ทะลุมิติสู่ยุค 70 ไปแต่งงานกับผู้ชายคลั่งรัก - ตอนที่ 393 ไม่สงบ(1)
ตอนที่ 393 ไม่สงบ(1)
ตอนที่ 393 ไม่สงบ(1)
ฉินมู่หลานพาทุกคนกลับไปปักกิ่ง กลุ่มชายวัยกลางคนก็ถูกพากลับมาด้วยเช่นกัน แต่เธอไม่ได้ตรงไปที่บ้านตระกูลเซี่ยในทันที กลับตรงไปที่บ้านตระกูลเจี่ยงแทน
ก่อนหน้านี้เจี่ยงสือเหิง ซูหว่านอี๋ เหยาจิ้งจือรวมถึงคนอื่น ๆ ต่างกังวลมาก ตอนนี้เมื่อเห็นฉินมู่หลานกลับมาได้อย่างปลอดภัย สีหน้าจึงดีใจอย่างฉายชัด
“มู่หลาน ในที่สุดลูกก็กลับมาแล้ว” ซูหว่านอี๋ได้เจอลูกสาวก็รีบวิ่งเข้ามาทักทายทันที
เหยาจิ้งจือก็พูดเหมือนกัน “ใช่แล้วมู่หลาน พวกเราเป็นห่วงเธอมากเลย”
ถึงแม้ว่าฉินมู่หลานจะส่งข่าวกลับมาบอกแล้ว แต่พวกเขาไม่ทราบว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น อีกทั้งยังกังวลว่าว่ามู่หลานไม่ยอมบอกข่าวร้าย ตอนนี้เมื่อได้เจอหน้าตัวเป็น ๆ จึงรู้สึกโล่งใจ
หลังจากนั้นเจี่ยงสือเหิงก็จ้องมองไปยังกลุ่มคนที่โดนมัดก่อนจะเอ่ยถาม “มู่หลาน พวกนั้นคือคนที่เติ้งซูหลานจ้างวานให้มาจับตัวลูกใชไหม?”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้จึงส่ายหัว แล้วพูดขึ้น “คนพวกนี้ไม่ได้จับฉันเองหรอกค่ะ”
เนื่องจากมีคนมากมายอยู่ที่นี่ ฉินมู่หลานจึงไม่ได้อธิบายรายละเอียดในทันที หันมองชุยเสี่ยวผิงกับโหยวหย่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “ครั้งนี้รบกวนพวกเธอมากเลย ตอนนี้อยู่ที่ปักกิ่งแล้ว ทุกคนก็กลับไปพักผ่อนกันเถอะค่ะ”
เธอไม่ลืมที่จะแสดงความขอบคุณ เตรียมซองอั่งเปาและยาชูกำลังให้กับทุกคนเป็นการตอบแทน ยาเม็ดพวกนี้มีประโยชน์มากสำหรับคนที่ฝึกศิลปะป้องกันตัวอย่างพวกเขา
คนพวกนี้ก็ไม่ปฏิเสธ พวกเขารับมาทั้งหมดพร้อมรอยยิ้ม นอกจากซองอั่งเปาแล้วพวกเขาก็เฝ้ารอที่จะได้เห็นประสิทธิภาพของยาเม็ดพวกนี้มากด้วย
“ขอบคุณค่ะ ต่อไปถ้ามีอะไร ก็เรียกพวกเราได้เลยนะคะ”
พวกคนที่ไปด้วยกันในครั้งนี้ล้วนได้เห็นฤทธิ์ของผงกระดูกอ่อนที่มู่หลานใช้กันหมด ดังนั้นเมื่อฉินมู่หลานบอกว่ายาเม็ดพวกนี้มีสรรพคุณดี พวกเขาจึงตั้งหน้าตั้งตารอคอยผลอย่างจริงจัง
แม้แต่เซี่ยจงกับเซี่ยซินก็มองดูขวดกระเบื้องเคลือบอันเล็กที่อยู่ในมือด้วยความอยากรู้อยากเห็นเช่น พวกเขาไม่ได้สนใจเรื่องผงกระดูกอ่อน เนื่องจากพวกเขาทราบว่าผงกระดูกอ่อนคือสิ่งที่คุณหนูรองคิดค้น แต่พวกเขาทราบว่าฉินมู่หลานเป็นหมอที่เคยพัฒนายาพิเศษที่ทรงประสิทธิภาพออกมาได้เยอะมาก จึงอดสงสัยไม่ได้ว่ายาเม็ดพวกนี้จะได้ผลดีกับพวกเขาจริงหรือไม่
หลังจากได้รับของแล้ว เซี่ยจงกับเซี่ยซินก็เอ่ยขอบคุณเช่นกัน หลังจากนั้นก็หันไปมองเซี่ยปิงหรุ่ยแล้วบอกกล่าว “คุณหนูรอง ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะครับ”
“ค่ะ”
เซี่ยปิงชิงพยักหน้า แล้วให้เส้นสายวงในที่แฝงตัวอยู่นี้รีบกลับไปทันที
หลังจากทุกคนกลับไปแล้ว ฉินมู่หลานก็เล่าเรื่องการเดินทางไปมณฑลเหอเป่ยในครั้งนี้
“อะไรนะ…เติ้งซูหลานหล่อนกล้าดียังไง”
หลังจากฟังสิ่งที่ฉินมู่หลานเล่าแล้ว ซูหว่านอี๋ก็ลุกขึ้นยืนด้วยแววตาแดงก่ำ ก่อนจะรีบพูดด้วยความทุกข์ “ไม่ได้ ฉันจะต้องไปหาหล่อนเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม”
หากเซี่ยปิงชิงไม่ได้รับข่าว ทำให้มู่หลานได้เตรียมรับมือเอาไว้อย่างเต็มที่ หล่อนก็นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าผลที่ตามมาจะเป็นอย่างไร
เหยาจิ้งจือที่อยู่ข้าง ๆ ก็รู้สึกโกรธมากเช่นกัน หล่อนลุกขึ้นยืนตรงก่อนจะพูดขึ้น “หว่านอี๋ ฉันจะไปกับเธอ พวกเราต้องไปเรียกร้องความยุติธรรมให้มู่หลาน”
พูดจบก็บ่นขึ้นมา “แล้วอาหลี่มัวทำอะไรอยู่ มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแล้วทำไมถึงยังไม่กลับมาอีก นี่เป็นเรื่องร้ายแรงมากนะ”
ฉินมู่หลานได้ยินสิ่งนี้ จึงอดพูดไม่ได้ “แม่คะ อาหลี่ออกมาไม่ได้จริง ๆ ค่ะ อีกอย่างฉันก็ไม่เป็นไร แล้วยังมีโหยวหย่งกับคนอื่นคอยคุ้มกันฉันอยู่แล้วด้วย ไม่จำเป็นต้องให้อาหลี่มาหรอกค่ะ”
“ทำไมจะไม่จำเป็น เขาควรจะกลับมาพร้อมกับเธอสิ”
หลังจากเหยาจิ้งจือบ่นมากมาย ก็หันไปพูดกับฉินมู่หลานอีกครั้ง “มู่หลาน พวกเรารีบไปที่บ้านตระกูลเซี่ยกันตอนนี้เลยเถอะ”
เจี่ยงสือเหิงที่อยู่ข้าง ๆ ก็คิดเหมือนกัน ครั้งนี้มู่หลานต้องลำบากมากขนาดนี้ เติ้งซูหลานต้องชดใช้ให้สาสม มิฉะนั้นมู่หลานคงน่าสงสารมากแน่ “ใช่แล้วมู่หลาน พวกเราไปบ้านตระกูลเซี่ยกันเถอะ หากเซี่ยฉางชิงบ่ายเบี่ยง เช่นนั้นก็ไม่ต้องนับเขาเป็นพ่อ”
“ใช่ ไม่ต้องนับหรอก”
ซูหว่านอี๋กับเหยาจิ้งจือเห็นพ้องต้องกัน และซูหว่านอี๋ยังพูดขึ้นอีกว่า “เซี่ยฉางชิงเจ้าคนเจ้าเล่ห์นี่ ตอนนั้นก็เสียพี่หว่านอวี๋ไปแล้ว ตอนนี้ถ้ายังจะไม่ฟังมู่หลานอีก อย่างนั้นเขาก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นพ่อของมู่หลาน”
ฉินมู่หลานเห็นทั้งสามต่างขุ่นเคืองใจ จึงรีบเอ่ยขึ้นทันที “พ่อคะ แม่คะ ทุกคนอย่าเพิ่งรีบร้อนค่ะ”
ขณะที่พูดก็หันมองไปที่ชายวัยกลางคนแล้วกล่าว “หมอนี่ไม่ยอมปริปากเลย เพราะฉะนั้นเรายังปรักปรำเติ้งซูหลานโดยตรงไม่ได้ ต้องรอให้หนูทำยากล่อมประสาทที่มีฤทธิ์ทำให้สับสนออกมาก่อนค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หลายคนจึงสงบลง
ในตอนนั้นเอง เซี่ยปิงชิงก็พูดขึ้น “ฉันมียาตัวนี้อยู่นะ ตอนนี้เอาไปใช้ได้เลย”
หลายคนได้ยินแบบนี้จึงหันมองไป แม้แต่ฉินมู่หลานก็หันมองเซี่ยปิงชิงแล้วเอ่ยถาม “ปิงชิง เธอมีเจ้านี่อยู่เหรอ”
“เรื่องนั้นมันแน่นอนอยู่แล้ว ตั้งแต่เล็กจนโตฉันสกัดพิษมานับไม่ถ้วน พิษที่ทำให้จิดตใจสับสนฉันได้ศึกษามานานแล้ว ฉันก็เลยมีมันอยู่ เธอจะเอาไหม?”
ฉินมู่หานรีบพยักหน้าแล้วบอกกล่าวทันที “เอา ต้องเอาอยู่แล้ว”
เซี่ยปิงชิงไม่ได้พกมันติดตัวเอาไว้ จึงกลับเข้าไปในห้องอีกครั้งเพื่อไปนำยาออกมา “นี่ เธอใช้กับเขาตอนนี้ได้เลยนะ”
พูดจบก็หันมองชายวัยกลางคนผู้นั้น
ถึงชายวัยกลางคนจะไม่เชื่อว่ามียาที่ทำให้พูดความจริงได้ แต่เขาก็เคยเห็นพลังของผงกระดูกอ่อนมาก่อน ในใจของเขาจึงเต็มไปด้วยความกังวล และถึงแม้ว่าเขาจะขัดขืน แต่ก็ยังมีคนยัดยานั้นให้เขาอยู่ดี
หลังจากกลืนยาลงไปแล้ว ชายวัยกลางคนก็รู้สึกระแวงไปหมด เมื่อรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอึดอัด จึงคิดว่ายาเม็ดนี้ไม่ได้ผล และอดคิดไม่ได้ว่าตนเองช่างโชคดี
แต่ในตอนนั้นเอง เซี่ยปิงชิงก็บอกกล่าวตามตรง “ใกล้แล้วล่ะมูหลาน ยาใกล้จะออกฤทธิ์แล้ว เธอรอถามได้เลย”
“ดี”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้ ก็หันไปมองชายวัยกลางคนแล้วเอ่ยถาม “แกชื่ออะไร?”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นได้แต่รู้สึกว่าจิตใจของตัวเองมั่นคง สิ่งที่พวกเขาพูดไม่ได้ทำให้จิตใจสับสนเลย ดังนั้นจึงเตรียมตัวที่จะหัวเราะเยาะ แต่แล้วก็พบว่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้แล้วเปิดปากพูดขึ้น “ฉันชื่อหลิวฝาน”
หลังจากพูดจบ แววตาของหลิวฝานก็เบิกกว้างด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าภายในหัวของตัวเองว่างเปล่าไม่ได้คิดจะพูดสิ่งใดเลย แต่เหตุใดจึงพูดชื่อตัวเองออกมาเสียได้
เมื่อเห็นท่าทางตกใจของหลิวฝาน เซี่ยปิงชิงก็อดหัวเราะขึ้นมาเสียไม่ได้ ก่อนจะพูดขึ้น “ยาที่ฉันผลิตมีประสิทธิภาพมากจริงๆ หมอนี่เริ่มพูดความจริงแล้ว”
ฉินมู่หลานได้ยินแบบนี้จึงหัวเราะขึ้นแล้วบอกกล่าว “ใช่แล้วปิงชิง ยาของเธอมีประสิทธิภาพมากจริง ๆ”
เธอเห็นแล้วว่าคน ๆ นี้ดูมีสติอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังเล่าความจริง ถึงแม้ว่าเธอจะเป็นคนผลิตเองก็คงไม่ได้ยาที่มีประสิทธิภาพเท่านี้อย่างแน่นอน ก่อนหน้านี้เธอเคยผลิตยากล่อมประสาทที่ทำให้ผู้คนจิตใจสับสนจนเสียสติ แต่ยาชนิดนี้ไม่เหมือนกันตรงที่ทำให้จิตใจปลอดโปร่งเบาสบาย แน่นอนว่าเธอเก่งในเรื่องการสกัดยาที่จะช่วยเหลือผู้คนได้มากกว่า แต่ในส่วนของเรื่องสกัดยาที่เป็นพิษนั้น ทำได้ไม่ดีเท่าเซี่ยปิงชิง
ซูหว่านอี๋เห็นคน ๆ นี้ยอมเปิดปากแล้ว จึงรีบหันไปถามมู่หลานทันที “มู่หลาน ลูกรีบถามเร็ว ว่าหมอนี่กับเติ้งซูหลานวางแผนจะทำอะไรกันแน่”
“ค่ะ”
ฉินมู่หลานรีบเอ่ยถาม “เติ้งซูหลานติดต่อแกยังไง ก่อนหน้านี้ให้แกไปทำอะไร?”
ถึงแม้ว่าหลิวฝานจะไม่อยากพูด แต่เขากลับควบคุมตัวเองไม่ได้เลย เขาเล่าเรื่องทุกอย่างของตัวเองให้ทุกคนได้ฟังราวกับต่อยหอย
“ฉันเป็นญาติห่าง ๆ ของตระกูลเติ้ง ตั้งแต่เด็กก็ได้ตระกูลเติ้งอุปถัมภ์มาโดยตลอด หลังจากโตเป็นผู้ใหญ่ฉันก็เริ่มทำงานให้ตระกูลเติ้ง เป็นคุณนายเติ้งที่มาหาฉัน แล้วบอกให้ฉันคิดหาวิธีจับตัวลูกสาวคนโตของตระกูลเซี่ยไปปล่อยที่ฮ่องกง”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อัดคำให้การไว้ด้วยนะ เผื่อฝ่ายนั้นบ่ายเบี่ยงหาทางหนี
ไหหม่า(海馬)