ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 480 เซี่ยเสวี่ยเหลียน (2)
ตอนที่480 เซี่ยเสวี่ยเหลียน (2)
ตอนที่480 เซี่ยเสวี่ยเหลียน (2)
ดวงตาฉีหมิงเยว่เห่อร้อนเปียกแช่ไปด้วยคราบน้ำตาที่ล้นเอ่อ มองดูฝ่ามือแสนเกรี้ยวกราดของเซี่ยลู่เฟิงโหมกระหน่ำซัดตลบออกไป เนื่องจากฝืนใช้แรงทั้งที่อาการบาดเจ็บยังไม่หายด ส่งผลให้บาดแผลบนร่างกายปริแตก ธารเลือดอุ่นชุ่มผ้าแพรพันแผลในเวลาต่อมา
นางวิ่งเข้าไปกุมมือของเขา รู้สึกลำบากใจอยู่หลายส่วน ในตอนนี้กลับไม่ทราบเลยว่าตนควรจะพูดปลอบประโลมจิตใจอีกฝ่ายอย่างไร ท้ายที่สุดทำได้เพียงหยิบผ้าแพรพันแผลผืนใหม่ขึ้นมาเปลี่ยนให้อย่างเงียบๆ
ยามนี้ควบขับรถม้ามุ่งหน้าสู่ถนนหนทางอ้างว้าง บรรยากาศช่างเปล่าเปลี่ยว
เซี่ยหลู่เฟิงสวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ยกเท้าขึ้นเตะท้องม้ากระตุ้นไปหนึ่งทีเพื่อเร่งความเร็วด้วยความเดือดดาลจัด ราวกับใจดวงนี้อัดแน่นเพลิงโทสะอันไร้ซึ่งที่ระบายออก
ในยามนี้เขาเพิ่งจะมานึกเสียใจภายหลัง เพราะตอนนั้นทั้งที่เซียถงกำลังจะลงมือฆ่าไป๋หลี่เย่ทิ้งไปแล้วแท้ๆ กลับเป็นตัวเขาเสียเองที่ตัดสินใจผิดพลาด เลือกหยุดมือนางเอาไว้ มิเช่นนั้นแล้ว ฉีหมิงเยว่หรือจะมาตกอยู่ในอันตรายใต้เงื้อมมือไป๋หลี่เย่ได้? แล้วน้องสาวของตนคงไม่ต้องเผชิญพบกับจุดจบเช่นนี้!
ภายในตัวรถม้า ฉีหมิงเยว่กับอิ๋งเอ๋อร์กำลังช่วยปฐมพยาบาลและทำความสะอาดร่างกายของเซี่ยเสวี่ยเหลียนอยู่
สำหรับเซี่ยเสวี่ยเหลียนคนนี้ นางเคยรักแก่เซียถงมานับครั้งไม่ถ้วนในอดีต ปัจจุบันต้องตกอยู่ในสภาพเฉกนี้นับว่าสมควรยิ่งยวดแล้ว กวาดสายตามองตามบาดแผลที่ถูกฝากฝังตามเรือนร่างของนาง อิ๋งเอ๋อร์ถึงกับถอดถอนหายใจอย่างอดมิได้ เซี่ยเสวี่ยนเหลียนในตอนนี้สารรูปแทบดูไม่ได้ ไม่เพียงบาดแผลตามเนื้อตัวที่เกิดจากความรุนแรงสารพัด แต่บริเวณช่วงล่างของนางเองก็ยังถูกฉีกจนเป็นรูโหว่ขนาดค่อนข้างใหญ่ เลือดไหลซิบออกมาจากตรงดั่งว่าอย่างต่อเนื่อง
พออิ๋งเอ๋อร์เห็นว่า ผงยาสามัญทั่วไปที่ฉีหมิงเยว่นำมาหยิบใช้มันไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก ท้ายที่สุด อิ๋งเอ๋อร์ก็ต้องจำใจหยิบโอสถห้ามเลือดที่เซียถงเป็นคนหลอมกลั่นกับมือออกมาให้แทน
เมื่อป้อนโอสถห้ามเลือดให้เซี่ยเสวี่ยเหลียนเสร็จสรรพ จากค่อยนำผงยาสมุนไพรออกมาช่วยกันทาบนแผลทั่วตัว หลังจากนั้นไม่นาน เลือดจากตามบาดแผลต่างๆ ก็เริ่มหยุดไหลตามลำดับ
หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าสะอาดสวมให้เซี่ยเสวี่ยเหลียนแล้ว อิ๋งเอ๋อร์ก็นั่งเฝ้าดูแลอีกฝ่ายอย่างใกล้ชิด ขณะที่ฉีหมิงเยว่ขอตัวออกรถม้าไป
สีหน้าของเซี่ยหลู่เฟิงในเวลานี้ดูน่ากลัวเกินจินตนาการ ฉีหมิงเยว่เห็นแบบนั้นย่อมทราบดีถึงเพลิงโทสะที่สุมทรวงในจิตใจของเขาดี นางกุมมืออีกฝ่ายเบาๆ กล่าวขึ้นว่า
“ท่านพี่จะทำเช่นไรต่อไป? ตั้งใจจะพาน้องสาวไปจากเมืองเฟิงหลี่จริงๆ งั้นรึ?”
ความหมายในคำกล่าวที่นางพยายามจะสื่อก็คือ เขาต้องการจะฝ่าฝืนพระราชโองการของฝ่าบาทจริงๆ อย่างนั้นหรือ? ไป๋หลี่เย่ก็พูดเองจากปากแล้วว่า ฝ่าบาทกำลังจะมีพระราชโองการสั่งให้เซี่ยเสวี่ยเหลียนเข้าอภิเษกสมรสกับตนเองในฐานะพระสนมชั้นสาม แล้วหากว่าระหว่างนี้ เซี่ยหลู่เฟิงได้พาตัวเซี่ยเสวี่ยเหลียนหนีออกไปจริงๆ เรื่องนี้คงไม่จบลงโดยง่ายแน่นอน จะต้องมีใครสักคนบุกเข้าจวนมหาเสนาบดีเซี่ยเพื่อซักไซ้หาความจริงของเรื่องนี้ และคนเห็นแก่ตัวอย่างเซี่ยอี้เฉิงก็คงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด ผลักไสความรับผิดชอบทั้งหมดโยนใส่เซี่ยหลู่เฟิง ส่งผลให้ต้องโทษหนักในฐานฝ่าฝืนพระราชโองการในเวลาต่อมา ถึงตอนนั้นคงโดนทางการตงหลี่ตามล่าสุดล่าฟ้าเขียวกันไปข้าง แบบนี้แล้วจะหลบหนีเช่นไรต่อไป? ยังมีแห่งหนใดให้ลี้ภัยหลบหนีได้บ้าง?
เซี่ยหลู่เฟิงยังไม่มีแผนการรับมือใดๆ ล่วงหน้า แต่ในขณะเดียวกัน เขาเองก็ไม่มีทางส่งน้องสาวตัวเองโยนลงกองไฟแน่นอน
หากเป็นเซียถงยังพอทำเนา แต่นี่กลับเป็นเซี่ยหลู่เฟิง! เขาตระหนักดีว่า ตนเองมิได้ทรงพลังแข็งแกร่งเท่านาง และไม่มีปัญญาปกป้องคนรอบข้างและผู้ที่เป็นรักจากภัยอันตรายใดๆ ได้เลยเช่นกัน
เดี๋ยวก่อน…เซียถงงั้นรึ?
จู่ๆ เขานึกถึงน้องสาวคนนี้ของตนขึ้นมาได้ แทบจะในทันใด เซี่ยหลู่เฟิงก็โพล่งกล่าวขึ้นทันทีว่า
“ข้าจะไปหุบเขาคุนหลุน! ไปตามหาเซียถง!”
ฉีหมิงเยว่ตะลึงงันอยู่ชั่วครู่หนึ่ง คล้อยหลังชักรู้สึกวิตกเป็นกังวลขึ้นมา คนที่ทั้งหัวรั้นและให้ค่ากับเรื่องคุณงามความแค้นมากที่สุดอย่างเซียถงน่ะหรือ…จะยอมช่วยเซี่ยเสวี่ยเหลียน?
สังเกตเห็นสีหน้าการแสดงออกของฉีหมิงเยว่ที่ชักไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก เซี่ยหลู่เฟิงก็เอ่ยเสียงเคร่งขรึมจริงจังขึ้นว่า
“ข้าทราบ เสวี่ยเหลียนทำผิดบาปมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่ว่าอย่างไร นางก็คือน้องสาวคนหนึ่งของข้าที่มีแม่คนเดียวกัน ถึงแม้นิสัยเซียถงจะออกหยิ่งยโสทะนงตนไปบ้าง แต่เนื้อในแล้ว นางเป็นคนจิตใจงดงาม หากแสดงความจริงใจให้เห็นสักครั้ง บางทีนางอาจจะเข้าใจและช่วยเหลือกันสักครา อีกอย่างเอง ตอนนี้ข้าก็ไม่มีทางอื่นใดแล้วเช่นกัน ตราบเท่าที่นางสามารถช่วยได้ ต่อให้ข้าต้องคุกเข่ากราบแทบเท้านาง เซี่ยหลู่เฟิงคนนี้ก็ยินดีที่จะทำ!”
ฉีหมิงเยว่กุมมือเซี่ยหลู่เฟิงไว้แน่น ดวงตาระหว่างสองฝ่ายสบมองกัน ไม่จำเป็นต้องพูดแต่เท่านี้ก็รู้ใจ
ในอีกด้านหนึ่ง เซียถงรีบมุ่งหน้าสู่หุบเขาคุนหลุนโดยไว ทว่าอย่างไร พอไม่มีคำแนะนำระหว่างทางจากโม่ซวนและสองพี่น้องตระกูลเค่อ การเดินทางในครึ่งหลังก็ประสบความลำบากอยู่บ้างในด้านเส้นทาง
แต่สุดท้ายนางก็มาถึง ปัจจุบันนางอยู่แถวตีนหุบเขาคุนหลุนแล้ว สภาพภูมิประเทศรอบข้างช่างสลักซับซ้อนราวกับเขาวงกตขนาดใหญ่ เซียถงเลือกเดินสักทางมุ่งหน้าเข้าไป ทว่าหลังจากเวียนวนในนั้นอยู่ประมาณสองสามรอบ พลันต้องกลับออกมาจุดเดิมที่เริ่มต้นหน้าตาเฉย
พยายามหลายครั้งก็ไม่สำเร็จเสียที เวลานี้นางยืนปั้นหน้าหงุดหงิดอยู่เบื้องหน้าถนนหลายหลากสาย พวกมันแตกออกเป็นยิบย่อยจำนวนนับไม่ถ้วน
ท่ามกลางความหงุดหงิดใจที่ก่อตัว ภายในห้วงความคิดของนางเองก็กำลังมีมวยคู่เอกอยู่เช่นกัน เสี่ยวฮั่วแหกปากเถียงกับหลิวซูอยู่อย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน สาดวาจาใส่กันถี่ยิบชนิดไฟแลบ
“ตามที่ข้ากล่าวไปเมื่อครู่มันถูกต้องแล้ว! เจ้าควรเชื่อข้าแล้วไปทางซ้ายก็จบ!”
หลิวซูแหกปากบ่นไม่หยุด
“แต่เจ้าเอาแต่อวดเก่งว่ารู้ทาง เดินตามแล้วเป็นเยี่ยงไร? ทางตัน!”
“ข้าเพียงลืมไปบางช่วงก็เท่านั้น!”
เห็นได้ชักว่า เสี่ยวฮั่วดูจะรู้สึกผิดอยู่เล็กน้อย มันกล่าวน้ำเสียงแผ่วอ่อนชักไม่แน่ใจเช่นกัน
“ข้าคิดว่า มันต้องเป็นทางขวานั่นแหละ แต่น่าจะมีอะไรผิดพลาดไปเล็กน้อย…”
เมื่อเห็นว่าเซียถงปิดปากเงียบมาสักพักแล้ว เสี่ยวฮั่วก็กล่าวอ้อนน้ำเสียงนุ่มนวลขึ้นทันที
“นายท่าน พวกเรา…ลองใหม่อีกครั้งดีหรือไม่?”
น้ำเสียงของเสี่ยฮั่วในเวลานี้ราวกับลูกแมวขี้อ้อนไม่มีผิด หากมันมีกายเนื้อของจริง คงไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันน่าจะกำลังกอดขาเซียถงพร้อมส่งสายตาน่าสงสารให้อยู่เป็นแน่แท้
หลิวซูที่เห็นแบบนั้นก็ร้องสบถดูแคลนขึ้นทันควัน ด้วยความรำคาญใจขี้เกียจทะเลาะกับเสี่ยวฮั่วในห้วงความคิดใดๆ อีก ทันใดนั้น มันก็จำแลงกายเป็นร่างมนุษย์ นั่งไขวห้างอยู่บนโหดหินข้างเคียง และชำเลืองไปเห็นเซียถงที่กำลังใช้กิ่งไม้แห้งวาดอะไรบางอย่างอยู่บนพื้น
“เจ้ากำลังวาดอะไรน่ะ?”
เซียถงกล่าวตอบไปว่า
“วาดเส้นทางทั้งหมดที่พวกเราลองเดินไปแล้ว”
ข้อมือตวัดลากเส้นไปมา ไม่นานก็ประกอบเป็นเส้นโค้งจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง เชื่อมต่อกันไปเรื่อยๆ จนเกิดเป็นรูปภาพอะไรบางอย่าง
“ดูตรงนี้ พอทดลองลากเส้นทางทั้งหมดที่เคยเดิน เจ้าสังเกตเห็นอะไรหรือไม่?”
หลิวซูปั้นหน้าจริงจังในทันใด แช่มมองเส้นโค้งสะเปะสะปะลากไปมาอยู่บนพื้น ทันทีทันใด มันก็คว้ากิ่งไม้จากมือเซียถงมาขีดเขียนวาดเสริมเข้าไปอย่างรวดเร็ว กล่าวกับนางไปพลางว่า
“ยังมีเส้นทางอีกหลายสายที่ยังมิได้ลองไป หากสมมุติว่าเราไปมาแล้วก็จะเป็นอย่างนี้…”
หลังจากลองขีดเขียนช่วยกันอยู่นาน ทั้งเซียถงและหลิวซูต่างประหลาดใจเมื่อค้นพบว่า เส้นทางต่างๆ เริ่มปะติดปะต่อกันกลายเป็นรูปภาพที่สมบูรณ์แบบ และภาพที่เกิดขึ้นหลังจากวาดเส้นบรรจบครบถ้วน ปรากฏว่าเป็นรูปภาพของกิเลนตนหนึ่ง!
หลิวซูชี้ไปที่รูปกิเลนบนพื้นและกล่าวว่า
“นี่ไง! เส้นทางทั้งหมดบรรจบกับเป็นภาพกิเลน! มันต้องมีกลไกอะไรซ่อนอยู่ภายในรูปนี้แน่นอน!”