ทะลุมิติไปเป็นสนมตัวน้อยผู้ทำอาหารรสเลิศ - บทที่ 119 กองกำลังเทียนจีปรากฏตัว
บทที่ 119 กองกำลังเทียนจีปรากฏตัว
เหยียนอี้ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นในราชสำนักก็ตกใจ ไม่อยากจะเชื่อ
ช่วงเช้านางยังเห็นองค์รัชทายาทอยู่แท้ ๆ ได้ยินเขากับองค์ชายแปดคุยกันเรื่องการแต่งงานเชื่อมไมตรีระหว่างอาณาจักร ทว่าตอนนี้กลับถูกกล่าวหาว่าสมคบคิดกับอ๋องกบฏ ตอนนี้จึงโดนคุมขังที่ตำหนักบูรพา
หลังจากตำหนักบูรพาถูกปิดล้อม ผู้คนในวังหลวงต่างพูดคุยกันเซ็งแซ่ ท้องฟ้าช่างเปลี่ยนสีไปไวนัก
เหล่าหมัวหมั่วน้อมรับราชโองการจากกรมสืบสวนคดี ผู้คนทั้งหมดในตำหนักต่างโดนตรวจสอบ ทว่าตรวจสอบแล้วกลับไม่พบอะไรเลย
องค์ชายสี่หลี่หรงซือนำลู่หัว ขันทีแห่งตำหนักบูรพามาที่ราชสำนัก ไม่นานหลังจากที่ขันทีผู้นั้นออกจากคุกชั้นใน เขาก็กระแทกตัวเองเข้ากับกำแพงจนสิ้นชีพ คนจากกรมราชทัณฑ์แจ้งข่าวออกมาว่า ประโยคสุดท้ายที่ลู่หัวตะโกนก่อนตายคือ “องค์รัชทายาททำร้ายกระหม่อม!”
เดิมทีพยานเพียงคนเดียวที่สามารถพิสูจน์ความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทกับหลี่หงเสวี่ยคือลู่หัว แต่เมื่อเขาตายไปแล้วจึงไม่มีหลักฐานใดอีก
เมื่อข่าวถูกรายงานไปยังฮ่องเต้ ฮ่องเต้กลับไม่เอ่ยคำใดทั้งสิ้น ราวกับว่าเขาคาดเดาไว้อยู่แล้ว
ไทเฮาเสด็จไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แต่ถูกปฏิเสธกลับมา นางขอเข้าเฝ้าประตูตำหนักเฉียนคุน กระนั้นก็ไม่อาจเข้าไปได้ ตำหนักของหลี่หรงอวี่และตำหนักองค์หญิงผิงหยางเองก็ล้วนปิดประตูไม่รับแขก
กระทั่งถึงช่วงค่ำ ตำหนักเฉียนคุนก็มีเสียงเพลงพื้นบ้านของดนตรีคาบูกิดังขึ้น
ไม่มีผู้ใดคาดเดาได้ว่าฮ่องเต้ของพวกเขาคิดสิ่งใดอยู่ในใจ
ผู้คนในวังหลวงกำลังหวาดผวา แต่นอกพระราชวังกลับเกิดเรื่องใหญ่
ขณะนี้อาณาจักรเหยียนและหุยหู หนึ่งอาณาจักร และหนึ่งชนเผ่าอยู่ในเมืองหลวง เรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตเป็นหน้าที่ของหงหลูซื่อชิงมาโดยตลอด กระนั้นทั้งสองอาณาจักรก็มีทูตตำแหน่งสูงและรุ่ยชินหวังมาเยือนถึงที่ หลี่หรงอวี่ย่อมต้องออกมาต้อนรับ
ทว่าหลังองค์รัชทายาทถูกคุมขัง เวลานี้ เรื่องของความสัมพันธ์ทางการทูตย่อมตกเป็นของผู้อื่น
ในบรรดาองค์ชายทุกพระองค์ หลี่หรงจงป่วยไปแล้วเก้าในสิบวัน นอกจากนี้ยังไม่ฝักใฝ่ในการเมือง
องค์ชายห้าหลี่หรงหัวมีความสามารถดาษดื่น ส่วนองค์ชายสี่หลี่หรงซือประณามองค์รัชทายาทในราชสำนัก ถึงแม้เขาจะได้รับชัยชนะครั้งใหญ่ แต่ในสายตาของผู้คน การบังคับให้พี่น้องของตนต้องจนมุม โลภในตำแหน่งของอีกฝ่าย อีกทั้งยังทำฮ่องเต้ขุ่นเคืองใจ แน่นอนว่าท้ายสุดจึงไม่สามารถแต่งตั้งได้อีก
ดังนั้นเรื่องทั้งหมดนี้จึงตกมาอยู่บนหัวของหลี่หรงเฉิง
เขาสานต่อสิ่งที่องค์รัชทายาททำค้างไว้เกือบครึ่ง ถึงแม้ว่าพระราชโองการของฮ่องเต้จะไม่ได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งก็ตาม แต่ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าหลี่หรงเฉิงนั้นเป็นคนฝ่ายองค์รัชทายาท
เขากับมารดาถูกผู้คนในวังละเลยมาโดยตลอด แต่เมื่อเข้ามารับหน้าที่ในการทูตครั้งนี้ ตำหนักก็เต็มไปด้วยของขวัญเกือบครึ่ง
ตำหนักครึกครื้นมากจนหลี่หรงเฉิงรู้สึกไม่ดี องค์ชายรองยังถูกคุมขังอยู่ตำหนักบูรพา เขาอยู่ด้านนอก ไม่สามารถเข้าไปได้ แม้แต่พูดคุยกันสักประโยคยังไม่สามารถทำได้ เขาควรทำอย่างไรดี
วันที่สอง เหยียนจื่อมาหาหลี่หรงเฉิงอย่างเงียบ ๆ
แม้พวกเขาเคยนัดพบส่วนตัวกันหลายครั้ง แต่เหยียนจื่อเขินอาย อีกทั้งนางยังเป็นสตรีไม่ออกเรือน แต่ไหนแต่ไรไม่มีสักครั้งที่จะเริ่มเข้าหาก่อน
หลี่หรงเฉิงกำลังจะถามนาง แต่เหยียนจื่อเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน “เมื่อวานนี้ฮ่องเต้ทรงเรียกสำนักเยว่ฝู่เข้าไปตำหนักเฉียนคุน เรื่องใหญ่ในวังเช่นนี้ ท่านอย่าเพิ่งไปตำหนักบูรพาเลย อย่าเพิ่งไปพบฮ่องเต้จะดีกว่า“
หลี่หรงเฉิงรู้สึกอยู่ไม่สุข ทั่วทั้งวังหลวง ไม่มีผู้ใดสามารถเข้าตำหนักเฉียนคุน ไม่มีใครได้ยินข่าวสารแม้แต่น้อย กระนั้นเหยียนจื่อก็ถูกเรียกเข้าไปเต้นรำ
“เจ้าเห็นเสด็จพ่อไหม? สีหน้าเสด็จพ่อเป็นอย่างไร เขาตรัสอะไรหรือไม่ กล่าวถึงองค์รัชทายาทบ้างหรือไม่? เรื่องการสอบสวนล่ะ พี่รองจะได้รับการปล่อยตัวเมื่อไหร่?”
หลี่หรงเฉิงถามคำถามมากมายกับเหยียนจื่อ นางไม่รู้ว่าจะตอบคำถามไหนก่อน
นางบอกเพียงว่า “ข้ากับคนในสำนักเพียงแค่เต้นรำเท่านั้น ฮ่องเต้เพียงแต่ชมการแสดง ไม่ได้ตรัสอะไรเป็นพิเศษ”
หลี่หรงเฉิงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่หลังจากครุ่นคิดเรื่องนี้แล้ว เขาก็ตรัสว่า “เหยียนจื่อ หากเจ้าไม่ได้เห็นหรือได้ยินอะไร เจ้าคงไม่มาถึงตำหนักของข้าใช่หรือไม่ พูดมาเถอะ เจ้าเห็นหรือได้ยินอะไรมา?”
เหยียนจื่อตอบกลับ “ตอนข้ากับคนในสำนักเดินเข้าไปตำหนักเฉียนคุน ที่นั่นนอกจากฝ่าบาทกับขันทีจ้าวแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่ง”
“ใคร” หลี่หรงเฉิงถามอีกครั้ง
“ข้าไม่ทราบเลย” เหยียนจื่อส่ายหัวแล้วกล่าวต่อ “ชายคนนั้นสวมชุดสีดำ รูปร่างผอมมาก ไว้หนวดเคราแพะ สะพายดาบไว้ตรงเอวด้วย!”
หลี่หรงเฉิงครุ่นคิด สะพายดาบในวังงั้นหรือ? ในพระราชวังแห่งนี้ ใครจะมีสิทธิ์สะพายดาบเข้าเฝ้าฮ่องเต้บ้างเล่า หรืออาจจะเป็น..
เหยียนจื่อเห็นหลี่หรงเฉิงไม่พูดอะไร นางชักกังวล “เกิดอะไรขึ้น ท่านรู้ว่าบุรุษผู้นั้นเป็นใครหรือไม่?”
หลี่หรงเฉิงถาม “บุรุษผู้นั้นใบหน้าซีดเซียวราวกับคนตายหรือเปล่า”
เหยียนจื่อพยักหน้า “ใช่แล้ว ท่านรู้จักเขาหรือ? ที่แท้ก็เป็นคนรู้จักของท่าน!”
หลี่หรงเฉิงพยักหน้า แต่สีหน้าของเขาไม่ค่อยดีนัก
หากเขาเดาถูกต้อง คนที่ฮ่องเต้พบก็คือสายสืบอันดับหนึ่งจากกองกำลังเทียนจี ซึ่งเป็นหน่วยสืบราชการลับ นั่นคือหวังจือ
หวังจือคนนี้เป็นขุนนางโหดเหี้ยม ลงทัณฑ์รุนแรง เขาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งหลังปราบกบฏอ๋องหย่งเมื่อยี่สิบปีก่อน เขาเพียงหนึ่งคน สามารถตัดหัวสองร้อยเจ็ดสิบสามชีวิตจากจวนอ๋องหย่งได้ ผู้คนต่างเรียกเขาว่า ‘พิพากษาหน้าเหล็ก’
ตั้งแต่ที่เซี่ยเหย้า หัวหน้ากองกำลังเทียนจีถูกฆ่าตายอย่างประหลาด หวังจือก็รับตำแหน่งต่ออย่างราบรื่น กองกำลังเทียนจีเชื่อฟังฮ่องเต้เพียงพระองค์เดียว หลายปีมานี้ห่างหายจากราชสำนัก ทว่าถนัดจัดการเรื่องชั่วร้ายดำมืดแทนฮ่องเต้ ราชสำนักจึงไม่อาจแทรกแซงได้
ดูแล้วที่องค์รัชทายาทถูกปรักปรำให้มีความผิด ฮ่องเต้ไม่อาจวางใจได้ จึงให้ศาลต้าหลี่กับกรมพลเรือนตรวจสอบ กระนั้นก็ไม่ไว้ใจ เขาคาดไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะเรียกกองกำลังเทียนจีมา พระองค์คงประสงค์ให้ตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดให้กระจ่าง
แม้ว่าหวังจือผู้นี้จะโหดเหี้ยมสังหารผู้คนโดยไม่กะพริบตาก็ตาม แต่เพราะอุทิศตนรับใช้ฮ่องเต้จึงถูกมองว่าเป็นผู้ภักดี กระนั้นก็โดนคุกคามจากหลี่หรงอวี่ สองปีก่อน เขาประณามกองกำลังเทียนจีที่สังหารผู้คนบริสุทธิ์ เขาต้องการตรวจสอบจึงประกาศยกเลิกกองกำลังแห่งนี้ไป
ทว่าฮ่องเต้ไว้ใจกองกำลังเทียนจีอย่างยิ่ง สาส์นกราบทูลขององค์รัชทายาทไม่สามารถทำอะไรกองกำลังเทียนจีได้ ฉะนั้นพฤติกรรมขององค์ชายรัชทายาทเช่นนี้ ทำให้เขากับกองกำลังเทียนจียืนอยู่คนละฝ่าย
ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย หากวันใดวันหนึ่งองค์รัชทายาทขึ้นครองราชย์ กองกำลังเทียนจีจะยังได้รับความไว้ใจอยู่อีกหรือไม่? หวังจือถูกเรียกว่าพิพากษาหน้าเหล็ก แต่สุดท้ายเขาก็ยังเป็นคน จึงอาจมีเจตนาแก้แค้นเรื่องการตรวจสอบจากองค์รัชทายาทกับกบฏอ๋องหย่ง เช่นนั้นอาจมีแก้แค้นส่วนตัวก็เป็นได้?
“องค์ชายแปด ท่านกำลังคิดอะไรอยู่” เหยียนจื่อถามด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นหลี่หรงเฉิงขมวดคิ้ว สีหน้าของเขาดูไม่ดีอย่างมาก
หลี่หรงเฉิงส่ายหัว “เหยียนจื่อ คนที่เจ้าเห็นผู้นั้นคือคนที่เสด็จพ่อไว้พระทัยอันดับหนึ่ง เสด็จพ่อเรียกเขาเข้าวังครั้งนี้ แน่นอนว่าต้องการให้เขาตรวจสอบเรื่ององค์ชายรอง”
เหยียนจื่อถาม “ข้าได้ยินพี่สาวของข้าบอกว่า เรื่องคดีองค์รัชทายาท ศาลต้าหลี่ กรมพลเรือนและฝ่ายราชทัณฑ์สามหน่วยงานจะเป็นผู้ตรวจสอบ แปลว่าฮ่องเต้ไม่อาจไว้ใจสามหน่วยงานนี้ จึงต้องหาหน่วยงานที่สี่หรือ?”
หลี่หรงเฉิงตรัส “หากผลการตรวจสอบของสามหน่วยงานและกองกำลังเทียนจีออกมาเหมือนกันก็แล้วไป แต่หากไม่เหมือนกันขึ้นมา…”
เหยียนจื่อถามกลับ “เหตุใดจึงไม่เหมือนกัน?”
หลี่หรงเฉิงตรัสอย่างหมดกำลังใจ “กองกำลังเทียนจีตรวจสอบคดีความ ไม่เคยผิดพลาดมาก่อน เกรงว่าเสด็จพ่อจะเชื่อคำหวังจืออย่างไร้เงื่อนไข”
เหยียนจื่อไม่เข้าใจ “ในเมื่อพวกเขาไม่เคยทำผิดพลาดมาก่อน ย่อมต้องคืนความบริสุทธิ์ให้กับองค์ชายรัชทายาทได้ เหตุใดท่านจึงกังวลใจ?”
หลี่หรงเฉิงโบกมือไปมา “หวังจือผู้นี้กับองค์รัชทายาทเคยมีเรื่องบาดหมางใจ ข้าเกรงว่า…”
“องค์ชายแปดไม่เชื่อใจกระหม่อมหรือ?”
หลี่หรงเฉิงยังพูดไม่ทันจบก็มีเสียงดังจากนอกประตูเข้ามา จากนั้นตามมาด้วยหวังจือ หัวหน้ากองกำลังเทียนจี
เขาเป็นยอดฝีมือวิชาตัวเบา ชำนาญในการซ่อนเร้นอำพราง สามารถเข้าออกตำหนักโดยที่ขันทีหรือคนเฝ้าประตูไม่รู้สึกตัวแม้แต่น้อย เมื่อได้ยินเสียงของหวังจือ เจ้าตัวก็อยู่ตรงหน้าหลี่หรงเฉิงแล้ว
หลี่หรงเฉิงรีบขยับกายปกป้องเหยียนจื่ออย่างไม่รู้ตัว “เหตุใดท่านจึงมีเวลาว่างมาหาข้าที่นี่”
ถึงแม้สีหน้าหวังจือจะซีดขาวดุจคนตาย ทว่าการแสดงออกทางสีหน้ากลับมีชีวิตชีวาราวกับหุ่นกระบอกกะพริบตามิปาน เขาพยักหน้าเล็กน้อย เหลือบมองเหยียนจื่ออย่างมีนัยยะ “กระหม่อมไม่ได้กลับมาเมืองหลวงหลายปี อยู่ในวังหลวงมานานมิเคยเห็นสตรีสดใสเบิกบานเช่นนี้”
หลี่หรงเฉิงเห็นเขาหยอกล้อเหยียนจื่อก็เกรี้ยวกราดขึ้นทันที ชายหนุ่มปกป้องเหยียนจื่อ ตรัสอย่างเย็นชา “หัวหน้าหวังมากความสามารถ เข้ามาธรณีประตูตำหนักข้าเช่นนี้ ไม่ยอมให้ข้าปฏิเสธอะไรได้เลยกระมัง”
แต่ทว่าหวังจือไม่ได้โกรธ เขามองไปรอบ ๆ ตำหนักพลางกล่าวว่า “กระหม่อมเพิ่งได้รับราชโองการจากฝ่าบาทให้ตรวจสอบเรื่องที่องค์รัชทายาทลอบติดต่อกับหลี่หงเสวี่ยอย่างลับ ๆ จำเป็นต้องตรวจสอบทั่วพระราชวัง ขอองค์ชายแปดประทานอภัย”
เหยียนจื่อพึมพำ “ในเมื่อเป็นการตรวจสอบลับ ก็ควรตรวจสอบค้นหาอย่างลับ ๆ แอบเดินเข้ามาเช่นนี้…”
หวังจือไม่สนใจเหยียนจื่อ เขาพูดกับหลี่หรงเฉิงต่อ “ตามที่กระหม่อมทราบ องค์ชายแปดกับองค์รัชทายาทมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันใช่หรือไม่”
หลี่หรงเฉิงตรัส “เสด็จพ่อมักจะสอนว่าพี่น้องควรดีต่อกัน ไม่ว่าไปอยู่ที่ใด ก็จะได้มีแต่ความสุข”
หวังจือยังคงถาม “องค์ชายแปดไปมาหาสู่ตำหนักบูรพาบ่อยใช่หรือไม่”
หลี่หรงเฉิงตอบสีหน้าจริงจัง “ในเมื่อเป็นพี่น้องรักใคร่สามัคคีก็ย่อมไปมาหาสู่กันบ่อย”
หวังจือถามคำถามไปอีกหลายข้อ “องค์ชายรัชทายาทบอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับองค์ชายแปดหรือไม่”
หลี่หรงเฉิงตอบกลับอีกครั้ง “ทุกเรื่องย่อมมีหนักเบา พวกเราไม่ได้พูดคุยกันทุกเรื่อง อย่างเมื่อวานนี้ องค์รัชทายาทกินเสี่ยวหลงเปาไปสองสามลูก เรื่องเช่นนั้นเขาก็ไม่ได้บอกข้า”
หวังจือหัวเราะ กล่าวต่ออย่างสบาย ๆ “ในวันที่องค์รัชทายาทถูกหลี่หงเสวี่ยส่งมือลอบสังหารมาทำร้าย องค์ชายแปดคิดว่าเรื่องนั้นเป็นความจริงหรือไม่”
หลี่หรงเฉิงตอบ “เรื่องนานขนาดนั้น ข้าจำได้ไม่ค่อยแน่ชัด”
ทว่าหวังจือกลับติเตียนเขา “องค์ชายรัชทายาทถูกทำร้ายเป็นเรื่องใหญ่ กระหม่อมอยากให้องค์ชายแปดนึกสักเล็กน้อย ไม่ควรลืมอย่างยิ่ง”
หลี่หรงเฉิงอดไม่ได้ที่จะตอบไปว่า “ถึงแม้ข้าจะรู้ แล้วอย่างไรต่อ? เจ้าของตำหนักบูรพาถูกลอบสังหารบาดเจ็บสาหัส แต่สุดท้ายกลายเป็นว่ามันคือหลักฐานร่วมมือกับพวกกบฏไม่ใช่หรือ?”
ทว่าหวังจือกลับหันไปหาเหยียนจื่อ แล้วถามนาง “แม่นางเหยียน เจ้าก็รู้สึกว่าข้อกล่าวหาขององค์ชายสี่นั้นไม่สมเหตุสมผลใช่หรือไม่”
“แน่นอนว่าไร้สาระ!” เหยียนจื่อกล่าวเสร็จก็ชะงักก่อนจะถามว่า “ท่านรู้ว่าข้าแซ่เหยียนได้อย่างไร”
หวังจือไม่ได้แสดงสีหน้าออกมาแม้แต่น้อย เขากล่าวเสียงเย็นเยียบออกมา “ความจริงแล้ว แม้คำพูดขององค์ชายสี่จะไม่สอดคล้องกัน แต่ฮ่องเต้กลับเชื่อ แม่นางเหยียนรู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”
เหยียนจื่อถูกถามเช่นนี้ก็ตกอยู่ในความสับสนขึ้นมา “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร?”
หวังจือทำคนโมโหได้แล้วเขาก็ยิ้มอย่างพอใจ “แม่นางน้อยเหยียน ถึงเจ้าจะไม่รู้เรื่องในราชสำนัก แต่เจ้าควรรู้ไว้ว่า วันที่องค์รัชทายาทได้รับบาดเจ็บ คนที่อยู่ในรถม้าและกลับมาตำหนักบูรพาด้วยกันกับองค์รัชทายาทคือใคร”