ทะลุมิติไปเป็นพระชายาโหดแห่งวังหลวง - ตอนที่ 134 อสรพิษมหึมา (2)
ตอนที่134 อสรพิษมหึมา (2)
เซียถงยังคงปั้นหน้างุนงงดั่งตกสู่ภวังค์ ชายผู้นั้นหยุดมองจับจ้องใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา กระชับอ้อมแขนกอดกุมให้แน่นขึ้นเล็กน้อย และเอ่ยถามนางว่า
“เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”
ทว่าก่อนที่เซียถงจะมีเวลามานั่งตอบ จู่ๆ ทั้งสองก็พลันได้ยินเสียงคำรามลั่นสนั่นจากภาคพื้น อสรพิษมหึมาที่เพิ่งโดนสับลิ้นสองแฉกไปคายพิษสีเหลืองเหนียวหนืดพวยพุ่งออกมาจากปากกว้างของมัน พ่นเข้าหาทั้งสองสาดยิงใส่
ชายผู้นั้นพาเซียถงเหาะเหินทะยานบินหนีไปทางทิศฝั่งขวาเพื่อหลบพิษร้าย เหม่อมองภาคพื้นดินที่ค่อยๆ เคลื่อนห่างออกไป เซียถงถึงกับถลึงตาตกใจแทบหลุดจากเบ้า ตัดสลับมองไปที่ชายผู้นั้นที่กำลังโอบอุ้มตนอยู่ด้วยตื่นตระหนกสุดขีด
การเหาะเหินบนเวหาได้ ฟังว่าต้องอาศัยเพียงความแกร่งกล้าของลมปราณระดับชั้นจักรพรรดิครามฟ้าเท่านั้น ที่จะสามารถบินบนนภา เหาะเหินร่อนเวหาได้ดั่งใจนึก!
จักรพรรดิครามฟ้า… ชายผู้นี้ที่นางมักจะชอบเตะผ่าหมากใส่ ปรากฏว่าเขาเป็นถึง…ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นจักรพรรดิปราณฟ้า!!
“ข้าเข้าใจ ข้าเข้าใจ ถึงตัวข้าจะหล่อเหลาเพียงใด แต่การที่อิสตรีอย่างเจ้าจ้องตาไม่กะพริบเช่นนี้ เห็นทีจะเกินงามไปเสียหน่อย หากใครมาเห็นเข้าคงมิใช่เรื่องเหมาะสม คงตกใจสิท่าว่า ใบหน้าภายใต้หน้ากาก แท้ที่จริงกลับหล่อเหลาดั่งเทพบุตรปานนี้?”
สังเกตเห็นว่าเซียถงมองหน้าตนเองตาไม่กระพริบ ชายผู้นั้นจึงส่ายหน้าอย่างหน่ายใจที่เกิดมาหล่อเหลา ทั้งยังลอบส่งยิ้มทรงเสน่ห์มอบให้
เซียถงเอาแต่จับจ้องไปที่อีกฝ่าย อ้าปากค้างเติ่งแต่ไม่พูดอะไรออกมาสักคำ ทีแรกก็ตกใจในขุมพลังสุดแกร่งกล้าที่หมอนี่ครอบครองอยู่หรอก ทว่าตอนนี้ พอเจอเข้ากับความหลงตัวเองของอีกฝ่ายเข้า นางถึงกับพูดไม่ออกบอกไม่ถูก
หรือเป็นไปได้ไหมว่า ระดับความแข็งแกร่งที่สูงขึ้นจะสอดคล้องกับระดับความมั่นหน้าที่สูงขึ้นตาม?
เห็นเซียถงอ้าปากค้างตื่นตะลึงต่อเนื่อง ชายผู้นั้นก็เอ่ยถามพร้อมทีท่าน้ำเสียงฟังดูหลงตัวเองมิใช่น้อยว่า
“เอ๋? หรือมองข้าตาค้างแข็งปานนี้ มิใช่ว่าแอบตกหลุมรักข้าเสียแล้ว?”
เขาปั้นหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย และกล่าวต่อว่า
“อืม…ก็นับว่ามีเหตุผล เพราะสำหรับบุรุษชายที่หล่อเหลาเฉกเช่นข้าแล้ว คงมิใช่เรื่องผิดปกติอันใดที่เจ้าจะหลงเสน่ห์ ตกหลุมรักข้า แต่เจ้าอย่าได้ห่วงไปเลย รักข้าแล้วไม่มีผิดหวังแน่นอน!”
เซียถงที่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าการแสดงออกพลันหมองหม่นลงในทันใด แทบอยากจะกระโดดเข้าปากอสรพิษให้ตายๆ ไปเสียก็ดี นางกระแอมไอเบาๆ ไปทีหนึ่ง ชักสายตาเบี่ยงหนีออกไปจากหน้าอีกฝ่ายโดยไว ไฉนชายตรงหน้าถึงหลงตัวเองได้เกินขอบเขตขนาดนี้กัน? หากเลือกที่จะคุยกับอีกฝ่ายต่อ เกรงว่า คงหนีไม่พ้นเรื่องชมตัวเองเป็นแน่แท้
ดูเหมือนว่าหลังจากที่ได้เห็นรูปโฉมที่แท้จริงภายใต้หน้ากากแล้ว ชายผู้นี้ก็ดูเปลี่ยนไปมิใช่น้อย เขามิได้แสดงท่าทีเย็นชาหรือจองหองต่อหน้านางดั่งแต่ก่อนอีกต่อไป คล้ายจะมีมนุษยสัมพันธ์มากกว่าเดิม
พอเห็นว่าเซียถงชักสีหน้ามองไปทางอื่น ทำเป็นไม่ได้สนใจในตัวเองแล้ว เบื้องลึกในแววตาคู่นั้นของเขาก็เผยแววยิ้มแย้มเปี่ยมสุขออกมาเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้ ที่เห็นเซียถงเผยทีท่าขวยเขินออกมา ซึ่งนางในเวลานี้ดูน่ารักมาก
อสรพิษมหึมาถูกทิ้งร้างอยู่เบื้องหลังของทั้งสอง พวกเขาตรงออกมาจนพบเข้ากับทุ่งหญ้าสีเขียวขจี และชายผู้นั้นก็นำร่างของเซียถงวางลงบนภาคพื้นดินอย่างประณีตเบามือ
“เจ้าชื่ออะไร?”
หลังจากที่ร่อนลงสู่พื้น เซียถงหันไปมองชายผู้นั้นและเอ่ยถามขึ้น
เมื่อได้ยินคำถามของเซียถง ก็คล้ายกับว่า เผยปรากฏประกายแสงซ่อนเร้นแวบผ่านจากดวงตาของชายผู้นั้น ระงับดับประกายแสงเหล่านั้นลงโดยไว เขายกมือทั้งสองข้างไพล่หลัง แสร้งทำเป็นท่าทีลำพองอวดดี เปล่งเสียงกล่าวถามกลับไปอย่างหยิ่งผยองว่า
“บอกเจ้าไปแล้วกลับมีประโยชน์อันใด?”
ทันทีที่สิ้นเสียงกล่าวจบ เขาก็เห็นเซียถงหมุนตัวกลับและจากออกไปทันทีโดยไม่แม้แต่แยแสใดๆ
เอ่อ…ไม่เย็นชาเกินไปหน่อยรึแม่สาวน้อย?
สุดท้ายถึงกับระบายยิ้มขื่นออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ชายผู้นั้นวิ่งไล่ตามเซียถงไปทันที กล่าวขึ้นว่า
“เรียกข้าว่า อาหาน ก็ได้!”
อาหาน? ยอดปรมาจารย์ฟ้าประทานเฉกเช่นนี้ ไฉนถึงมีชื่อที่ฟังดูธรรมดาสามัญเหลือเกิน? ทันทีที่ได้ยิน เซียถงตระหนักทราบโดยไว นี่จะต้องเป็นชื่อปลอมอย่างแน่แท้ แต่กระนั้น ตัวเซียถงเองก็มิได้สนใจหรือเอ่ยถามซักไซ้ใดๆ ต่อ ไม่ว่าเขาจะมีชื่ออะไร หรือมีตัวตนที่แท้จริงเป็นใครมาจากไหน สุดแท้แล้วอีกฝ่ายก็มิได้เกี่ยวข้องใดๆ กับนาง ส่วนที่ว่าเหตุผลที่เอ่ยปากถามชื่อออกไป ก็เพราะนางเห็นว่าอีกฝ่ายยื่นมือช่วยเหลือตนอยู่หลายครั้งแล้ว หากมิได้ถามชื่อเพื่อหาโอกาสตอบแทนบุญคุณสักครา คงเสียมายาทเกินไป
“เช่นนั้นแล้ว อาหาน วันนี้ข้าต้องขอบพระคุณเจ้าเป็นอย่างยิ่งที่ช่วยเหลือ ในภายภาคหน้า ข้าจะต้องหาโอกาสตอบแทนบุญคุณในครั้งนี้แน่นอน”
เซียถงลดสถานะตนเองลงทันทีหนึ่งขั้น สำหรับเรื่องหนี้บุญคุณแล้วนี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับตัวนางมาก ทุกคนที่ให้ความช่วยเหลือนาง คนเหล่านั้นนับเป็นผู้มีบุญคุณ ทั้งนี้นางเองย่อมรู้สึกซาบซึ้งและให้เกียรติแก่อีกฝ่ายเป็นธรรมดา และสักวันใดวันหนึ่ง ย่อมต้องตอบแทนหนี้บุณคุณเหล่านี้อย่างเหมาะสมสมควรแน่นอน
อาหานมองหน้านางพลางคลี่ยิ้มตอบ แต่มิได้ปริปากเอ่ยกล่าวอะไรออกมาสักคำ ทางฝ่ายเซียถงเองก็ปรายตาลอบสังเกตการณ์อีกฝ่ายเล็กน้อยเช่นกัน พอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ นางจึงหันหลังไปหาที่พักเงียบสงบสักแห่งหนหนึ่ง นั่งไขว่ห้างขัดสมาธิพร้อมหลับตาลง และเริ่มดูดซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดินจากทั่วบริเวณนั้นโดยเร็ว เหตุการณ์เมื่อครู่ที่นางต้องโรมรันพันตูกับอสรพิษมหึมาตนนั้น ทำเอาพลังลมปราณภายในร่างกายของนางเหือดแห้ง มือไม้ไร้เรี่ยวแรงไปหมด
เห็นว่าเซียถงกำลังนั่งบำเพ็ญตบะอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล อาหานก็นั่งพักผ่อนอยู่แถวนั้น ดวงตาเรียวยาวคู่แหลมของเขายังคงจับจ้องนางไม่คลายอ่อน มุมปากเผยร่องรอยอมยิ้มผุดขึ้นบางๆ เซียถงในเวลานี้ตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาและมีความระมัดระวังสูงมาก อนึ่งอาจเป็นเพราะจำต้องนั่งบำเพ็ญตบะต่อหน้าเขา หรืออาจเป็นเพราะ นางต้องการฟื้นคืนพลังโดยเร็วที่สุดในเวลานี้ แต่ในทางตรงกันข้าม สิ่งนี้ก็แสดงให้เห็นเช่นกันว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว นางกำลังอ่อนแอมากเพียงใด
พอคิดได้เช่นนั้น รอยยิ้มที่ประดับประดาบนใบหน้าของอาหานก็ยิ่งเด่นชัดยิ่งขึ้น ก่อนที่จะค่อยๆ ละสายตาออกมาและกวาดสำรวจโดยรอบสถานที่แห่งนี้แทน
แม้นี่จะเป็นโลกที่ถูกสร้างขึ้นจากภาพมายาสักแขนงหนึ่ง แต่พลังวิญญาณแห่งฟ้าดินในที่แห่งนี้กลับความหนาแน่นค่อนข้างเข้มข้นและอุดมสมบูรณ์อย่างยิ่ง และก็เป็นแบบนั้นจริงๆ เพราะใช้เวลาเพียงไม่นานเกินรอ ศักยภาพร่างกายของเซียถงก็ฟื้นคืนขึ้นมาเต็มพิกัด แต่ภายในห้วความคิดของนาง กลุ่มแสงสีม่วงยังคงทอแสงกะพริบอยู่เป็นครั้งคราว เสี่ยวฮั่วยังคงอยู่ในสภาวะนอนหลับไม่ได้สติ หรือยังมีอีกหนึ่งความเป็นไปได้ว่า เพราะตัวนางในขณะนี้อยู่ในห้วงมิติมายาระหว่างโลกความเป็นจริงและภาพลวงตา ส่งผลให้เสี่ยวฮั่วไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้
ในเมื่อเซียถงไม่สามารถเอาชนะอสรพิษมหึมาตนนั้นได้ ดังนั้นตอนนี้ นางจำเป็นจะต้องเสาะหาวิธีออกจากห้วงมิติมายาแห่งนี้แทน
ขณะครุ่นคิดวางแผนอย่างตั้งอกตั้งใจ จู่ๆ นางก็พลันสัมผัสได้ถึงสายตาแสนเร่าร้อนคู่หนึ่งที่กำลังจับจ้องมาทางนี้ เซียถงเปิดเปลือกตาขึ้นมาในบัดดล หันไปหาต้นทางที่รู้สึกสัมผัสถึงได้ ก่อนจะสบเข้าให้กับสายตาคู่เฉียวคมของอาหานโดยตรง
ถึงแม้จะเห็นแล้วว่าเซียถงลืมตามองมาทางนี้ แต่สายตาคู่นั้นของอาหานยังคงจับจ้องตาไม่กะพริบ แถมยังเผยให้เห็น แววความเร่าร้อนปะทุเดือดที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย สาวงามนั่งไขว่ห้าง บรรยากาศรอบกายรายล้อมไปด้วยไอหมอกสีจางอ่อนทั้งดูเบาบางและนุ่มนวล แต่เดิมใบหน้าซีดเผือดไร้เลือดหล่อเลี้ยง ทว่ายามนี้กลับกลายมาเป็นสีแดงระเรื่อเนื่องจากร่างกายที่ฟื้นตัวเต็มที่ เสมือนใบหน้าอันงดงามได้บานสะพรั่งขึ้นอีกครั้ง นางสวยจนไม่สามารถละสายตาออกมาได้เลยจริงๆ