ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 - ตอนที่ 371 เรียกอารอง
ตอนที่ 371 เรียกอารอง
ตอนที่ 371 เรียกอารอง
วันรุ่งขึ้น เมื่อเซี่ยเหลยลืมตาขึ้น เขาก็เห็นหลิวกุ้ยอิงและแม่ของเขานั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียง
เซี่ยเหลยรู้สึกสับสนอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ยกมือขึ้นลูบหัวที่ปวดแปลบของตัวเองและลุกขึ้นนั่ง
“เสี่ยวเหลย ตื่นแล้วเหรอลูก?”
คุณแม่เซี่ยกลัวว่าเขาจะลืมเรื่องทั้งหมดหลังจากนอนหลับไป จึงถามอย่างรีบร้อนและเป็นกังวลว่า “เสี่ยวเหลย รู้สึกยังไงบ้าง? ยังจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ได้อยู่ไหม?”
“แม่ ผมจำได้แล้ว แต่ความทรงจำทั้งหมดยังกลับมาไม่หมด หลาย ๆ เหตุการณ์ยังคลุมเครือมาก”
หลังจากที่เซี่ยเหลยพูดจบ เขาก็มองไปที่หลิวกุ้ยอิง “ถึงอย่างนั้น รูปร่างหน้าตาของอิงจื่อกลับเด่นชัดกว่าวันไหน ๆ”
เมื่อเซี่ยเหลยพูดแบบนี้ คุณแม่เซี่ยและหลิวกุ้ยอิงก็รู้สึกสบายใจ
เซี่ยเหลยมองไปที่หลิวกุ้ยอิงและถามเบา ๆ “เมื่อคืนอิงจื่อไม่ได้กลับบ้านเลยเหรอ?”
หญิงชราตอบแทน
“ลูกสาวและลูกเขยของลูกยังไม่กลับไปเหมือนกัน พวกเขาทุกคนคอยอยู่ดูอาการของลูก”
หัวของเซี่ยเหลยไม่เจ็บแทบระเบิดเท่าเมื่อคืนนี้ ความทรงจำมากมายเริ่มชัดเจนขึ้น
เขามองไปที่หลิวกุ้ยอิงในเวลานี้ ยอมรับความจริงที่ว่าหล่อนเป็นอดีตคนรักของเขา และอีกฝ่ายได้คลอดลูกสาวให้เขาคนหนึ่ง
เซี่ยอวี่และหลินเซี่ยตื่นมาเข้าครัวทำอาหารแต่เช้า เมื่อได้ยินว่าพ่อของเธอตื่นแล้ว หลินเซี่ยก็รีบไปหาเขาทันที
เธอยังเรียกเขาว่าพ่ออย่างไพเราะอีกด้วย
เซี่ยเหลยมองดูลูกสาวของเขาอย่างพิจารณา หัวใจของเขาแทบหลอมละลายเมื่อได้ยินเธอเรียกว่า ‘พ่อ’
แม้ว่าก่อนหน้านี้หลังจากที่จิตใต้สำนึกของเขาเริ่มคาดเดาความเชื่อมโยงทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เขาได้สร้างอุดมการณ์บางอย่างขึ้นในใจแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อได้ยินลูกสาวเรียกตัวเองว่าพ่อ เขาก็ยังรู้สึกเศร้าและสะเทือนใจมาก
ดูเหมือนเขานอนสลบไสลไปนานยี่สิบปี เมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ลูกสาวของเขาก็อายุยี่สิบ แถมยังแต่งงานแล้ว
หลายปีที่ผ่านมา เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเธอมีตัวตนอยู่บนโลก เขาไม่เคยลงทุนอะไรเลยที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพการดำรงชีพของเธอ
เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าหลิวกุ้ยอิงซึ่งเป็นเด็กสาวตัวคนเดียวในยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนผ่าน จะต้องเผชิญกับความสับสนและหวาดกลัวเพียงใดหลังจากตั้งท้องโดยไม่มีพ่อ
เขาคิดถึงความทุกข์ทรมานของหลิวกุ้ยอิงสลับกับมองลูกสาวที่หน้าตาสะสวยและเติบโตมาอย่างดีตรงหน้า ไม่รู้ว่าเขาเสียใจแค่ไหนหลังได้รับการกระตุ้นหลังจากดื่มในคืนนั้น แต่เขาควรจะรู้สึกขอบคุณที่ครั้งหนึ่งเขาและหลิวกุ้ยอิงเคยมีหัวใจที่ตรงกัน
ทันทีที่เฉินเจียเหอเข้ามา เขาก็เรียกว่า ‘พ่อ’ ตอกย้ำอีกครั้ง โดยที่ไม่มีความรู้สึกกระดากปากใด ๆ
เมื่อทั้งครอบครัวนั่งรับประทานอาหารเช้าด้วยกัน เซี่ยไห่พูดกับเฉินเจียเหอและหลินเซี่ยว่า “ในเมื่อจดจำกันและกันได้แล้ว เราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเธอยังไม่คิดจะเรียกฉันว่าอารองอีกเหรอ?”
ที่ผ่านมา เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยได้เปลี่ยนคำเรียกต่อสมาชิกทุกคนในครอบครัวแล้ว ยกเว้นเขาเพียงคนเดียว
ตอนที่หลินเซี่ยได้รับผลการระบุตัวตนเมื่อบ่ายวานนี้ เธอรู้สึกตื่นเต้นมาก จนเผลอเรียกเขาว่าอารองออกมา
แต่สิ่งสำคัญมากคือเธอควรยอมรับตัวตนของเขาต่อสาธารณะและต่อหน้าทุกคนในบ้าน
โดยเฉพาะเฉินเจียเหอที่หลีกเลี่ยงการเรียกเขาด้วยคำๆ นั้นมาตลอด
พวกเขาเคยเป็นสหายพี่น้องกัน แต่ตอนนี้เขากลายเป็นอาเขยแล้ว เขายังหวังว่าเฉินเจียเหอจะเคารพตนเองด้วยสถานะที่ถูกต้อง เพื่อที่ต่อไปนี้เขาจะได้รับความเกรงใจ
“ค่ะ อารอง” หลินเซี่ยสบตากับชายคนนั้น และร้องเรียกเขาอย่างเต็มปากเต็มคำด้วยความยินดี
เซี่ยไห่พอใจกับสรรพนามนี้มาก ตอบรับด้วยความตื่นเต้น “อืม”
เขาพูดกับแม่ผู้ชราของเขา “แม่ เราควรเตรียมอั่งเปาไว้ให้เซี่ยเซี่ยหรือเปล่า? ไหนจะค่าธรรมเนียมในการขอเอกสารตรวจพิสูจน์ตัวตนอีกล่ะ”
เมื่อหญิงชรากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง หลินเซี่ยก็รีบโบกมือและปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอกค่ะ พวกคุณเป็นครอบครัวแท้ ๆ ของฉัน ไม่ใช่ครอบครัวฝั่งสามีซะหน่อย ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าธรรมเนียมอะไรเลย”
พูดไปแล้วหลินเซี่ยก็กลัวว่าพวกเขาจะหาเรื่องจ่ายอั่งเปาเป็นค่าฉลองการแต่งงาน ดังนั้นเธอจึงหยิบชามโจ๊กขึ้นมากินรวดเดียวจนหมด และพูดกับเฉินเจียเหอว่า “กินเร็วเข้าค่ะ เดี๋ยวเราไปทำงานสาย”
เซี่ยไห่พูดอย่างเร่งรีบ “ทำไมถึงรีบร้อนนักล่ะ? เจียเหอยังไม่ได้เรียกฉันว่าอารองเลยนะ”
เฉินเจียเหอเผชิญกับสายตาที่กระตือรือร้นและเต็มไปด้วยความคาดหวังของเซี่ยไห่ จนอดกลืนคำนั้นลงคอไปไม่ได้
เขาสามารถเปลี่ยนคำเรียกต่อคนอื่นได้โดยไม่รู้สึกกดดันทางจิตใจ แต่มันยากจริง ๆ สำหรับเขาที่จะเปลี่ยนมาเรียกพี่ชายคนสนิทว่าอารอง
อย่างไรก็ตาม สถานะของเขาก็เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ เขายังคงเป็นอารองของเซี่ยเซี่ย
นับจากนี้ไปเขาจะเรียกอีกฝ่ายว่าเหล่าเซี่ยไม่ได้อีกแล้ว เพราะมันออกจะล้ำเส้นความอาวุโสเกินไปหน่อย
เมื่อเห็นว่าเฉินเจียเหอยังคงลังเลที่จะพูด คุณแม่เซี่ยและเซี่ยเหลยต่างก็มองมาที่เขา
เฉินเจียเหอถูกผลักให้จนมุม ในที่สุก็ยอมเรียกเซี่ยไห่ว่าอารอง
หลังจากเอ่ยปากเรียก ใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ
กระดากปากไปหมด
เซี่ยไห่รู้สึกตื่นเต้นมาก ตอบรับว่าอืมสองครั้งติดต่อกัน
เฉินเจียเหอรู้สึกเขินอายมาก หลังจากรับประทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว เขาและหลินเซี่ยก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เซี่ยไห่มองตามท่าเดินอันงุ่มง่ามของเฉินเจียเหอ จากนั้นก็หัวเราะอย่างภาคภูมิใจ
หลิวกุ้ยอิงไม่ได้กลับบ้านทั้งคืน ทำให้หลินจินซานกังวลมาก จนโทรหาเซี่ยไห่และถามว่าแม่ของเขาอยู่กับเซี่ยเหลยหรือเปล่า?
หลิวกุ้ยอิงจำได้ว่าสถานการณ์เมื่อคืนเร่งด่วนเกินไป หล่อนลืมบอกหลินจินซานและหลินเยี่ยนไปสนิทว่าตนจะไม่กลับบ้าน
หล่อนกลัวว่าหลินจินซานจะเข้าใจผิดว่าตนออกไปเถลไถลข้างนอกทั้งคืน จึงขอโทรศัพท์จากเซี่ยไห่ และอธิบายให้หลินจินซานรู้เกี่ยวกับผลการฟื้นคืนความทรงจำของเซี่ยเหลย
หลังจากที่หลิวกุ้ยอิงวางสาย เซี่ยเหลยก็ถามหล่อนว่า “จินซานเป็นลูกชายแท้ ๆ ของหลินต้าฝูใช่ไหม?”
เมื่อเอ่ยถึงหลินต้าฝู ดวงตาของหลิวกุ้ยอิงก็เปล่งประกายนุ่มนวล จากนั้นก็ผละตัวออกห่างจากเซี่ยเหลยโดยไม่ได้ตั้งใจ พร้อมพยักหน้า “ค่ะ”
เซี่ยเหลยบอกว่า “ถ้ามีโอกาส ช่วยพาผมไปเยี่ยมหลุมศพของพี่หลินที”
“ค่ะ”
เซี่ยไห่พูดเสริมว่า “พี่ใหญ่ ตอนที่ผมเจอพี่อิงจื่อครั้งแรก ผมเคยบอกจินซานว่าครั้งหน้าถ้าเขาได้กลับบ้านเกิด อยากให้พาเราไปเผากระดาษเงินกระดาษทองด้วย พี่หลินเป็นคนดีมาก และเป็นผู้มีพระคุณต่อครอบครัวของเรา”
ถ้าในวันนั้นหลินต้าฝูไม่ตัดสินใจแต่งงานกับหลิวกุ้ยอิงเพื่อช่วยชีวิตหล่อน เซี่ยเซี่ยก็อาจไม่มีโอกาสได้เกิดมาในโลกนี้
หลิวกุ้ยอิงกำลังจะออกไปที่ร้านอาหาร หล่อนขอให้เซี่ยเหลยพักผ่อนอยู่ที่บ้านเป็นเวลาสองวัน แต่เซี่ยเหลยปฏิเสธ บอกว่าอาการปวดหัวของเขาหายไปแล้ว เขาอยากออกไปทำงานที่ร้านมากกว่าอยู่เฉย ๆ
เซี่ยไห่และคนอื่น ๆ ไม่ได้กังวลเกี่ยวกับอาการของพี่ใหญ่ เพราะเซี่ยเหลยบอกว่าการทำงานยุ่งอยู่เสมอจะช่วยคลายความเครียดได้ ถ้านอนนานไปจะยิ่งปวดหัวหนัก เขาและหลิวกุ้ยอิงจะได้ถือโอกาสรื้อฟื้นความทรงจำระหว่างกันให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
หญิงชราอดกังวลไม่ได้ จึงลากเซี่ยไห่ออกไปด้วยกัน ทุกคนตามไปช่วยงานพวกเขาที่ร้านอาหาร
ประมาณสิบโมงเช้า ลูกค้าทยอยแวะเวียนกันมาที่ร้านทีละคน ตอนเช้าต้องทำบะหมี่ไว้สำหรับขายก่อน พอมีเวลาว่างแล้วค่อยผัดกับข้าว
เซี่ยไห่อาสาออกไปซื้อของให้ คุณแม่เซี่ยยืนกรานที่จะช่วยเป็นลูกมือให้พวกเขา นางจึงอยู่ทำความสะอาดโต๊ะ
เซี่ยเหลยและหลิวกุ้ยอิงต่างก็ยุ่งอยู่กับงานในครัว
เนื่องจากเซี่ยเหลยจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและหลิวกุ้ยอิงได้ ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองจึงดูเหมือนจะได้รับการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย
ขณะที่หลิวกุ้ยอิงรีดแป้งทำบะหมี่ ดวงตาของเซี่ยเหลยก็จับจ้องไปที่ใบหน้าของหลิวกุ้ยอิงด้วยความโหยหา
หลิวกุ้ยอิงรู้สึกอึดอัดมากที่ถูกเขาจับตามอง
ตอนเที่ยง ในร้านมีลูกค้าเยอะมาก โชคดีที่มีเซี่ยไห่และหญิงชราคอยช่วย ทำให้ยังพอมีเวลาได้พักหายใจหายคอบ้าง
เซี่ยเหลยทำบะหมี่ด้วยตัวเองสองชาม ตั้งใจจะส่งไปให้หลินเซี่ยและหลินเยี่ยนในร้านตัดผมฝั่งตรงข้าม
เซี่ยเหลยมีน้ำใจมากที่ไม่ลืมทำบะหมี่เผื่อแผ่ไปให้หลินเยี่ยน หลิวกุ้ยอิงเห็นแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
คุณแม่เซี่ยบอกว่า “เรียกพวกหล่อนข้ามมากินข้าวด้วยกันเถอะ”
“ผมเอาไปส่งเองครับ”
เซี่ยเหลยเข้าไปในร้านตัดผมโดยถือบะหมี่สองชามมาด้วย
“เซี่ยเซี่ย เสี่ยวเยี่ยน มากินข้าวกันเถอะ”
หลินเยี่ยนรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเซี่ยเหลยเรียกชื่อหล่อนอย่างสนิทสนม หล่อนเคยเจอหน้าเซี่ยเหลยแค่สองสามครั้ง ก่อนหน้านี้เซี่ยเหลยมักจะแสดงสีหน้าไร้ความรู้สึกและดวงตาว่างเปล่าอยู่เสมอ หลินเยี่ยนจึงรู้สึกกลัวเขาเล็กน้อย
เมื่อสักครู่นี้ หล่อนได้ยินพี่สาวเล่าให้ฟังว่าพ่อของเธอฟื้นความทรงจำกลับมาแล้ว
แน่นอน หลังจากเขาได้ความทรงจำกลับคืน ภาวะอารมณ์ของเขาก็เปลี่ยนไป รู้สึกได้ทันทีว่ารัศมีที่แผ่ออกมาจากร่างกายเขาเต็มไปด้วยความอบอุ่น
“พ่อ ไม่เห็นต้องถือชามข้ามมาเลยนี่คะ? พวกเราข้ามไปกินกันเองได้”
“พ่อกลัวว่าพวกเธอจะงานยุ่งจนปลีกตัวออกไปไม่ได้”
เซี่ยเหลยเดินส่งบะหมี่สองครั้งติดต่อกัน โดยฝากให้อาจารย์หวังและชุนฟางด้วย
เพียงแต่บะหมี่สองชามนั้น เขาไม่ได้ลงมือทำด้วยตัวเอง
หลังจากส่งอาหารเรียบร้อยแล้ว เซี่ยเหลยก็ยังไม่อยากออกไปทันที เขาจึงยืนดูลูกสาวก้มหน้ากินบะหมี่ที่เขาทำ ใบหน้าอันเคร่งขรึมของเขาเต็มไปด้วยความรักใคร่
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ครอบครัวอบอุ่นเหลือเกินค่ะ ยี่สิบปีอันทุกข์ตรมได้ผ่านพ้นไปแล้วมันดีจังเลย
ไหหม่า(海馬)