ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 193 อิจฉาอย่างไม่มีสาเหตุ
บทที่ 193 อิจฉาอย่างไม่มีสาเหตุ
แม้ว่าเหยียนอี้จะคุ้นเคยกับเมืองอวิ๋นเจี้ยนเป็นอย่างดี แต่อันที่จริงนางไม่ได้กลับมานานกว่าสองปีแล้ว ยิ่งต้องวิ่งหนีจากพวกนักฆ่าเข้าไปในตรอกซอยเล็ก ๆ ด้วยความตื่นตระหนกแบบนี้ นางจึงหลงทางมาสักพัก
นางเป็นคนนำทางหลี่หรงอวี่ในครั้งนี้ และเป็นเวลาเนิ่นนานกว่านางจะจำตำแหน่งที่ตั้งของหอโช่วอันได้ในที่สุด นางหันกลับไปมองหลี่หรงอวี่ พบว่าเขากำลังกอดลั่วอิ๋งที่อาการสาหัสและยังหมดสติอยู่ไกล ๆ และดูหายใจลำบากอยู่บ้าง
เหยียนอี้ยิ้ม “พี่สาวลั่วอิ๋งตัวบางมาก นางคงจะผอมกว่าข้าไม่เท่าไหร่ แล้วเหตุใดท่านถึงดูเหนื่อยอย่างนี้ล่ะ”
หลี่หรงอวี่เอียงศีรษะ ก่อนจะถอนหายใจออกมา “ถ้าข้าได้กอดเจ้าแล้วต้องเดินสามวันสามคืน ข้าก็ไม่รู้สึกเหนื่อยเลยสักนิด”
คำพูดของเขาทำให้เหยียนอี้รู้สึกดีขึ้นมาก สิ่งที่ก่ออยู่ภายในใจที่อธิบายออกมาไม่ได้มลายหายไปในที่สุด
เนื่องจากตอนนี้เป็นชั่วยามที่ยังเช้าเกินไปจึงไม่มีใครอยู่ในหอโช่วอัน แม้แต่เด็กปรุงยาที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ก็ยังไร้วี่แวว
เหยียนอี้จัดการให้หลี่หรงอวี่กับลั่วอิ๋งรออยู่ตรงนี้ไปก่อน ส่วนตัวของนางเองวิ่งไปที่เรือนของอดีตหมอหลวงเพื่อเคาะประตูปลุกเรียกเขา
อดีตหมอหลวงอายุมากแล้ว ขาและเท้าของเขาไม่ค่อยเอื้อต่อการเดินอย่างกระฉับกระเฉง ดังนั้นเรือนที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้จึงค่อนข้างที่จะใกล้กับหอโช่วอัน เพราะเขาเดินช้ามาก เหยียนอี้ไม่ได้มีทางเลือกอื่นมากนักจึงจำเป็นต้องเร่งเขาให้เดินเร็วขึ้น
“ผู้อาวุโสเปี้ยน รีบเดินหน่อยได้ไหมเจ้าคะ ถ้าท่านยังไม่รีบไปก็อาจจะทำให้มีคนตายได้เลยนะ!”
อดีตหมอหลวงยิ้ม “แม่นางน้อยเหยียนอี้ ไม่เห็นจำเป็นต้องมาเร่งข้าให้รีบเดินขนาดนี้เลย มีคนบอกกับข้ามาว่า สองสามปีมานี้ในวังให้ความสำคัญแก่เจ้า เจ้าเข้าวังแล้วมีประสบการณ์โชกโชนเลยสิท่า อนาคตคงดีไม่น้อย”
“แต่ชายชราอย่างข้าก็เคยเข้าวังเหมือนกัน ตอนที่ข้าอยู่ในวัง ทุกคนก็เชื่อฟังและให้ความเกรงใจกับข้า แต่ข้าก็ไม่ได้กระวนกระวายใจและใจร้อนเหมือนเจ้า”
เหยียนอี้ยิ้มออกมาอย่างไม่มีคำแก้ตัว “ถ้าเกิดว่าจะไม่มีใครตาย ผู้น้อยอย่างข้าก็คงไม่แสดงกิริยาหยาบคายและใจร้อนถึงเพียงนี้หรอก ไอ้หยา ท่านรีบเดินหน่อย!”
อดีตหมอหลวงกล่าวว่า “สวรรค์ย่อมกำหนดอายุขัยของบุคคลนี้มาแล้ว ผู้ที่ไม่สมควรตายก็จะไม่ตาย ผู้ที่สมควรตายจะไม่ได้มีชีวิตอยู่ เจ้ากังวลไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา?”
เหยียนอี้กระทืบเท้าของนางด้วยความโกรธ “ผู้อาวุโส! ท่านเป็นหมอที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมืองอวิ๋นเจี้ยนของเรา ไม่ใช่ว่าเรามาหาท่านเพื่อเปลี่ยนชะตากรรมหรอกหรือ”
นางใช้ทุกเหตุผลทุกวิถีทางพูดจาหว่านล้อม ในที่สุดอดีตหมอหลวงก็เดินทางมาถึงที่หอโช่วอันและได้เห็นบาดแผลของลั่วอิ๋ง
หลังจากที่ลั่วอิ๋งได้ใช้ยาจินชวงเย่าเมื่อคืนนี้ เลือดก็หยุดไหล แต่ทว่าบาดแผลนั้นอักเสบ แถมตอนนี้นางยังมีไข้เล็กน้อยและยังไม่ได้สติอยู่
อดีตหมอหลวงไม่รู้จักหลี่หรงอวี่ เขาจึงไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก แต่หลังจากที่ได้เห็นบาดแผลของลั่วอิ๋งแล้ว เขาก็ตกตะลึงในทันที
เมื่อเหยียนอี้เห็นสีหน้าของเขาที่แสดงออกมา นางก็ถามออกไปว่า “ผู้อาวุโส ท่านเป็นอะไรไป อาการบาดเจ็บของนางมีตรงไหนผิดปกติหรือเปล่า”
อดีตหมอหลวงตอบว่า “ที่ตัวยามีปัญหา”
เหยียนอี้รู้สึกประหลาดใจ “เป็นไปไม่ได้ เหตุใดยาตัวนี้ถึงมีปัญหาขึ้นมา? ยาตัวนี้…”
นางยังไม่ทันที่จะได้ถามจบจนจบประโยค อดีตหมอหลวงก็หัวเราะออกมาก่อน “แม่นางน้อยเหยียนอี้ ก่อนหน้านี้ใคร ๆ ก็บอกว่าเจ้าได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นข้าหลวงอนาคตไกลอยู่ในพระราชวัง ตอนนั้นข้ายังไม่อยากจะเชื่อ แต่ดูเหมือนว่าตอนที่เจ้าอยู่ในวัง เจ้าคงมีหน้ามีตาในหมู่เจ้านายมาก ถึงได้ยาจินชวงเย่ามาครอบครอง!”
ปรากฏว่ายาจินชวงเย่าที่ลั่วอิ๋งใช้เมื่อวานนี้เป็นยาตำรับเฉพาะประจำตระกูลภายในพระราชวัง เนื่องจากเป็นยาที่มีค่ามากจึงปรุงออกมาน้อย ดังนั้นจึงมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถมีได้ ปกติแล้วจะไม่มอบให้แก่ข้ารับใช้ มีเพียงแต่หลี่หรงอวี่เท่านั้นที่ได้รับยามาสองขวด
เดิมทีแล้วลั่วอิ๋งเป็นคนพกยาตัวนี้เพราะจะได้เอาไว้ให้หลี่หรงอวี่เวลาบาดเจ็บ อดีตหมอหลวงไม่รู้ถึงสถานะตัวตนของลั่วอิ๋งกับหลี่หรงอวี่ เขาจึงคิดว่าเหยียนอี้ได้มาเพราะนางเป็นเพียงคนเดียวที่ออกมาจากวัง
เหยียนอี้ได้ยินแล้วก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมาอีกครั้ง ยาตัวนี้มีเพียงแค่ฮ่องเต้เท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้ แต่หลี่หรงอวี่กลับมอบให้ลั่วอิ๋ง แล้วยังขอให้นำยาพกติดตัวไปอีก เห็นได้อย่างชัดเจนว่าลั่วอิ๋งอยู่ในสถานะที่ไม่ธรรมดาในสายตาขององค์รัชทายาท
คิดแล้วความขมขื่นก็ตีตื้นขึ้นมาในใจ
หลี่หรงอวี่ไม่เข้าใจท่าทีที่แปลกไปของเหยียนอี้ เขาพยายามขยิบตาให้เหยียนอี้อย่างสุดชีวิต เพื่อที่จะส่งสัญญาณให้นางว่าอย่าเปิดเผยตัวตนของเขา
อดีตหมอหลวงเริ่มรักษาบาดแผลของลั่วอิ๋ง จากนั้นเขาก็เขียนใบสั่งยาแล้วสั่งให้เด็กปรุงยาไปปรุงยาที่ฤทธิ์แรงมา
หลังจากที่ลั่วอิ๋งได้ดื่มยาแล้ว ถึงแม้ว่านางจะยังไม่ตื่นขึ้นมา ทว่าสีหน้าของนางก็ดูไม่ได้น่าเกลียดเหมือนเมื่อเช้าแล้ว
หลี่หรงอวี่ขอบคุณอดีตหมอหลวงครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่อย่างนั้น ชายหนุ่มซาบซึ้งจนต้องเข้าไปช่วยประคองเอว
“โอย… ข้าก็แก่มากแล้ว ตาของข้าเริ่มพร่ามัว มือก็ยังสั่นอีก ประเดี๋ยวข้าจะฝังเข็มให้แม่นางคนนี้สักสองสามเข็มก็แล้วกัน สักพักนางก็น่าจะตื่น”
แต่จู่ ๆ หลี่หรงอวี่ก็นึกอะไรขึ้นได้ “ในวังตอนนี้มีหมอหลวงแซ่เปี้ยนอยู่คนหนึ่ง เป็นอาจารย์ของซิงหลิน เก่งกาจในเรื่องของการฝังเข็มเป็นที่สุด ใครที่แซ่เปี้ยนนั้นหาได้ยาก ข้าไม่รู้ว่าเขาเกี่ยวข้องกับผู้อาวุโสหรือไม่?”
อดีตหมอหลวงยิ้มออกมา “เปี้ยนไป่อิง หลานชายใช้การไม่ได้ของข้าเอง เขาเป็นคนที่สืบทอดวิชาต่อจากข้าและได้เข้าสังกัดสำนักหมอหลวงในวัง เขาไม่ได้กลับมาที่นี่นานหลายปีแล้ว”
หลี่หลงอวี่รีบทำมือคารวะในทันที “ที่แท้แล้ว หมอหลวงเปี้ยนไป่อิงก็เป็นหลานชายของท่านผู้อาวุโสนี้เอง พูดแล้วก็นึกขึ้นได้ หลานชายของท่านเคยช่วยชีวิตข้าไว้ก่อนหน้านี้ ข้ายังไม่ได้รายงานความดีความชอบเลย”
อดีตหมอหลวงเห็นท่าทางเลื่อมใสของชายตรงหน้าแล้วก็พูดอย่างถ่อมตนว่า “คนเป็นหมอต้องมีเมตตา ต้องรักษาโรคและช่วยชีวิตของผู้คนอยู่แล้ว เหตุใดเจ้าต้องตอบแทนพวกเขาด้วยล่ะ”
หลี่หรงอวี่ยิ้มออกมา “ตระกูลเปี้ยนทั้งสองช่วงอายุคนมีจิตใจเมตตากรุณา มีพระคุณต่อทั้งราชอาณาจักรและต่อราชวงศ์ทั้งหมด ข้าควรจะสร้างซุ้มประตูเพื่อมอบให้ท่าน”
ในการที่จะสร้างซุ้มประตูนั้น ข้าหลวงที่อยู่เหนือกว่าข้าราชการจะเป็นคนเขียนบันทึกแล้วมอบให้ฮ่องเต้เพื่อขอความเห็นชอบเป็นการส่วนตัว การจัดทำหนังสือและทำแผ่นป้ายจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่สร้างซุ้มประตูทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ต่างก็สร้างให้ข้าราชการที่มีความซื่อสัตย์และน่านับถือ หรือไม่ก็ต้องเป็นคนที่มาจากการเลือกโดยฮ่องเต้ พวกเขาต้องเป็นผู้ที่มีพระคุณต่อราชอาณาจักร แม้ว่าครอบครัวของอดีตหมอหลวงจะมีชื่อเสียงในด้านของการแพทย์ แต่ทว่าเกียรติเช่นนี้ก็ไม่กล้าแม้แต่จะคิด
ดังนั้นอดีตหมอหลวงจึงได้แต่ส่ายหัวด้วยรอยยิ้ม เขาคิดว่าชายหนุ่มผู้นี้เพียงแค่พูดเล่นเท่านั้น
อดีตหมอหลวงคงจะคาดไม่ถึงว่า หลี่หรงกลับไปที่เมืองหลวงเมื่อไหร่ เขาจะเขียนบันทึกและรายงานความดีความชอบไปถึงฮ่องเต้ตามที่บอกไว้ ชายหนุ่มคิดว่าหลังกรมพลเรือนจัดสรรเงินเสร็จ เขาจะให้กรมโยธาธิการมาที่เมืองอวิ๋นเจี้ยน ดูแลการก่อสร้างด้วยตนเองเพื่อสร้างซุ้มประตูสำหรับตระกูลเปี้ยนจริง ๆ
ลั่วอิ๋งฟื้นขึ้นมาในตอนเที่ยง และในเวลานี้หลี่หรงอวี่ก็ได้ย้ายนางกลับเข้าไปที่ห้องพักของภัคตาคารกุ้ยซานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
เมื่อวานบนหลังคาของภัคตาคารกุ้ยซานมีการต่อสู้ครั้งใหญ่ ในเช้าวันนี้เจ้าหน้าที่มาเปิดประตูเห็นศพเปื้อนเลือดเต็มพื้นประตูก็หวาดกลัวจนแทบเสียสติ
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อองค์รัชทายาทยังคงนั่งอยู่ตรงนี้ เจ้าหน้าที่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องกังวลอะไร พวกเขาแสดงความเคารพต่อองค์รัชทายาทแล้วทำงานต่อไป
แม้ว่าองค์รัชทายาทอยากจะจัดการกับมือสังหารอย่างจริงจัง แต่มือสังหารเหล่านี้มีความสามารถมาก พวกมันสามารถหนีไปได้ทุกทิศทุกทางโดยไม่มีร่องรอยใด ๆ
ส่วนราชการมาเพียงแค่ตรวจสอบคดีและไม่ได้ตรวจสอบอะไรนอกเหนือจากนี้เลย พวกเขาเพียงแค่ตามเก็บศพและล้างถนนเท่านั้น
หลังจากที่ความวุ่นวายได้จบลงแล้ว ภัคตาคารกุ้ยซานไม่สามารถเปิดดำเนินกิจการได้อีกเป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งเดือน
ในครั้งหลี่หรงอวี่มีกําลังคนไม่มากพอที่ออกไปข้างนอก เพราะการต่อสู้ระยะประชิดเมื่อคืนนี้ทำให้กำลังคนของเขาลดลงไปครึ่งหนึ่ง แม้แต่ลั่วอิ๋งก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส และเป้าหมายของพวกนักฆ่าอย่างจี้ชิงเฟิงเองก็ได้หลบหนีไปไกลแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาไปหลบอยู่ที่ไหน
หลี่หรงอวี่รู้สึกผิดที่ลั่วอิ๋งได้รับบาดเจ็บเพราะมาช่วยตน ชายหนุ่มจึงไปเฝ้าดูแลนางเป็นเวลากว่าครึ่งวัน รอจนกว่านางจะฟื้นขึ้นมาถึงได้ออกไป
อดีตหมอหลวงบอกว่าตราบใดที่นางสามารถฟื้นคืนสติ หลังจากนี้ก็จะไม่มีอะไรร้ายแรงแล้ว
เหยียนอี้ตุ๋นน้ำแกงไก่โสมมาให้กับลั่วอิ๋งและหลี่หรงอวี่ ขณะที่กำลังยกไปให้ นางก็เห็นหลี่หรงอวี่กําลังพูดคุยกับลั่วอิ๋งอยู่ ใบหน้าของนางเหมือนจะมีเลือดฝาดขึ้นมาเล็กน้อย มุมปากปรากฎรอยยิ้มจาง ๆ เช่นกัน ดูเหมือนว่านางน่าจะไม่เป็นอะไรแล้ว
เหยียนอี้เองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง นางรู้มาตลอดว่าลั่วอิ๋งคนนี้เป็นข้ารับใช้หญิงที่มีความสามารถอันดับหนึ่งในตำหนักบูรพา เป็นคนสนิทของหลี่หรงอวี่และคนสนิทของนาง พวกเขาเติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็ก แม้แต่ศิลปะการต่อสู้ทั้งหมดของลั่วอิ๋งก็ได้เรียนรู้กับหลี่หรงอวี่ จะสนิทกันก็มิแปลก
เมื่อก่อนนางไม่เคยสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย แต่ไม่นานมานี้นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ถึงหงุดหงิดใจอยู่บ่อย ๆ
เป็นไปได้หรือไม่ว่าเพราะหลี่หรงอวี่อยู่นอกวังมาเป็นเวลานาน เขาจึงลืมไปเสียสนิทว่าเขาคือองค์รัชทายาทของตำหนักบูรพา?
ในตอนนี้ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่ในห้อง แถมหลี่หรงอวี่ยังส่งเสียงหัวเราะออกมา ฟังดูร่าเริงเป็นอย่างมาก
ลั่วอิ๋งหันมาเห็นเหยียนอี้พอดี “เหยียนอี้ เหตุใดถึงยืนอยู่นอกประตู ไม่เข้ามาล่ะ”
ตอนแรกเหยียนอี้คิดจะหันหลังกลับมาและเดินออกไปจากตรงนี้ แต่ในเมื่อมีคนเห็นนางแล้ว นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินเข้าไปข้างใน แล้วพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ข้าทำน้ำแกงไก่โสมมาให้เจ้า นี่เป็นอาหารที่บำรุงร่างกายได้ดีมากที่สุดแล้ว มีสมุนไพรช่วยในการแข็งตัวของเลือดด้วยนะ ถึงจะบอกว่าเป็นน้ำแกง แต่ก็เป็นยา รสชาติดีกว่ายาที่ทานอยู่แน่นอน”
ลั่วอิ๋งได้ยินดังนั้นก็รีบลุกขึ้น “ขอบคุณแม่นางเป็นอย่างมาก”
หลี่หรงอวี่เข้ามาพยุงนางอย่างรวดเร็ว “ในเมื่อเจ้าได้รับบาดเจ็บก็อย่าขยับตัวมาก เหยียนอี้ไม่ใช่คนนอก เหตุใดเจ้าต้องเข้มงวดเรื่องมารยาทเช่นนี้”
ลั่วอิ๋งยิ้มออกมา “ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องมารยาทเพคะ แค่ว่าน้ำแกงไก่โสมนี้ต้องตุ๋นเป็นเวลานานหลายชั่วโมง หม่อมฉันเลยต้องลุกขึ้นมานั่งกินเพื่อรักษาน้ำใจของเหยียนอี้”
ก่อนหน้านี้ลั่วอิ๋งเป็นสตรีดูฉลาดมีความสามารถ ครั้งนี้ได้รับบาดเจ็บสวมเพียงเสื้อผ้าธรรมดา ผมก็ถูกรวบเอาไว้ ยามไร้เครื่องประทินผิวบนใบหน้า นางก็ดูอ่อนโยนขึ้นมาก
“ไว้ใจเถอะ ให้เหยียนอี้ป้อนเจ้าก็แล้วกัน แบบนั้นน้ำแกงจะได้ไม่หกใส่เจ้า” หลี่หรงอวี่พยักเพยิดมาทางเหยียนอี้
รัชทายาทก็คือรัชทายาท แม้ว่าเขาอยากจะดูแลคนอื่น เขาก็ไม่เต็มใจที่จะขยับนิ้วของตัวเอง เขาจะสั่งคนอื่นเท่านั้น
เหยียนอี้จำได้ว่าก่อนหน้านี้นางเคยป่วยอยู่ที่กรมแรงงานทาส องค์ชายทั้งกอดทั้งดูแลนาง คิดได้แบบนี้แล้วความอัดอึ้งในอกก็คลายลงหลายส่วน
อันที่จริงเหยียนอี้ไม่ใช่คนที่ดูแลคนอื่นเก่งนัก นางมักจะเงอะงะ โดยเฉพาะตอนที่ต้องป้อนน้ำแกงและน้ำให้ลั่วอิ๋ง
แม้ว่าหลี่หรงอวี่จะบอกกับลั่วอิ๋งว่าเขาจะไม่ปล่อยให้น้ำแกงหกใส่แน่นอน แต่เหยียนอี้ ก็ทำน้ำแกงหกไปทั่วคอของนางจนได้
น้ำแกงร้อนผ่าว ลั่วอิ๋งไม่สามารถขยับตัวได้ เหยียนอี้รีบหยิบผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดคางถึงคอของลั่วอิ๋งจนเป็นสีแดงไปหมด
เหยียนอี้รู้สึกผิด นางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอโทษออกไป “พี่สาวลั่วอิ๋ง ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ…”
หลี่หรงอวี่ถามนาง “เจ้าโดนน้ำน้ำแกงลวกใส่ตัวเองหรือเปล่า”
ในความเป็นจริงเหยียนอี้เองก็ถูกน้ำแกงลวกใส่ด้วยเช่นกัน ชามน้ำแกงร้อนเกินไป มือของนางสั่น ทำหกโดนไปแล้วหนึ่งกระทง หากทำลวกตนเองอีกก็เป็นอีกกระทง พอได้ยินหลี่หรงอวี่ถามเช่นนี้ นางจึงปฏิเสธ
เหยียนอี้ตอบพลางซ่อนมือที่โดนลวกเอาไว้ “ไม่โดนเพคะ ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก แล้วพี่สาวลั่วอิ๋งเป็นอะไรมากหรือไม่”
แม้ลั่วอิ๋งจะถูกน้ำแกงลวกจนผิวกลายเป็นสีแดง แต่เมื่อเห็นเหยียนอี้เอาแต่ขอโทษขอโพย นางก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “หม่อนฉันไม่ได้เป็นอะไร ฝ่าบาท ท่านอย่าได้ตำหนิเหยียนอี้เลย นางเองก็ไม่ได้ตั้งใจ”
แน่นอนว่าเหยียนอี้ไม่ได้ตั้งใจ แต่พอได้ยินลั่วอิ๋งเรียกหลี่หรงอวี่ว่า ‘ฝ่าบาท’ ทีละคํา ส่วนเขาเรียกลั่วอิ๋งด้วยชื่อจริง นางก็รู้สึกว่าความแตกต่างของสถานะระหว่างทั้งสองคนนั้นใหญ่ยิ่งกว่าแม่น้ำฮวงโหเสียอีก