ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 688 เขาไม่ใช่พ่อเลี้ยงของนายอีกแล้ว
ตอนที่ 688 เขาไม่ใช่พ่อเลี้ยงของนายอีกแล้ว
……….
ตอนที่ 688 เขาไม่ใช่พ่อเลี้ยงของนายอีกแล้ว
ครั้นเสิ่นอวี้หลงได้ยินการลำดับญาติของหลินเซี่ย ใบหน้าอ่อนเยาว์ของเขาจึงเผยความรู้สึกมากมาย
พี่สาวของเขาแต่งงานกับพี่ชายของอาเขยจริงหรือ?
เธอเก่งขนาดนี้เลยหรือ?
“สวัสดีครับคุณปู่เฉิน สวัสดีครับคุณอาเฉิน” เสิ่นอวี้หลงทักทายผู้เฒ่าเฉิน และเฉินเจิ้นเจียง หากจะเรียกเฉินเจียซิ่งว่าอาเขย เขาก็คิดได้ทันทีว่าแบบนี้ลำดับอาวุโสจะผิดเพี้ยนไปหรือไม่?
เขาเรียกพ่อตาของพี่สาวว่าคุณอาเฉิน แต่กลับเรียกเฉินเจียซิ่งว่าอาเขย นี่ไม่เท่ากับว่าพ่อกับลูกชายมีลำดับอาวุโสเดียวกันหรือ?
ในขณะที่เสิ่นอวี้หลงกำลังคิด หลินเซี่ยก็พูดขึ้นมา “อวี้หลง ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกเขาว่าอาเขยแล้ว”
เสิ่นอวี้หลงมองหลินเซี่ยด้วยความสับสน “แล้วจะให้เรียกว่าอะไรเหรอครับ?”
ไม่เรียกว่าอาเขย แล้วจะเรียกว่าอะไร?
“เสิ่นอวี้หลง เขาหย่ากันแล้ว” หลินเซี่ยครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนอธิบายให้เขาฟัง
เสิ่นอวี้หลงตกตะลึงไปเมื่อได้ยินข่าวนี้ “หย่าเหรอครับ?”
เขาไม่ได้ประหลาดใจเพราะคำว่าหย่าร้าง เพียงแต่นึกไม่ออกว่าเฉินเจียซิ่งกับเสิ่นเสี่ยวเหมยจะหย่ากันด้วยเรื่องอะไร
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับใครก็ไม่แปลก แต่การที่ทั้งคู่หย่าร้างกันนั้นช่างน่าฉงน
เขาจำได้ว่าตอนแรกเฉินเจียซิ่งเพียรพยายามจีบเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นอย่างมาก
อีกทั้งฝ่ายนั้นยังซื้อของขวัญให้เขาด้วย
ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุกับเขา พวกเขาทั้งสองเพิ่งจัดงานแต่งงานกัน นี่เพิ่งจะผ่านไปหนึ่งปี พวกเขาก็หย่ากันแล้ว
เสิ่นอวี้หลงจ้องมองเฉินเจียซิ่งด้วยตาลุกวาวและถามขึ้น “ตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ?”
เฉินเจียซิ่งกระแอมเบาๆ แล้วจึงลุกขึ้นตอบ “แยกทางกันเกือบปีแล้วล่ะ อวี้หลง พี่กับพี่สะใภ้ของนายไม่มีวาสนาต่อกัน แต่เราก็ยังเป็นญาติกันอยู่ นายก็เรียกพี่ว่าพี่รองตามพี่สาวนายก็แล้วกัน เห็นไหมล่ะ พอฉันหย่ากับเสิ่นเสี่ยวเหมย นายก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าอาเขยแล้ว เท่ากับว่าฉันแก่กว่านายแค่รุ่นเดียว ฮ่าๆ”
เฉินเจียซิ่งพยายามใช้น้ำเสียงสบายๆ แต่คำพูดของเขากลับไม่ได้ทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงเลย
เสิ่นอวี้หลงขมวดคิ้วและพูดว่า “พวกพี่นี่ทำอย่างกับว่าชีวิตสมรสเป็นเรื่องเล่นๆ”
ก่อนเกิดอุบัติเหตุ เสิ่นอวี้หลงก็เป็นหนุ่มน้อยวัยแรกรุ่นที่เพิ่งรู้จักความรัก เขาเฝ้าฝันถึงเรื่องราวความรักและความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความปรารถนา พอได้เห็นผู้ใหญ่เหล่านี้ตามหารักแท้ด้วยหัวใจที่จริงจัง ต่อสู้ฝ่าฟันทุกอย่าง แต่สุดท้ายหลังจากแต่งงานไม่นานก็แยกทางกัน หย่าร้างกัน เขาก็รู้สึกว่าความใฝ่ฝันในเรื่องความรักและการแต่งงานของเขาได้หายไปสิ้น
“ถ้าคนสองคนไม่เหมาะสมกัน มันก็จบลงได้”
ผู้เฒ่าเฉินถามด้วยความเป็นห่วงว่า “อวี้หลง ตอนนี้เธอรู้สึกไม่สบายตรงไหนไหม ถ้ารู้สึกไม่ดีต้องรีบบอกหมอเย่กับหมอแผนจีนเย่นะ ให้พวกเขาทำการรักษาเต็มที่ หมอแผนจีนเย่มีความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนเป็นเลิศ เรียกได้ว่าเป็นหมอเทวดาเลยทีเดียว เจียวั่งของฉันเองก็ได้รับการรักษาที่นี่ หากเธอมีความตั้งใจก็คงฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ แข็งแรงเหมือนเดิม และกลับไปเรียนได้เหมือนเดิมแน่”
เมื่อสบกับสายตาเปี่ยมด้วยความรักและความห่วงใยของผู้เฒ่าเฉิน เสิ่นอวี้หลงก็ตอบรับอย่างสุภาพ “ขอบคุณสำหรับกำลังใจครับคุณปู่เฉิน ผมจะพยายามครับ”
ทุกคนเยี่ยมเสิ่นอวี้หลงเสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เพราะกลัวว่าเขาจะเหนื่อยเกินไป ซึ่งหลินเซี่ยก็ติดตามพวกเขากลับบ้านด้วย
วันนี้เสิ่นอวี้หลงไม่ได้รับข่าวสารอะไรที่มีประโยชน์จากหลินเซี่ยเลย สิ่งเดียวที่เขาได้รู้ในวันนี้ก็คือคุณปู่ของเขาเป็นอัมพาตและไม่สามารถมาเยี่ยมเขาได้
หลินเซี่ยฉลาดกว่าแต่ก่อนมาก พูดจาไม่มีพิรุธใดๆ ซึ่งเสิ่นอวี้หลงก็เข้าใจว่านี่อาจเป็นเพราะพวกเขาอยากให้เขาสบายใจ
เขาจึงไม่ยึดติดกับการซักถามถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านอีกต่อไป แต่คิดว่าจะรักษาตัวให้หายดีเสียก่อน เมื่อร่างกายแข็งแรงและเคลื่อนไหวได้ด้วยตัวเองแล้ว ทุกอย่างก็จะกระจ่างชัดได้เอง
วันต่อมา เฉินเจียเหอก็พาหลินเซี่ยไปตรวจครรภ์ที่โรงพยาบาล
หลังจากที่ได้ทำการอัลตร้าซาวด์และตรวจร่างกายแล้ว หมอสูตินรีเวชก็แจ้งว่าเด็กตัวค่อนข้างใหญ่และให้ควบคุมอาหาร
หลังจากออกจากโรงพยาบาล หลินเซี่ยก็พูดถึงหมอแผนจีนเย่ด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง
หมอแผนจีนเย่ช่างมีสายตาเฉียบแหลมนัก
เพียงแค่ตรวจชีพจรด้วยการจับชีพจร ถามอาการ และวินิจฉัยโรค เขาก็สามารถบอกได้อย่างแม่นยำแล้ว น่าทึ่งมาก
เซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงที่ทำงานด้านอาหารต่างเสนอให้หลินเซี่ยกลับบ้านพัก แล้วตนจะเข้ามาดูแลเรื่องอาหารการกินของหลินเซี่ยด้วยตนเอง เพื่อจะได้ควบคุมโภชนาการให้สมดุลอย่างแท้จริง
เฉินเจียเหอที่กำลังยุ่งอยู่กับการทำงาน หากอยู่บ้านก็คงจะอยากพักผ่อนมากกว่า คงไม่สะดวกที่จะมาทำอาหารให้
ถ้าไปอยู่บ้านตระกูลเฉิน โจวลี่หรงก็ไปทำงาน จะให้คุณย่าเฉินมาดูแลก็คงจะเป็นไปไม่ได้
หลินเซี่ยคงเกรงใจ และก็ไม่อยากรบกวนพวกท่านด้วย
เมื่อเซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงรบเร้าแบบนั้น หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอจึงกลับไปอยู่ที่บ้านของหลินเซี่ยอีกครั้ง
ทุกสัปดาห์หลินเซี่ยจะสอนลูกศิษย์สามวัน โดยมีเฉินเจียเหอกับหลินจินซานสลับกันมาเป็นเพื่อน
เรื่องแต่งงานของหลินจินซานกับชุนฟางก็ตกลงกันลงตัวแล้ว แค่จัดพิธีหมั้นเล็กๆ สองครอบครัวมารับประทานอาหารด้วยกัน
พ่อแม่ของชุนฟางถึงแม้ว่าจะซื่อสัตย์ แต่ก็รู้ดีว่าเครือญาติไม่ค่อยดี จ้องจะหาเรื่องครอบครัวตนเพราะชุนฟางที่ได้สามีดี ฉะนั้นตอนที่หมั้นก็เลยไม่ประกาศให้ใครรู้
อีกทั้งไม่ได้เชิญญาติพี่น้องมามากนัก บอกว่าจะจัดงานตอนแต่งงาน
แต่ของหมั้นที่หลินจินซานต้องให้ชุนฟางก็ต้องมีครบถ้วน หลิวกุ้ยอิงจึงยัดเงินให้หลินจินซาน ให้พาชุนฟางไปซื้อแหวนทอง
ด้านหลินจินซานก็แสดงความจริงใจเต็มที่ ครอบครัวชุนฟางจึงมีความสุขกับว่าที่ลูกเขยคนนี้มาก
หลังจากที่หลินจินซานกับชุนฟางตกลงเรื่องแต่งงานกันแล้ว ชุนฟางก็ขยันทำงานมากยิ่งขึ้น
หลังจากที่หล่อนได้กลายมาเป็นคนในครอบครัวเดียวกันกับหลินเซี่ยแล้ว ความคิดของหล่อนก็เปลี่ยนไป
เมื่อก่อนคิดว่าตัวเองเป็นแค่ลูกจ้างรับเงินเดือน แต่ตอนนี้ร้านเป็นของหล่อนและน้องสะใภ้ นอกจากนี้หล่อนยังได้รับความไว้วางใจให้รับผิดชอบไม่เพียงแค่ธุรกิจร้านตัดผม แต่ยังมีบทบาทสำคัญในคลาสฝึกอบรมด้วย
หล่อนรู้สึกเหมือนได้พบกับบ้านที่แท้จริง
ในสายตาของหลินเซี่ย ชุนฟางทำงานอย่างเอาใจใส่ เมื่อนักเรียนกลุ่มนี้เรียนจบ หลินเซี่ยก็บอกว่าพวกเขาจะเริ่มเปิดสาขา
ถึงเวลานั้นจะให้ชุนฟางเลือกนักเรียนที่เอาจริงเอาจังและมีไหวพริบไปรับผิดชอบกิจการร้านใหม่
ส่วนร้านเดิมมีลูกค้าประจำอยู่แล้ว อาจารย์หวังรับผิดชอบได้ พวกเธอแวะเวียนมาสัปดาห์ละ 2 วันก็น่าจะพอ
ทุกคนต่างเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น เซี่ยไห่เปิดร้านคาราโอเกะในไห่เฉิงไปสี่สาขาภายในเวลาไม่กี่เดือน
หลังจากอาสะใภ้รองของเฉินเจียเหอกลับมาที่เมืองหนานเฉิงแล้ว หล่อนก็ติดต่อกับเซี่ยไห่อยู่เสมอ บอกว่าร้านค้าเตรียมพร้อมแล้ว และอยากร่วมมือกับเซี่ยไห่
ทุกคนไม่ค่อยชอบหน้าวังซูเฟินนัก โดยเฉพาะตอนที่หล่อนชอบเปรียบเทียบเฉินเจียเหอกับคนอื่น แถมยังเคยแนะนำเฉินเจียวั่งให้เป็นหลานเขยกับญาติฝั่งตนอีกด้วย
แต่เซี่ยไห่มีแผนที่จะขยายธุรกิจไปยังเมืองหนานเฉิง จึงได้ปรึกษากับหลินเซี่ย และตัดสินใจตอบตกลงกับวังซูเฟิน ตั้งใจว่าจะไปสำรวจที่ทางตรงนั้นดูสักหน่อย
เซี่ยไห่ระบุอย่างชัดเจนว่าตัวเองเป็นเพียงนักธุรกิจที่มองแค่ผลประโยชน์ ไม่ได้คำนึงถึงความสัมพันธ์
ไม่นานก็เข้าสู่ช่วงฤดูร้อนอันแสนร้อนระอุ หลินเซี่ยก็ใกล้จะคลอดแล้ว
เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงมารับด้วยตัวเอง พร้อมกับแสดงความขอโทษต่อครอบครัวหลิน เพราะที่จริงแล้วไม่ควรให้สะใภ้ไปดูแลครรภ์ที่บ้านเกิด
เป็นความผิดพลาดของพวกเขาเอง
เซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงดูแลหลินเซี่ยเป็นอย่างดี อาหารการกินก็เป็นไปตามคำสั่งหมอที่เย่ไป๋แนะนำมา
น้ำหนักตอนตั้งครรภ์ของเธอจึงไม่ได้เพิ่มขึ้น ส่วนทารกในครรภ์ก็มีสุขภาพแข็งแรงดี
“พ่อแม่สามีไม่ต้องพูดอย่างนั้นก็ได้ครับ หลินเซี่ยคือลูกสาวของเรา พวกเราต้องดูแลอยู่แล้ว พวกคุณทำงานกันหนัก พวกเราเข้าใจดี”
ช่วงนี้ร้านอาหารของเซี่ยเหลยกับหลิวกุ้ยอิงได้จ้างพ่อครัวเพิ่ม เลยทำให้ปริมาณงานของพวกเขาลดลงไปมาก สามารถผลัดกันมาทำอาหารให้ลูกสาวได้
ช่วงนี้จึงกลายเป็นเวลาที่พวกเขามีความสุขและสบายใจมากที่สุด
โดยเฉพาะเซี่ยเหลยที่ทำอะไรให้ลูกสาวได้บ้างก็มีความสุขจากใจจริง
โจวลี่หรงบอกกับเซี่ยเหลยว่า “ฉันเกษียณแล้ว ต่อไปก็จะดูแลหลินเซี่ยกับหลานได้อย่างสบายใจแล้วล่ะ”
“เกษียณแล้วเหรอ”
โจวลี่หรงยิ้มพลางพยักหน้า “ใช่ ลาออกก่อนเกษียณ เพื่อให้คนหนุ่มคนสาวได้เลื่อนขั้น”
โจวลี่หรงกำลังจะเกษียณในอีกสองปี แต่หลังจากปรึกษากับเฉินเจียเหอและพิจารณาถึงสถานการณ์ต่างๆ ในหน่วยงานแล้ว หล่อนจึงตัดสินใจลาออกก่อนเกษียณ
หลังจากที่หลินเซี่ยคลอดลูก ถ้าให้ครอบครัวทางแม่มาดูแลตอนอยู่เดือนก็คงจะดูไม่ดี
เป็นเพราะความผิดพลาดของตัวเองในอดีต หู่จือจึงไม่ค่อยสนิทสนมกับหล่อน ถ้าหลังจากที่หลินเซี่ยคลอดลูกแล้วหล่อนยังไม่ช่วยเหลืออะไรเลย ต่อไปหลานชายแท้ๆ ก็คงจะไม่สนิทกับหล่อนแน่ๆ
คนแก่ก็มักจะคาดหวังให้คนรุ่นหลังได้คอยดูแล โจวลี่หรงเองก็คิดเช่นนั้น หล่อนคิดว่าถ้ายังไม่ลงมือทำอะไรเลย แก่ตัวไปก็คงจะเหงาตายอยู่เพียงลำพังเป็นแน่
อีกเรื่องก็คือ ถ้าหล่อนเกษียณมาดูแลลูกสะใภ้และหลานชาย เฉินเจียเหอก็จะได้ทำงานอย่างสบายใจ
เซี่ยเหลยยิ้มพูด “ดีมากเลยครับ บำเพ็ญประโยชน์เพื่อประชาชนมากว่าครึ่งชีวิตแล้ว ก็ควรได้พักผ่อนบ้าง”
หลินเซี่ยและเฉินเจียเหอได้ยินข่าวนี้ก็รู้สึกประหลาดใจมาก เพราะโจวลี่หรงไม่เคยพูดถึงเรื่องจะลาออกก่อนเกษียณมาก่อนเลย
จู่ๆ ก็มาบอกอย่างนี้
ในใจของหลินเซี่ยก็เกิดความรู้สึกกดดันขึ้นมายามคิดว่าแม่สามีของเธอลาออกก่อนเกษียณเพื่อมาดูแลเธอ พลางคิดว่ามันไม่มีความจำเป็นขนาดนั้น
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ตอนเจียซิ่งยังไม่หย่ากับยัยเสี่ยวเหมยก็คือลำดับญาติกันสนุกล่ะ
เซี่ยเซี่ยไม่ต้องกดดันนะ ถือว่าแม่สามีกำลังปรับปรุงตัวเองอยู่
ไหหม่า(海馬)
……….