ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 690 พ่อของเขาตายไปแล้วหรือ?
ตอนที่ 690 พ่อของเขาตายไปแล้วหรือ?
……….
ตอนที่ 690 พ่อของเขาตายไปแล้วหรือ?
เซี่ยหลานรู้สึกปลอดโปร่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ก็จริง ทุกคนยังมีชีวิตอยู่ ทำไมหล่อนจะเล่าให้ลูกชายฟังไม่ได้
“เอาอย่างนี้เถอะ คืนนี้ฉันกับหมอเย่จะคุยกับหลานในเรื่องพวกนี้เอง แกอย่าเพิ่งเข้ามายุ่ง เอาไว้รอฟังข่าวดีดีกว่า เพราะขณะที่สารภาพแกน่าจะร้องห่มร้องไห้จนพูดจาไม่ชัดถ้อยชัดคำเสียก่อน”
ผู้เฒ่าเซี่ยขบคิดถี่ถ้วนแล้ว เขากับหมอเย่ที่มองเรื่องนี้มาตลอดเหมาะกับการเล่าเรื่องนี้ให้เสิ่นอวี้หลงฟังที่สุด
ถ้าให้เซี่ยหลานเล่า หล่อนจะเผลอใส่อารมณ์และความคิดเห็นส่วนตัวลงไป
“จะเอาอย่างนั้นหรือคะ” เซี่ยหลานถามผู้เป็นพ่ออย่างไม่ค่อยมั่นใจ
ผู้เฒ่าเซี่ยทำหน้าเข้มพลางเอ่ย “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ แกไม่เชื่อใจฉันกับหมอเย่หรือไง พวกเราอาบน้ำร้อนมาก่อนในหลายต่อหลายเรื่องแล้ว เราจะไปคิดร้ายกับแกได้ยังไง”
พอเห็นพ่อผู้ชราไม่พอใจ เซี่ยหลานก็ไม่กล้าพูดอะไรแล้ว
ผู้เฒ่าเซี่ยมองหมอแผนจีนเย่อย่างขอความเห็นว่า “หมอเย่ โปรดเมตตาช่วยหลานสาวคนนี้ด้วยเถอะ ด้วยสภาพหล่อนตอนนี้จะเล่าเรื่องราวให้กระจ่างได้ยังไง หล่อนต้องร้องไห้ฟูมฟายจนพูดไม่ออกแน่ๆ อย่าให้แม่ลูกคู่นี้ต้องน้ำตาท่วมจนเป็นลมไปก่อนที่จะรู้เรื่องราวโดยกระจ่างเลย”
หมอแผนจีนเย่สนิทสนมกับเซี่ยหลานและเสิ่นอวี้หลงมานานแล้ว ทั้งจริงใจและเอ็นดูพวกเขาเหมือนลูกหลานของตนเอง
พอผู้เฒ่าเซี่ยพูดแบบนั้น เขาก็เกิดความสงสาร หันไปบอกเซี่ยหลานว่า “ได้สิๆ เรื่องนี้ไม่ต้องกังวลแล้ว กลับบ้านไปพักผ่อนซะเถอะ คืนนี้เราจะคุยกับเขาเอง เธอกลับไปจัดการเรื่องที่บ้านซะ พรุ่งนี้เที่ยงค่อยมารับลูกก็พอ”
พอหมอเย่สัญญาว่าจะช่วย เซี่ยหลานก็เบาใจขึ้น
มีสองชายชราผู้เฉลียวฉลาดและมีประสบการณ์ในชีวิตคุยเรื่องนี้กับอวี้หลง หล่อนก็วางใจ
แม้ว่าอวี้หลงอาจจะตกใจจนร่างกายรับไม่ไหว แต่เมื่อมีหมอเย่อยู่ข้างๆ หล่อนก็ไม่ต้องกังวล
“ตกลงค่ะ ฉันจะไปบอกอวี้หลง แล้วจะรีบกลับมา”
เมื่อเซี่ยหลานมาถึงห้องของเสิ่นอวี้หลง ก็เห็นเสิ่นอวี้หลงใส่เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวเดียว กำลังนอนพิงหัวเตียงและอ่านหนังสือ
ผิวของเสิ่นอวี้หลงขาวซีด ผมสั้นทรงเหมาที่หลินเซี่ยตัดให้กับเสื้อเชิ้ตสีขาวที่เขาสวมใส่ ยิ่งทำให้เขาดูสะอาดสะอ้านและหล่อเหลา
หลังจากที่ร่างกายแข็งแรงขึ้น เสิ่นอวี้หลงก็ให้ความสำคัญกับการเรียนมากขึ้น เขาอ่านหนังสือที่คุณตาของเขานำมาให้อย่างตั้งใจทุกวันหลังจากการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ
หากมีคำถามที่ไม่เข้าใจ เขาจะจดไว้และรอถามคุณตา
ในทุกๆ วันที่เซี่ยหลานมาถึงหน้าห้องของเขา หล่อนจะปรับอารมณ์ของตัวเองให้ดีก่อน ยิ้มอย่างสดใส เพื่อไม่ให้ลูกชายรู้สึกกดดัน
หล่อนสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินเข้ามาพร้อมกับพูดว่า “อวี้หลง ยังอ่านหนังสืออยู่เหรอ”
เสิ่นอวี้หลงได้ยินเสียงแม่ เขาก็วางหนังสือลง
เขาถามเซี่ยหลานว่า “แม่ คุณตาตามหาแม่มีธุระอะไรหรือเปล่าครับ แล้วผมจะได้กลับบ้านเร็วๆ นี้ไหม เมื่อกี้หมอเย่บอกว่าผมฟื้นตัวได้ดีแล้ว”
เซี่ยหลานพยักหน้าพร้อมยิ้ม “ใช่จ้ะ ฟื้นตัวดีมาก คุณตาบอกว่าพรุ่งนี้เราจะกลับบ้านได้แล้ว ตอนนี้แม่ต้องรีบกลับไปเก็บกวาดบ้าน จัดห้องของให้เรียบร้อย พรุ่งนี้เที่ยงแม่จะมารับนะ”
เสิ่นอวี้หลงได้ยินข่าวนี้ก็ดีใจมาก
พออากาศอุ่นขึ้น เขารู้สึกว่าร่างกายของเขาก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่เริ่มเดินครั้งแรก ขาของเขาอ่อนแรงมากจนเดินแทบจะไม่ไหว แต่พี่เอ้อร์เลิ่งก็คอยประคองเขาไว้ เดินไปทีละก้าวแล้วก็ค่อยๆ เพิ่มจำนวนก้าวขึ้นเรื่อยๆ
ร่างกายก็ไม่สมดุล ด้านซ้ายไม่ค่อยคล่องตัว เดินเหมือนผู้ป่วยสมองพิการ
ตอนแรกเขาคิดว่าทั้งชีวิตต่อจากนี้คงเป็นแบบนี้
ทำให้รู้สึกท้อแท้สิ้นหวังอย่างยิ่ง
ต่อให้มีชีวิตอยู่ แต่กายพิการเหมือนคนสมองพิการ ให้เขาตายไปเสียยังจะดีกว่า
ช่วงนั้นเขาโวยวายกับแม่และตาทุกวัน บอกพวกท่านว่าทำไมไม่ให้เขาตายเสีย ทิ้งให้มีชีวิตอยู่เป็นภาระทำไม ให้อยู่มีเกียรติสักหน่อยก็ไม่ได้ กลายเป็นคนพิการเหมือนคนสมองพิการให้คนอื่นเขาดูถูก ดูหมิ่น เหยียบย่ำทั้งกายทั้งใจ
แรก ๆ เขาคิดว่านั่นคงเป็นแค่คำพูดปลอบใจของหมอเย่
คนเป็นอัมพาตครึ่งซีกไม่มีทางหายขาดหรอก
เหตุผลที่เขาต้องรักษาตัวอย่างต่อเนื่องในภายหลังนั้นก็เพราะว่า…
ในช่วงที่เขาหมดความมั่นใจมากที่สุด ท้อแท้ที่สุด ไม่มีความคิดที่จะลุกจากเตียงเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายอันยากลำบากนั้น น้าของเขาได้มาเยี่ยม ก่อนเอ่ยวาจาไม่น่าฟังทว่าเป็นเหตุเป็นผลอย่างยิ่งให้เขาฟัง
คุณน้าของเขาเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า มองเขาอย่างจริงจังและกล่าวว่า “เสิ่นอวี้หลง น้าแนะนำให้เธอพยายามสู้ดู คุณหมอเย่ให้เธอเวลาสามเดือน ถ้าสามเดือนผ่านไปแล้วเธอยังคงเป็นเหมือนคนพิการสมองก็ค่อยตัดสินใจว่าจะตายหรือจะอยู่ พวกเราจะได้ตัดใจได้ แต่ตอนนี้เธอต้องพยายามให้สมกับเป็นชายชาตรี อย่าสร้างความหนักใจให้คนอื่น ไม่เช่นนั้นถ้าเธอตายไป แม่ของเธอคงอยู่ไม่ได้ หล่อนเป็นพี่สาวของฉัน เธออาจจะไม่ห่วงหล่อน แต่พวกเราเป็นห่วงหล่อน”
อีกทั้งน้าของเขายังโยนหนังสือเรื่อง “เบ้าหลอมวีรชน*” ลงตรงหน้าเขาอย่างแรง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินจากไป
(*How steel was tempered หรือ Как закалялась сталь เป็นนวนิยายแนวสัจนิยมสังคมนิยมสมัยสหภาพโซเวียต ประพันธ์โดยนิโคไล ออร์ตรอฟสกี เนื้อเรื่องเล่าถึงตัวเอกอย่างพาเวล คอร์ชากิน ที่ต่อสู้กับสภาพทุพพลภาพของตัวเองจนกลับมามีกำลังใจแข็งแกร่ง)
เขาไม่อยากอ่านหนังสือเล่มนั้น แต่เอ้อร์เลิ่งก็นั่งอยู่ข้างเตียงของเขาและอ่านให้เขาฟัง
ซึ่งจะไม่ฟังก็ไม่ได้
เสิ่นอวี้หลงขณะนี้มองร่างกายของตัวเอง น้ำตาเอ่อล้นขึ้นมาอย่างกะทันหัน
เขาสามารถฟื้นตัวจนถึงขั้นนี้ได้ ก็เป็นเพราะหลายๆ คน
คุณหมอแผนจีนเย่กับคุณหมอเย่ไป๋ที่คอยให้การรักษา คุณแม่กับคุณตาที่ดูแลเขาอย่างดี พี่เอ้อร์เลิ่งก็คอยช่วยเหลือ แล้วก็ยังมีญาติๆ ทุกคนคอยให้กำลังใจอีก
สำหรับเขาแล้ว สามเดือนนี้เหมือนกับการต่อสู้ในสงครามแล้วชนะ
เขารู้สึกราวกับว่าตัวเองเป็นแม่ทัพผู้มีชัย
จากเด็กที่เป็นอัมพาตครึ่งซีกก็กลับมาเดินได้อีกครั้งเหมือนตอนที่ยังไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน
น่าเสียดายอย่างเดียวคือ ตลอดการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่มีสมาชิกคนไหนในครอบครัวของเขาเข้ามามีส่วนร่วมเลย
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าพ่อของเขายังมีชีวิตอยู่หรือว่าเสียชีวิตไปแล้ว
จริงๆ เขาก็เคยคิดเหมือนกันว่าบางทีอาจจะเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อของเขาจนถึงขั้นเสียชีวิตไปแล้วก็ได้
แม่ของเขากลัวว่าเขาจะรับความจริงไม่ไหว จึงไม่กล้าที่จะบอกความจริงกับเขา
นับตั้งแต่ที่เสิ่นอวี้หลงมีข้อสันนิษฐานเช่นนี้ในใจ เขาก็ไม่กล้าซักถามใครเกี่ยวกับพ่อของตนอีกเลย
ไม่กล้าถามอีกแล้วว่าพ่อเดินทางไปทำงานแล้วกลับมาหรือยัง
เพราะเหตุใดจนป่านนี้แล้วจึงยังไม่มาเยี่ยมตน
เขากลัวที่จะได้ยินคำตอบที่ทำให้ตนต้องเสียใจ
เขาสามารถหลบเลี่ยงได้วันต่อวัน
ตราบใดที่ไม่ถาม พวกเขาก็จะไม่บอก และเขาจะไม่ได้ต้องเผชิญกับความจริงที่โหดร้าย
จึงแกล้งทำเป็นรับรู้ว่าพ่อออกไปทำงานต่างเมืองจริงๆ และเฝ้ารอการกลับมาด้วยความหวังเต็มเปี่ยม
ยามนี้เมื่อได้ยินแม่บอกว่าพรุ่งนี้จะรักษาตัวเสร็จสิ้นและกลับบ้านได้ หัวใจของเสิ่นอวี้หลงก็พลอยสับสนและกังวล
ในด้านหนึ่ง เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ เริ่มต้นใช้ชีวิตแบบคนปกติได้แล้ว
แต่ในอีกด้านหนึ่งก็หมายความว่าเขาจะต้องเผชิญกับปัญหามากมาย
เขามองเซี่ยหลานและโบกมือ “แม่ กลับก่อนได้เลยนะครับ อย่ากลับดึกเกินไปเดี๋ยวอันตราย”
เซี่ยหลานได้ยินดังนั้นก็ลุกจากเก้าอี้ “ได้ งั้นแม่กลับก่อนนะ”
เดิมทีหล่อนคิดว่าหลังจากบอกเสิ่นอวี้หลงว่าจะกลับบ้านพรุ่งนี้ เขาจะต้องถามถึงเสิ่นเถี่ยจวิน
เขาจะต้องถามว่าพ่อของเขากลับมาหรือยัง จะมารับเขาหรือไม่
น่าแปลกใจคือ เขาไม่ได้ถามอะไรเลย
ผ่านมาแล้วสามเดือน เขาก็ไม่เคยถามอะไรเลย
หล่อนถึงกับไม่รู้จะบรรยายความกระวนกระวายที่ตนกำลังเผชิญอยู่ในทุกๆ วันอย่างไรดี
หล่อนรู้สึกเหมือนกำลังถูกทรมาน ยิ่งกว่าตายทั้งเป็น
ตอนนี้หล่อนจึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับชายชราสองคน
หวังว่าพวกเขาจะใช้ปัญญาและประสบการณ์ของพวกเขาในการให้คำแนะนำแก่ลูกชายของหล่อน เพื่อให้เขาสามารถยอมรับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ได้อย่างสงบ
เมื่อเซี่ยหลานออกไป เสิ่นอวี้หลงก็หุบยิ้มบนหน้าทันที มือที่โบกมือลาแม่ก็ค้างอยู่กลางอากาศ
เด็กหนุ่มลดเปลือกตาลง มองไปที่หนังสือตรงหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าแม่ของเขาจะต้องพูดอะไรกับเขาสักเล็กน้อย
แต่หล่อนกลับไม่พูดอะไรเลย
เสิ่นอวี้หลงจึงยิ่งรู้สึกแน่ใจในสิ่งที่เขาคาดเดามากยิ่งขึ้น
พ่อของเขาอาจจะ……..
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เอาใจช่วยสองผู้เฒ่าให้ค่อยๆ เล่าความจริงให้อวี้หลงรับได้นะคะ การทำให้คนไข้ยอมรับการสูญเสียได้มันเป็นเรื่องยากเหมือนกัน
ไหหม่า(海馬)
……….