ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต - ตอนที่ 2 บทที่ 51 ราชบัณฑิตน้อยเซียวยวี่เป็นอดีตสามีของข้า
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต
- ตอนที่ 2 บทที่ 51 ราชบัณฑิตน้อยเซียวยวี่เป็นอดีตสามีของข้า
ถึงอย่างไรเซียวจื่อเซวียนก็ยังเป็นเด็กอายุแปดขวบ หากไม่เข้าใจก็ถือว่าปกติ
เซี่ยยวี่หลัวกระแอมไอสองที “ก็คือ ข้าในอดีตบอกว่าไม่ชอบพี่ใหญ่ของเจ้า นั่นเป็นข้าในอดีตที่พูด แต่ข้าในตอนนี้ ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ ข้าได้แต่งงานกับพี่ใหญ่ของเจ้า ข้ารู้สึกภาคภูมิใจและปลาบปลื้มจริงๆ”
เซียวจื่อเซวียนทั้งมึนงงและตกตะลึง “ท่านรู้สึกว่าได้แต่งกับพี่ใหญ่ เป็นเรื่องน่าปลาบปลื้ม? น่าภาคภูมิใจมาก?”
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเซี่ยยวี่หลัวกล่าวว่า นางรู้สึกปลาบปลื้มและภาคภูมิใจมากที่ได้แต่งกับพี่ใหญ่!
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง “ถูกต้อง ข้ารู้สึกภาคภูมิใจและปลาบปลื้มมาก!”
ดวงตาฉายแสงแวววาวประหนึ่งดวงดารา ขณะกล่าวถึงเซียวยวี่ เหมือนกำลังเปล่งประกาย
จะไม่ให้ดวงตาเซี่ยยวี่หลัวลุกวาวได้อย่างไร นั่นเป็นถึงราชบัณฑิตในอนาคต เป็นราชบัณฑิตที่มีอนาคตไกลและอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ต้าเยว่ ยังไม่กล่าวถึงเรื่องที่ตำแหน่งขุนนางของเขาสูงเพียงใด ด้านความรู้ก็ถือเป็นอันดับหนึ่งแล้ว
บุคคลเช่นนี้ บนกายก็เปรียบเสมือนมีขุมทรัพย์อยู่ จะไม่ให้นางปลาบปลื้มใจได้อย่างไร!
หากในอนาคตนางไปจากที่นี่จริง เซี่ยยวี่หลัวยังสามารถชี้ไปยังทิศของเมืองหลวง คุยโตโอ้อวดกับผู้อื่นได้ว่า “ราชบัณฑิตน้อยแห่งต้าเยว่ที่มีนามว่าเซียวยวี่ เป็นอดีตสามีของข้า…”
แน่นอนว่า นี่เป็นเพียงความคิดเพ้อฝันชั่วครู่ของเซี่ยยวี่หลัว
ใครจะรู้ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร
ไม่แน่ว่ารอเซียวยวี่กลับมาคราวนี้ นางก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว อย่างไรเสียช่วงระยะเวลานี้นางก็ดูแลเซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งให้ดีก็แล้วกัน อย่าให้เรื่องที่เขียนไว้ในหนังสือเกิดขึ้น หากเป็นแบบนี้เซียวยวี่ก็จะไม่แค้นนาง
หากเขาไม่แค้นนาง ไม่แน่ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับนาง ก็จะไม่เกิดขึ้น นางเองก็ไม่ต้องมีจุดจบที่ต้องตายอย่างอนาถ
เซียวจื่อเซวียนขยับริมฝีปากเหมือนจะกล่าวอะไร สุดท้ายก็กัดริมฝีปาก ก้มหน้าลง “พี่สะใภ้ใหญ่ ข้าขอโทษ”
เซี่ยยวี่หลัวเดินขึ้นหน้าโอบไหล่เซียวจื่อเซวียนไว้ นี่เป็นครั้งแรกที่นางสัมผัสร่างกายของอีกฝ่าย
เด็กคนนี้ก็ผอมมาก เซี่ยยวี่หลัววางมือลงบนไหล่ของเขา ภายใต้ฝ่ามือมีแต่กระดูก และคงเพราะเขายังไม่คุ้นชินที่ถูกนางสัมผัส จึงรู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง
“ข้าก็ต้องขอโทษเหมือนกัน!” เซี่ยยวี่หลัวกล่าวด้วยความจริงใจ นางย่อตัวลง สายตาอยู่ในระดับเดียวกับเซียวจื่อเซวียน “เมื่อก่อนพี่สะใภ้ใหญ่เคยทำเรื่องไม่ดีไว้มากมาย ต้องขอเจ้าอภัยให้พี่สะใภ้ใหญ่ด้วย แต่อนาคตเป็นของพวกเรา ดังนั้น พวกเราอย่าได้ระแวงซึ่งกันอีกเลย ใช้ชีวิตให้มีความสุข ดีหรือไม่?”
เซียวจื่อเซวียนมองเซี่ยยวี่หลัวด้วยท่าทางงุนงง “ใช้ชีวิต… อย่างไร?”
เด็กโตนั้นต่างจากเด็กเล็ก สำหรับเด็กเล็ก ขอเพียงมีอาหารอร่อยหนึ่งมื้อ และรอยยิ้มเบาบางก็สามารถขจัดความรู้สึกไม่ดีและความระแวงในใจได้แล้ว ทว่าเด็กโตต้องคุยกันด้วยเหตุผล
ในอดีต เซี่ยยวี่หลัวเคยทำเรื่องที่ทำให้เซียวจื่อเซวียนเสียใจและโกรธแค้นไว้ไม่น้อย คิดอยากคลายปมในใจเขา ได้แต่เปิดอกคุยกันสักครั้ง
เหมือนอย่างคราวนี้ ความเข้าใจผิดสามารถแก้ได้ ความขัดแย้งสามารถสลายได้ ก้อนน้ำแข็งก็สามารถละลายได้
เซี่ยยวี่หลัวหยิบถังไม้ที่ถูกตนเองโยนจนกลิ้งไปอยู่ข้างๆ ขึ้นมา คล้องไว้บนแขน จากนั้นจึงจูงมือเซียวจื่อเซวียน แววตาเปล่งประกายเหมือนกำลังฉายแสง น้ำเสียงก็หนักแน่นทรงพลัง “ใช้ชีวิตให้ดีขึ้น!”
การใช้ชีวิตต้องมองไปข้างหน้า และใช้ชีวิตในแต่ละวันให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
เซียวจื่อเซวียนไม่รู้ว่าทำอย่างไรถึงจะเรียกว่าเป็นการใช้ชีวิตให้ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่เซี่ยยวี่หลัวเริ่มลงมือทำแล้ว หลังจากนางซักผ้าปูเตียงจนสะอาด ก็พาเซียวจื่อเซวียนกลับบ้าน
“เขียนหนังสือเป็นหรือไม่?” เซี่ยยวี่หลัวถาม
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า “เขียนได้บ้าง!”
“ลองเขียนให้ข้าดู!”
เซี่ยยวี่หลัวยื่นพู่กันให้เซียวจื่อเซวียน
ท่าจับพู่กันของเซียวจื่อเซวียนยังถือว่าถูกต้อง หากเพียงแต่ เพราะไม่เคยผ่านการเรียนอย่างจริงจัง จับพู่กันน้อยครั้งมาก ตัวหนังสือที่เขียนออกมา…
เซี่ยยวี่หลัวขมวดคิ้วมุ่น ตัวหนังสือแบบนี้ไม่ผ่าน พวกเขาไม่รับแน่
“จื่อเมิ่งยังบอกว่า เจ้าเขียนหนังสือได้สวยมาก!” เซี่ยยวี่หลัวเบ้ปาก
แต่หากเทียบกับลายมือของจื่อเมิ่งแล้ว ลายมือของเซียวจื่อเซวียนถือว่าดูดีกว่ามาก
เหมือนว่าเซียวจื่อเซวียนจะเห็นประกายรังเกียจจากแววตาพี่สะใภ้ใหญ่ จึงกล่าวด้วยท่าทางขัดเขิน “ข้า… ข้าไม่ค่อยได้เขียน มีก็แต่ตอนที่พี่ใหญ่จะหาเวลาว่างมาสอนข้าบ้าง”
หลังจากเมื่อครู่นี้พวกเขาปรับความเข้าใจกัน เซียวจื่อเซวียนก็ไม่มีความแค้นหรือหวาดกลัวต่อเซี่ยยวี่หลัวเหมือนก่อนแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวกัดฟัน หยิบพู่กันขึ้น
เซียวจื่อเซวียนเห็นนางหยิบพู่กัน นึกว่าจะเก็บตรงแท่นวางพู่กัน ใครจะรู้ นางจุ่มน้ำหมึก เริ่มจับพู่กันขึ้น เมื่อปลายพู่กันแต้มลงไป ก็เขียนตัวหนังสือออกมาหนึ่งตัว
การเขียนพู่กันของนางดูแข็งแรงและมีพลัง ลายมือเป็นระเบียบดูเป็นธรรมชาติ
ไม่ด้อยกว่าตัวหนังสือที่พี่ใหญ่เขียนแม้แต่น้อย
เซียวจื่อเซวียนอ้าปากกว้างด้วยความตกตะลึง กว้างจนแทบจะยัดไข่ไก่ได้หนึ่งฟอง เซี่ยยวี่หลัวไม่รู้หนังสือไม่ใช่หรือ? เหตุใดนางถึงสามารถเขียนตัวหนังสือได้ดูดีเหมือนพี่ใหญ่ได้
นางเคยเห็นลายมือของเซียวยวี่ นั่นเป็นรูปแบบตัวอักษรกว่านเก๋อที่คนเรียนหนังสือส่วนใหญ่เขียนเป็น เมื่อก่อนนางฝึกเขียนพู่กันกับคุณปู่ เคยลองเขียนมาหลากหลายรูปแบบ รูปแบบกว่านเก๋อเป็นหนึ่งในประเภทตัวหนังสือทั่วไป เมื่อศึกษาจนเข้าใจทะลุปรุโปร่ง แม้จะเขียนไม่เหมือนโดยสมบูรณ์ แต่ก็ถือว่ามีส่วนคล้าย
เซี่ยยวี่หลัวคัดตามลายมือของเซียวยวี่อยู่หลายบรรทัด จากนั้นจึงยื่นส่งให้เซียวจื่อเซวียนที่กำลังมองด้วยอาการอ้าปากตาค้าง “เจ้านำไปมอบให้เซียวยิง บอกเขาว่าเจ้าเป็นคนเขียน ลองถามว่าตัวหนังสือแบบนี้ จะช่วยเขาคัดตำราได้หรือไม่!”
ความตกตะลึงเมื่อครู่ยังไม่ถูกไขให้กระจ่าง ตอนนี้เซียวจื่อเซวียนก็ตกใจสะดุ้ง “คัดตำรา?”
เซี่ยยวี่หลัววางพู่กันไว้ตรงแท่นวางพู่กัน พร้อมพยักหน้า “ใช่ ข้าจะคัดตำรา”
คัดหนึ่งเล่มจะได้ค่าตอบแทนสามสิบห้าอิแปะ คัดสองเล่มได้เจ็ดสิบอิแปะ ตอนนี้นางอยากหาเงินเพิ่มอย่างเร่งด่วน
ดวงตาของนางงดงามแจ่มใสอย่างมิอาจหาใดเปรียบ ทว่าเมื่อคิดถึงเรื่องที่คนบางคนมีเงินติดตัวแค่สองตำลึง ไม่รู้ว่าใช้ชีวิตอย่างไร นัยน์ตาของนางพลันหม่นหมอง ไม่ว่าอย่างไร นางก็ต้องหาเงินเพิ่ม ลองดูว่าจะฝากคนไปมอบให้เซียวยวี่ได้หรือไม่!
เงินสองตำลึง สามเดือนกว่า เขาจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร!
“แต่นี่เป็นตัวหนังสือที่ท่านเขียน เหตุใดต้องบอกว่าข้าเป็นคนเขียนเล่า?” เซียวจื่อเซวียนถามด้วยความสงสัย
“เจ้าไม่ประหลาดใจหรือว่าเหตุใดข้าถึงเขียนหนังสือเป็น?”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า
เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนไม่รู้หนังสือ!
เซี่ยยวี่หลัวแย้มรอยยิ้ม “แม้แต่เจ้ายังประหลาดใจ เช่นนั้นคนอื่นมีแต่จะยิ่งประหลาดใจ หากสงสัยขึ้นมาจะลำบาก มิสู้บอกว่าเจ้าเป็นคนเขียน บอกว่าเคยเรียนจากพี่ใหญ่ของเจ้า แบบนี้ก็จะไม่มีใครมาสาวความ พี่ชายของเจ้าเก่งกาจถึงเพียงนั้น น้องชายของเขาย่อมไม่ด้อยกว่ากันมากนัก เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
เซี่ยยวี่หลัวออกไปตากผ้าปูเตียงข้างนอก “รีบไปเถอะ อย่าหลุดปากเชียว หากให้เจ้าเขียน เจ้าก็อย่าเขียน ยืนกรานว่าเจ้าเป็นคนเขียน! เข้าใจหรือไม่?”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า นำกระดาษไปบ้านเซียวยิง
เมื่อฟ่านซื่อรู้ว่าเด็กชายผู้นี้เป็นน้องชายของเซียวยวี่ หลังจากบอกกล่าวกับเซียวยิง จึงรีบต้อนรับเขาอย่างสนิทสนม
เทียบกับการปฏิบัติต่อเซี่ยยวี่หลัวแล้ว เรียกได้ว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว
ตอนออกมาจากบ้านเซียวยิง เซียวจื่อเซวียนถือตำราหนึ่งเล่มและกระดาษขาวกองหนึ่งไว้ในมือ กระดาษถูกตัดขอบและเย็บเป็นรูปเล่มแล้ว ขอเพียงคัดตามแบบ คัดให้เป็นตำราเล่มใหม่ก็พอ
เมื่อเห็นเขาหอบสิ่งของเหล่านี้กลับบ้าน เซี่ยยวี่หลัวก็รู้แล้วว่าตัวหนังสือของนางต้องตาเซียวยิงเข้าแล้ว
นางรับตำรามา หันขวับเข้าห้องของตัวเองไป