ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 686 คนเราต้องพบเจอวิกฤตครั้งใหญ่ถึงจะพัฒนาตัวเองได้
- Home
- ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80
- ตอนที่ 686 คนเราต้องพบเจอวิกฤตครั้งใหญ่ถึงจะพัฒนาตัวเองได้
ตอนที่ 686 คนเราต้องพบเจอวิกฤตครั้งใหญ่ถึงจะพัฒนาตัวเองได้
……….
ตอนที่ 686 คนเราต้องพบเจอวิกฤตครั้งใหญ่ถึงจะพัฒนาตัวเองได้
เมื่อหลินเซี่ยเอ่ยถึงเรื่องแต่งงานขึ้น เสิ่นอวี้หลงก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอีกครั้ง พลางมองเฉินเจียเหอด้วยสายตาที่แสดงความรังเกียจอย่างปิดไม่มิด
ชายหนุ่มคนนี้ดูดีก็จริง แต่ก็มีภาระติดตัวมาด้วย ต่อให้หลานชายคนนั้นจะช่างประจบ แต่เขาก็เป็นลูกของผู้หญิงคนอื่นอยู่ดี
และที่สำคัญคือหลานชายคนนั้นอายุหกขวบแล้ว ในขณะที่พี่สาวตนเองเพิ่งจะยี่สิบกว่าๆเท่านั้น อายุห่างกันแค่สิบสี่สิบห้าปีเอง แล้วพี่สาวเขาก็กลายเป็นแม่คน ฟังดูแล้วก็พิกลนัก
การแต่งงานกับชายที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักหากมีการพูดถึง แต่พี่สาวของเขากลับดูมีความสุขดีในฐานะแม่เลี้ยง
ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของเขายินยอมให้หมั้นหมายกันได้อย่างไร
ยิ่งเสิ่นอวี้หลงนึกถึงเรื่องเฉินเจียเหอมีลูกติดอยู่ เขาก็ยิ่งมองเฉินเจียเหอด้วยสายตาที่เหมือนเขาเป็นตัวประหลาด
ทำไมผู้ชายคนนี้ถึงดีกับพี่สาวของเขาขนาดนั้น จนถึงขั้นแต่งงานกับเธอ
ผู้ชายที่มีลูกติดแบบเขา หากจะหาภรรยาใหม่ก็คงจะเป็นเรื่องยาก พี่สาวเขาก็ช่างไร้เดียงสา เจอหน้าหนุ่มหล่อพูดคำหวานสองสามคำก็หลงเขาไปเสียง่ายๆ
เฉินเจียเหอรู้สึกได้ว่าสายตาของน้องเขยเปลี่ยนไปอีกแล้ว ติดที่ตอนนี้เสิ่นอวี้หลงกำลังป่วย ดังนั้นเขาควรจะอดทน
เขาจึงเบาเสียงลงแล้วพูดว่า “เซี่ยเซี่ย ผมจะไปดูหน่อยนะว่าหมอเย่ตรวจเสร็จหรือยัง จะได้พาคุณไปวัดชีพจร”
พูดจบ เฉินเจียเหอก็เดินออกไป
หลินเซี่ยจึงพูดปลอบว่า “อวี้หลง อย่ามองพี่เขยนายแบบนั้นสิ เขาเป็นคนดี”
“ที่บ้านยอมให้พี่แต่งงานกับเขาได้ยังไง ทั้งที่พ่อกับปู่กลัวจะเสียหน้ายิ่งกว่าอะไรดี พวกเขายอมเหรอที่พี่แต่งงานกับพ่อม่ายลูกติด”
เมื่อพูดถึงเสิ่นเถี่ยจวินกับผู้เฒ่าเสิ่น สีหน้าหลินเซี่ยก็เคร่งขรึมลง แต่ก็กลับมาเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว พูดปนหัวเราะว่า “เดี๋ยวนี้เขาให้แต่งงานตามใจชอบกันแล้วนะ อีกอย่างพี่เขยนายก็เก่งมากเลยนะ เขาเป็นหัวหน้าช่างของโรงงานผลิตรถยนต์ เป็นวิศวกร ใครๆต่างก็เคารพเขา”
เสิ่นอวี้หลงบ่น “ก็แค่ผู้ชายที่แต่งงานรอบที่สอง”
ต่อให้อีกฝ่ายจะดูดี แต่เสิ่นอวี้หลงที่ยังอยู่ในช่วงวัยรุ่นก็ยังหวังจะได้รักกับคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน
เด็กหนุ่มผู้บริสุทธิ์ไร้เดียงสาคิดไม่ออกเลยว่าหากเป็นตัวเขาเองที่ต้องแต่งงานกับคนที่อายุมากกว่าตน ทั้งยังเคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว ตัวเขาเองจะรู้สึกอย่างไร
“โอ้”
เสิ่นอวี้หลงเบ้ปาก ไม่พูดอะไรต่อ
“พี่ไปเยี่ยมคุณปู่แล้วหรือยัง” เสิ่นอวี้หลงถามขึ้นมาอีกครั้งทันใด
การถามขึ้นมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยของเขาทำให้หลินเซี่ยสับสนเล็กน้อย
คุณปู่ที่เสิ่นอวี้หลงพูดถึงนั้นได้หายหน้าหายตาไปจากชีวิตของหล่อนนานเกินกว่าที่เธอจะนึกออกว่าเป็นใคร
เมื่อเห็นเธอไม่ได้ตอบ เสิ่นอวี้หลงจึงถามต่ออีก
“แล้วทำไมคุณปู่จึงกลายเป็นอัมพาตได้?”
อัมพาต?
หลินเซี่ยอุทานเบาๆ พลางคิด คำว่าอัมพาตนั้นน่าจะเป็นคำที่เซี่ยหลานพูดเพื่อไม่ให้อวี้หลงสงสัย ง่ายๆคือกำลังหลอกอวี้หลง
สีหน้าของเธอเคร่งเครียดขึ้น ลดเปลือกตาลงและเอ่ย
เสิ่นอวี้หลงยังคงซักไซ้อย่างห่วงใย “แล้วตอนนี้ใครดูแลคุณปู่ คุณป้าเสี่ยวเหมยเหรอ?”
“เหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะ” หลินเซี่ยตามน้ำไป “ตั้งแต่เล็กคุณปู่ก็รักเสิ่นเสี่ยวเหมยมาก พอแก่ตัวลงก็ต้องพึ่งพาเสิ่นเสี่ยวเหมยในเรื่องการดูแลยามชรา นายไม่ต้องกังวลอะไร รีบรักษาสุขภาพตัวเองให้แข็งแรงก่อน”
เสิ่นอวี้หลงเห็นว่าหลินเซี่ยไม่อยากพูดถึงเรื่องคุณปู่นัก เขาอืมขึ้นมาหนึ่งเสียง แล้วก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้ต่อ
เมื่อก่อนเสิ่นเสี่ยวเหมยชอบแกล้งพี่สาวของเขา คุณปู่ก็มักจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
ดังนั้นพี่สาวก็เลยไม่ค่อยมีความทรงจำดีๆ กับคุณปู่มากนัก ตอนนี้หล่อนแต่งงานแล้ว คงยิ่งเฉยชามากขึ้นกว่าเดิม
“พี่ ผมขอโทษนะ” เสิ่นอวี้หลงก้มหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็พูดขึ้นมาเสียงอ่อยๆ
ใบหน้าซีดเซียวของเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกผิด สีหน้าที่แสดงออกอย่างกะทันหันของเขาทำให้หลินเซี่ยตามไม่ทันจริงๆ
นี่จะมาไม้ไหนอีกเนี่ย
หลินเซี่ยมีสีหน้ายิ้มแย้ม ถามอย่างระมัดระวัง “อวี้หลง นายขอโทษเรื่องอะไร”
ตั้งแต่เสิ่นอวี้หลงตื่นขึ้นมา พวกเขาก็เจอกันไมกี่ครั้ง
เสิ่นอวี้หลงกัดฟันสูดลมหายใจ เงยหน้าขึ้นมองหลินเซี่ย แล้วพูดว่า “พี่ครับ เมื่อก่อนผมเป็นน้องชายที่ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ปกป้องพี่ให้ดี แถมยังทะเลาะกับพี่บ่อยๆ พี่อย่าโกรธผมเลยนะครับ”
หลังจากที่เสิ่นอวี้หลงเผชิญความเป็นความตายแล้ว พอฟื้นขึ้นมาได้ก็มีจิตใจที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกหลายเท่าเหมือนกับว่าเติบโตขึ้นมาในทันที
เขามองพี่สาวที่กำลังตั้งครรภ์มาเฝ้าดูแลเขาอย่างใกล้ชิด คอยเป็นห่วงเขา คอยให้กำลังใจเขา
ได้ยินมาว่าตอนที่เขานอนหลับไม่ได้สติ เธอมักจะมาอยู่เป็นเพื่อน คอยพูดคุย รวมถึงซื้อเครื่องเล่นเทปมาให้ พลางเปิดเพลงที่เขาชอบฟังเมื่อก่อน หาวิธีต่างๆ นานาเพื่อจะปลุกเขาให้ตื่นขึ้นมา
สิ่งเหล่านี้ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจ ตอนนี้เมื่อมองหลินเซี่ย จมูกของเขาก็รู้สึกแสบขึ้นมา เมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย ทั้งการกระทำต่างๆ ของตัวเองแล้วก็รู้สึกเสียใจ
เสิ่นอวี้หลงกำลังรู้สึกผิดต่อหลินเซี่ย
แต่ก่อนเป็นเพราะว่าคุณปู่กับคุณพ่อไม่ค่อยชอบพี่สาวของเขา บวกกับพี่สาวของเขาก็ค่อนข้างไม่ได้เรื่อง เรียนไม่เก่ง ป้าเสี่ยวเหม่ยก็ไม่ค่อยชอบเธอ นานวันเข้า เขาจึงได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้าง เริ่มรังเกียจหลินเซี่ย คิดว่าการที่ทุกคนไม่ชอบเธอแสดงว่าเธอเป็นคนแย่ ไม่เอาไหน
เขานอนป่วยมาแรมปี ครอบครัวก็ยังดูแลไม่ทอดทิ้ง ยืนกรานไม่ยอมปล่อยมือจากเขา ทำให้เขามีโอกาสได้ชีวิตใหม่
แต่พวกเขากลับรังเกียจเธอเพียงเพราะเธอเรียนไม่ดี ทำร้ายจิตใจเธอด้วยถ้อยคำเสียดสี เย้ยหยัน ดูถูกเธอต่างๆ นานา
ในฐานะญาติ การกระทำเช่นนั้นถือเป็นทำร้ายจิตใจที่สุด
“พี่ ผมไม่ดีเอง ผมเอาแต่ใจไปหน่อย อย่าโกรธผมเลยนะ”
พอเสิ่นอวี้หลงอธิบายอย่างนี้ หลินเซี่ยถึงได้เข้าใจสาเหตุที่เขาขอโทษ
ที่แท้ก็เพราะเรื่องในอดีต
หลินเซี่ยได้รับชีวิตใหม่ เรื่องที่เสิ่นอวี้หลงพูดถึงจึงกลายเป็นเพียงเรื่องในอดีตชาติไปแล้ว
อีกอย่าง เสิ่นอวี้หลงก็ไม่ได้ทำอะไรเธอ
น้องชายและพี่สาวที่ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาด้วยกัน ความสัมพันธ์จึงไม่ลึกซึ้งเท่าไร แถมผู้เฒ่าเสิ่นยังเอาใจใส่เสิ่นอวี้หลงมาก เสิ่นอวี้หลงจึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้เฒ่าเสิ่น
ผู้เฒ่าเสิ่นและเสิ่นเสี่ยวเหมยดุด่าและรังเกียจเธอมาก เสิ่นอวี้หลงในตอนแรกก็คอยช่วยเธอเป็นครั้งคราว แต่หลังๆ ก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น
ตั้งแต่เด็ก เสิ่นอวี้หลงก็เก่งในด้านการเรียนมาโดยตลอด บางทีเขาอาจจะรังเกียจเธอ รู้สึกผิดหวังในตัวเธอจากใจจริง
เมื่อเทียบกับพฤติกรรมของเสิ่นเถี่ยจวิน เรื่องของเสิ่นอวี้หลงนับว่าเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น ชาติก่อนเสิ่นอวี้หลงก็ประสบอุบัติเหตุและไม่เคยตื่นขึ้นมาอีกเลย
หลินเซี่ยเอื้อมมือไปขยี้หัวเขา พลางหัวเราะ “เด็กโง่ พูดอะไรน่ะ เราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ ตอนเด็กเรายังไม่เดียงสาจะมีกระทบกระทั่งกันบ้างก็ไม่แปลก พี่น้องกันไม่ทะเลาะไม่งอนกันมันจะปกติได้ไง”
สีหน้าของหลินเซี่ยเต็มไปด้วยความรักและเอ็นดู เสิ่นอวี้หลงรู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก
เขาดีใจที่ตื่นขึ้นมาแล้วได้เห็นพี่สาวของเขามีการเปลี่ยนแปลงแบบนี้
ดีใจที่เธอไม่ได้ติดใจเรื่องในอดีต และยังคงห่วงใยเขาเหมือนเดิม
แม้จะซาบซึ้งใจ เสิ่นอวี้หลงก็ยังมีข้อสงสัยอยู่มาก
เขาอยากจะถามไถ่ถึงคนในบ้าน แต่เห็นได้ชัดว่าหลินเซี่ยไม่ค่อยเต็มใจที่จะพูดถึงคุณปู่กับเสิ่นเสี่ยวเหมย
มองออกว่าพี่สาวของเขาไม่ใช่คนเดิมที่สามารถยั่วยุให้พูดอะไรก็ได้อีกแล้ว
เขาคงถามอะไรไม่ได้
“พี่ แล้วความสัมพันธ์กับเสิ่นเสี่ยวเหมยเป็นไงบ้าง หล่อนยังดุด่าพี่อยู่ไหม”
เสิ่นอวี้หลงพูดถึงเสิ่นเสี่ยวเหมยอีกแล้ว
อารมณ์ของหลินเซี่ยยังคงเหมือนเดิม เธอตอบแบบขอไปที “ฉันกับหล่อนไม่ได้มีอะไรกัน หล่อนไม่กล้าด่าฉันหรอก”
หล่อนติดคุกแล้ว ทำได้มากที่สุดก็แค่สาปแช่งเธอในคุก ซึ่งเธอไม่ได้ยินอยู่แล้ว จึงไม่ได้เดือนร้อนอะไร
เสิ่นอวี้หลงตอบรับ “อ๋อ” พอเห็นหลินเซี่ยพูดถึงเสิ่นเสี่ยวเหมยแล้วมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาก็รู้ตัวและรีบเปลี่ยนเรื่อง
พี่น้องคู่นี้เงียบไปพักหนึ่ง
สิ่งเดียวที่เขาแน่ใจตอนนี้ก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่างหลินเซี่ยกับคุณปู่และเสิ่นเสี่ยวเหมยยังคงย่ำแย่อยู่
เสิ่นอวี้หลง ไม่รู้จะถามอะไรต่อแล้ว
หลินเซี่ยมองเด็กหนุ่มที่หลับตาพริ้ม นั่งนิ่งอยู่กับที่แล้วพูดว่า “อวี้หลงเหนื่อยไหม นอนพักสักหน่อยเถอะ”
“ครับ”
หลินเซี่ยช่วยพยุงเขานอนราบลง ด้วยความที่กลัวเสิ่นอวี้หลงจะนอนไม่สบาย เธอจึงไม่กล้าขยับมาก
เสิ่นอวี้หลงที่กำลังจะหลับ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่เฉินเจียเหอเข้ามาพอดี
เฉินเจียเหอเดินเข้ามาประคองเสิ่นอวี้หลงนอนลง จากนั้นหันไปทางหลินเซี่ยแล้วพูดว่า “เซี่ยเซี่ย หมอเย่เสร็จธุระแล้ว ไปให้เขาตรวจชีพจรให้เถอะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เห็นอวี้หลงคิดได้แบบนี้ก็ดีใจ อย่างน้อยก็เป็นหนึ่งในตระกูลเสิ่นที่ยังใช้ได้
ไหหม่า(海馬)
……….