ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 702 ทำไมถึงตั้งชื่อเล่นว่าเสี่ยวหู่
ตอนที่ 702 ทำไมถึงตั้งชื่อเล่นว่าเสี่ยวหู่
…………….
ตอนที่ 702 ทำไมถึงตั้งชื่อเล่นว่าเสี่ยวหู่
เฉินเจียเหอเงยหน้าขึ้นจากหน้าอกของหลินเซี่ย และมองเธออย่างจริงจัง ก่อนจะพูดว่า “โล่งแล้ว รอลูกตื่นมาค่อยให้เขาลองดูดดู”
หลินเซี่ยหน้าแดงก่ำ ทำหน้าบึ้งมองเขาอย่างน้อยใจ “เช็ดสิ จะให้ลูกกินน้ำลายของคุณเนี่ยนะ”
เฉินเจียเหอหัวเราะในลำคอ หยิบผ้าขนหนูมาก่อนจะเอื้อมมือมาเช็ดให้เธอ แต่หลินเซี่ยคว้าไปก่อน “ฉันทำเอง”
เธอถามเฉินเจียเหอ “คุณว่าจะตั้งชื่อเล่นให้ลูกว่าอะไรดีล่ะ”
“ตั้งว่าเสี่ยวหู่ดีไหม คุณคิดว่ายังไง” เฉินเจียเหอขอความเห็นเธอ “ถ้าคุณเห็นว่าไม่เข้าท่าก็เปลี่ยนได้”
ชื่อจริงให้ปู่เป็นคนตั้ง ส่วนชื่อเล่นของลูก เฉินเจียเหอยังอยากให้มีชื่อเดียวกับหู่จือ
หลินเซี่ยพยักหน้าตอบอย่างเต็มใจ “ได้ ตั้งว่าเสี่ยวหู่ก็ได้”
ขณะที่หลิวกุ้ยอิงกำลังต้มซุปที่ห้องครัวของโรงพยาบาล โจวลี่หรงก็หิ้วกระติกน้ำร้อนมาแล้ว
หลินเซี่ยเพิ่งเช็ดเสร็จยังไม่ได้ดึงเสื้อลงมา พอได้ยินเสียงของโจวลี่หรงก็รีบดึงเสื้อลงมา
เฉินเจียเหอเชิญหล่อนเข้ามาถามว่า “แม่ ทำไมมาเร็วจัง”
โจวลี่หรงวางกระติกน้ำร้อนบนโต๊ะ พูดว่า “ฉันกลัวหลานร้องไห้ เลยรีบมาน่ะ”
ที่จริงแล้วเมื่อคืนนี้โจวลี่หรงแทบไม่ได้นอนเลย
รู้สึกเหมือนหลานร้องไห้อยู่ตลอด
หล่อนเป็นคนบ้างานมาก ไม่ว่าจะเรื่องงานในอดีตหรือชีวิตในปัจจุบัน หล่อนต้องลงมือทำเรื่องสำคัญ ๆ เอง กระทั่งตอนที่คนอื่นทำงาน หล่อนต้องอยู่ดูแล จิตใจถึงจะสงบได้
โจวลี่หรงวางกระติกน้ำร้อนลง ก่อนจะรีบไปล้างมือที่ห้องน้ำ และหยิบสบู่ที่นำมาเองจากบ้าน
หล่อนถูสบู่จนมือสะอาด แล้วจึงนำกล่องสบู่เข้าไปในห้องผู้ป่วย วางไว้ที่มุมห้อง จากนั้นจึงไปอุ้มหลาน
เห็นลูกกำลังนอนหลับสบาย เฉินเจียเหอจึงเตือนอยู่ข้างๆ
“แม่ รอให้เขาตื่นก่อนค่อยอุ้มนะ”
“งั้นให้เซี่ยเซี่ยกินก่อนเลยแล้วกัน”
โจวลี่หรงนำโจ๊กข้าวฟ่างมาจากบ้านด้วย หล่อนตักโจ๊กครึ่งถ้วยให้หลินเซี่ย เฉินเจียเหอที่อยู่ข้าง ๆ เห็นแล้วก็เตือนหล่อนอย่างละม่อม
“แม่ เมื่อคืนนี้เซี่ยเซี่ยก็กินโจ๊กข้าวฟ่างไปแล้วนะ”
ความหมายของเฉินเจียเหอก็คือต้องเปลี่ยนรสชาติอาหาร ไม่อย่างนั้นหลินเซี่ยกลืนไม่ลงแน่
“โจ๊กข้าวฟ่างช่วยบำรุงกระเพาะน่ะ” โจวลี่หรงกล่าว “รออีกสองสามวันฉันจะต้มน้ำซุปไก่ให้กิน ตอนนี้เพิ่งคลอดยังต้องเน้นอาหารเบาๆ ก่อน”
โจวลี่หรงตักโจ๊กใสใส่ชามแล้วส่งมาให้
เฉินเจียเหออยากจะพูดว่าแม่ยายกำลังต้มซุปไข่อยู่ แต่แม่ของเขาก็เคลื่อนไหวอย่างกระฉับกระเฉงลื่นไหล ไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรเลย
เมื่อหลิวกุ้ยอิงยกน้ำซุปไข่เข้ามา หล่อนก็เห็นหลินเซี่ยกินไปบ้างแล้ว
“คุณแม่มาตั้งแต่เช้าเลยเหรอคะ” หลิวกุ้ยอิงถามพร้อมรอยยิ้ม
โจวลี่หรงพยักหน้า “ใช่ค่ะ ฉันมาเปลี่ยนเวรคุณ”
ทันทีที่เด็กตื่น หลิวกุ้ยอิงก็จะเข้าไปอุ้มตามความเคยชิน
โจวลี่หรงรีบเดินเข้ามากั้น “คุณแม่ คุณล้างมือหรือยังคะ”
“เอ๊ะ” หลิวกุ้ยอิงหัวเราะอย่างเก้อเขินแล้วพูด “ฉันล้างแล้ว ฉันทำอาหารไปล้างไป”
“ให้ฉันอุ้มเถอะ คุณไปพักเถอะ” โจวลี่หรงเป็นฝ่ายอุ้มเด็กก่อน
หลิวกุ้ยอิงยืนตรงนั้นอย่างกระอักกระอ่วนใจ และนึกได้ว่ายังต้องรีบชงนมให้หลาน
โจวลี่หรงเห็นหลิวกุ้ยอิงล้างขวดนมอย่างลวกๆ เทนมใส่ขวดโดยตรง ก็รีบห้าม
“คุณแม่ ขวดนมต้องล้างหลาย ๆ รอบ แล้วก็ต้องระวังอย่าให้นิ้วไปโดนจุกนมนะ”
โจวลี่หรงยืนอยู่ข้าง ๆ สอนอย่างจริงจัง หลิวกุ้ยอิงถึงกับทำอะไรไม่ถูก
เฉินเจียเหอรีบพูดขึ้นมา “แม่ เราไม่ต้องพิถีพิถันขนาดนั้นหรอก”
สีหน้าของโจวลี่หรงถึงกับเคร่งขรึมแข็งกร้าวทันที “ยังไงก็ต้องรักษาความสะอาด”
เธอพูดกับหลิวกุ้ยอิงว่า “แม่ แม่กลับไปพักผ่อนก่อนก็ได้ ไม่ต้องชงนมแล้ว ให้ลูกกินนมฉันเถอะ”
จากนั้นมองไปที่โจวลี่หรงแล้วก็พูดว่า “แม่ ส่งลูกให้ฉันเถอะค่ะ ฉันจะอุ้มเอง”
เธอยื่นมือออกไปจะอุ้มลูก แต่โจวลี่หรงไม่ยอมยื่นเด็กให้ และเอ่ยเตือนว่า “เซี่ยเซี่ย เธอเช็ดมือก่อนสิ”
หลินเซี่ยยิ้มแล้วพูดว่า “แม่ ไม่ต้องเช็ดหรอกค่ะ ไม่ต้องพิถีพิถันขนาดนั้น”
เธอรับลูกมาด้วยท่าทางแข็งกร้าวเช่นกัน แล้วก็ลองให้นมลูก
จะว่าไปแล้ว ความพยายามของเฉินเจียเหอไม่ได้สูญเปล่าเลย
น้ำนมไหลออกมาจริงๆ ด้วย
“เป็นไง กินได้แล้วหรือยัง” หลิวกุ้ยอิงมองหลินเซี่ยอย่างมีความหวังแล้วเอ่ยถาม
หลินเซี่ยพยักหน้าอย่างดีใจ “แม่ ลูกดูดนมได้แล้วค่ะ”
เมื่อคืนนี้เธอรู้สึกคัดเต้านม ตอนนี้พอลูกน้อยดูดนมได้ เธอก็รู้สึกโล่งสบายขึ้น
“ดีแล้วๆ” หลิวกุ้ยอิงได้ยินหลินเซี่ยพูดแล้วก็โล่งใจ
มีน้ำนมแล้วก็สะดวกมากขึ้น
ไม่อย่างนั้นคนที่ชงนมไม่เป็นอย่างเธอคงชงนมให้เด็กกินไม่ได้
“พ่อ มาทำไมคะเนี่ย”
หลินเซี่ยบอกให้เฉินเจียเหอไปส่งแม่เธอนั่งรถเมล์ จะได้กลับบ้านสะดวก
เมื่อคืนแม่เธอไม่ได้พักผ่อนเพียงพอ ส่วนที่ร้านอาหารก็ยังต้องใช้คน เธอจึงอยากให้แม่กลับบ้านเร็วๆ
พอโจวลี่หรงมาถึง แม่ของเธอก็เกร็ง มองซ้ายมองขวาอย่างกระวนกระวาย
เธอมองแล้วยังอึดอัดแทน
เฉินเจียเหอบอกว่าจะแวะดูลูกแล้วกลับ ทว่าเซี่ยไห่ก็มาพร้อมกับเซี่ยเหลย
เซี่ยเหลยก็มาส่งข้าวให้หลินเซี่ยด้วย
ดูดีกว่าตอนไปทำงานที่ร้านด้วยซ้ำ
เขาหวีเสยผมไปด้านหลัง สวมสูทผูกไท ดูราวกับเป็นเจ้าของกิจการคนหนึ่ง
เมื่อวานเขาแทบไม่ได้ดูหลานชายเลย เพราะตอนนั้นพวกเขามัวแต่สนใจหลินเซี่ยกันอยู่
เห็นเธอดูอ่อนเพลียขนาดนั้น ใครจะมีแก่ใจมาดูหลานชายกัน?
อีกอย่างครอบครัวของเฉินก็อยู่ล้อมรอบเจ้าตัวน้อยอยู่
ดังนั้นเซี่ยไห่จึงมาทำความรู้จักหลานชายอย่างเป็นทางการในวันนี้
เฉินเจียเหอเห็นการแต่งตัวของเซี่ยไห่แล้วก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกยิ้ม
“มองอะไรน่ะ” เซี่ยไห่เหลือบมองเฉินเจียเหอที่มีหนวดเคราขึ้นรุงรัง “แกดูตัวเองบ้างเถอะ แค่ดูแลเซี่ยเซี่ยคืนเดียว แกถึงกับแก่โทรมขนาดนี้เลยเหรอ”
เฉินเจียเหอ “!!!”
เขายังไม่แก่โทรมเสียหน่อย
แค่ไม่ได้โกนหนวดเท่านั้นแหละ
เขาทำหน้าตึง มองเซี่ยไห่ตาเขม็ง
“พูดไม่เข้าหูก็อย่าพูดดีกว่า”
เซี่ยเหลยก็เหลือบมองเซี่ยไห่ตาขวาง
ใครจะไปเหมือนเขาล่ะที่แต่งตัวเหมือนเจ้าบ่าวเข้าทุกวัน เห็นก็รู้ว่าเป็นคนโสดสนิท ไม่ต้องดูแลใครนอกจากตัวเอง ผู้ชายแท้ ๆ ที่ต้องแบกรับภาระครอบครัว จะมีเวลาที่ไหนมาใส่ใจดูแลตัวเอง
พอเซี่ยไห่เข้ามาในห้องพยาบาล ก็พูดเสียงดัง
“เซี่ยเซี่ย พวกเรามาเยี่ยมเธอแล้ว”
หลินเซี่ยเห็นอารองหน้าตาอิ่มเอิบก็อดขำไม่ได้ “อารอง คุณก็แต่งตัวเกินไป”
“เป็นยังไงบ้าง ไม่สบายตรงไหนไหม?” เซี่ยเหลยถามด้วยความห่วงใย
หลินเซี่ยหันไปมองเขาแล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรแล้วค่ะพ่อ”
เซี่ยเหลยดูออกว่าสีหน้าลูกสาววันนี้ดีขึ้นมาก มีชีวิตชีวากว่าเดิม เขาก็เลยไม่รู้สึกเป็นห่วงเท่าใด
เมื่อคืนหลิวกุ้ยอิงไม่อยู่ เขาก็แทบไม่ได้นอนเลย เพราะภาพของหลินเซี่ยที่หน้าตาซีดเซียวดูอ่อนเพลียหลังออกจากห้องคลอดยังวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ น้ำตาก็ไหลจนเปียกหมอน
ตอนนี้เมื่อเห็นลูกสาวปลอดภัยดี เขาก็รู้สึกเบาใจขึ้น
“มาเร็ว มาให้พวกเราได้ดูหลานชายกัน”
เซี่ยไห่รีบเข้าไปจะอุ้มเด็ก โจวลี่หรงที่อยู่ข้าง ๆ ก็พูดเตือนว่า “คุณอาต้องล้างมือก่อนแล้วค่อยอุ้มนะคะ”
เซี่ยไห่ยื่นมืออันขาวและเรียวของตนออกมา พลิกดูฝ่ามือและหลังมือไปมาสองครั้ง “ฉันเพิ่งล้างมาก่อนออกจากบ้าน”
“ไปล้างอีกที” โจวลี่หรงเอื้อมหยิบกล่องสบู่ที่หล่อนเอามาจากบ้าน “ใช้สบู่ด้วยนะคะ”
สายตาของเซี่ยไห่เหลือบไปที่กล่องสบู่ที่โจวลี่หรงยื่นมาให้ เขาก็รู้สึกอายเล็กน้อย “ดูทำสิ ผมไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย”
“ล้างมือเถอะค่ะ คุณต้องรักษาความสะอาดเพื่อเด็กนะคะ”
เซี่ยไห่รับกล่องสบู่ไปในที่สุด แล้วก็ไปล้างมือที่ห้องน้ำกับเซี่ยเหลย
ขณะที่ล้างมือ เขาก็บ่นกับความจู้จี้จุกจิกของโจวลี่หรง
เซี่ยเหลยพูดว่า “แม่สามีหล่อนหวังดี ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหลานนายนะ”
เซี่ยไห่โต้กลับ “เพื่อหลานอะไรกัน ดูท่าทางหล่อนสิทำราวกับเป็นผู้นำ”
“ก็หล่อนเป็นผู้นำมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่” เซี่ยเหลยรีบรับคำ
“แล้วไง เกษียณแล้วจะมาเป็นผู้นำอีกเหรอ ผมก็ผู้นำเหมือนกัน ผมเคยโอ้อวดไหมล่ะว่าตัวเองเป็นผู้นำ” เซี่ยไห่สะบัดมือไล่น้ำที่ติดมือ “เดี๋ยวผมต้องคุยกับเจียเหอดี ๆ แล้วว่าให้เขาจัดการแม่ของเขาซะ”
เซี่ยเหลยรู้ดีว่าเซี่ยไห่เป็นคนอย่างไร ยามอยู่ที่บ้าน ครอบครัวจะล้อเล่นหัวเราะเยาะยังไงก็ได้ แต่พอออกข้างนอก เขากลับถือหน้ามากกว่าอะไรใด ๆ
จะให้มาอดทนอดกลั้นได้อย่างไร
นอกจากนั้น เขายังเป็นคนรักพวกพ้องมาก หากเป็นเรื่องของครอบครัวก็จะหัวร้อนสุดๆ
หลังล้างมือเสร็จและเดินเข้าไปในห้อง ในที่สุดเซี่ยไห่ก็ได้กอดหลานสมใจ
ยามเขาได้กอดหลานน้อย แววตาก็ดูอ่อนโยนราวกับคนละคนกับตอนที่อยู่ในห้องน้ำเมื่อครู่นี้
เขาเอ่ยกับทารกน้อยด้วยเสียงอ่อนหวาน “หลานรัก นี่ตารองของหนูเอง หนูช่างน่ารักเหลือเกิน ตารองคนนี้จะละลายแล้ว”
“ส่วนนั่นคือคุณตาของหนู คุณตาก็รักหนูมากนะ”
สายตาของเซี่ยเหลยฉายแววอยากจะอุ้มหลานเช่นกัน แต่เซี่ยไห่กลับลืมบอกให้เขาอุ้มเสียสนิท
เซี่ยไห่ถามกับหลินเซี่ยว่า “เซี่ยเซี่ย ตั้งชื่อให้หลานว่าอะไรล่ะ?”
หลินเซี่ยตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ชื่อเล่นว่าเสี่ยวหู่ ชื่อจริงเขาให้ปู่ทวดเขาตั้งอยู่”
“ทำไมถึงชื่อเสี่ยวหู่ล่ะ” โจวลี่หรงนั่งอยู่บนม้านั่งข้าง ๆ ได้ยิน เมื่อได้ยินหลินเซี่ยพูด หล่อนก็ขมวดคิ้ว
เห็นได้ชัดว่าหล่อนไม่พอใจกับชื่อนี้
ถึงจะเป็นแค่ชื่อเล่น แต่ก็ดูไม่ค่อยจะเหมาะ
อันดับแรก หลานชายของหล่อนไม่ได้เกิดปีขาล
ชื่อนี้ฟังแล้วก็รู้ว่าตั้งมาให้คล้องกับชื่อของหู่จือ
จำเป็นด้วยเหรอ?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พอเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมคนอื่นๆ ถึงถอยหนีจากโจวลี่หรงกันหมด เป็นเพราะบุคลิกที่แข็งกร้าวยอมคนไม่เป็นแล้วยังเจ้ากี้เจ้าการเกินไปจนก้าวก่ายพื้นที่ส่วนตัวคนอื่นนี่เอง แต่บางเรื่องก็ถูกของหล่อนนะ อย่างเรื่องที่รักษาสุขอนามัยเนี่ย
ไหหม่า(海馬)
…………….