ้ยเฟยตรัสขึ้นทันทีว่า “ไทเฮากำลังตกอยู่ในอันตราย นี่เป็นเรื่องใหญ่ ฮองเฮาสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร? มันดูเป็นเรื่องเล็ก ๆ ที่ให้กับกรมยุติธรรมได้หรือ? กรมยุติธรรมจะจัดการคดีใหญ่ขนาดนี้ได้หรือ”
ฮองเฮาจ้องมองจางกุ้ยเฟย “แล้วเจ้าว่าอย่างไร”
จางกุ้ยเฟยเผยรอยยิ้ม มองไปรอบ ๆ แล้วตรัสว่า “ผู้คนในวังล้วนเป็นข้ารับใช้ ลำพังหนึ่งคน สองคนไม่สามารถทำได้ ต้องมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังการลอบฆ่าไทเฮา เรามาที่นี่เพื่อตรวจสอบและถามคนเหล่านี้จะมีประโยชน์อันใด? สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการจับผู้บงการเบื้องหลังต่างหาก”
ฮองเฮาเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าใครอยู่เบื้องหลัง?”
“ฮองเฮาคิดว่าเป็นใครล่ะเพคะ” จางกุ้ยเฟยตอบกลับ
ฮองเฮากำลังจะเอ่ยปากพูด แต่เหลือบไปเห็นใบหน้าที่โกรธแค้นของฮ่องเต้เสียก่อน ฮ่องเต้ซึ่งคาดเดาผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ได้ก็ตรัสขึ้นมาว่า “ฮองเฮา!”
ส่วนฮองเฮาผู้เข้มแข็งและหยิ่งผยองนั้นกำลังจัดชุดของนางให้เรียบ ไม่เอ่ยคำใดออกมาอีก