ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 744 บริภาษหนัก
ตอนที่ 744 บริภาษหนัก
อ๋องจิ้นยังคิดเอ่ยต่อ แต่รัชทายาทเอ่ยขึ้นอย่างรำคาญว่า “เสด็จพี่ ตอนนี้เสด็จพ่อปวดพระเศียรมาก เสด็จพี่ยังเอาแต่ถามนี่ถามนั่นทำไมกัน”
รัชทายาทเอ่ยจบ สีพระพักตร์ฮ่องเต้บนเตียงก็เย็นเยียบ หรี่พระเนตรมองอ๋องจิ้น
อ๋องจิ้นสะอึกในใจ รีบก้มหน้าลง รัชทายาทเซียวอวี้มองไปยังลู่เจียวกับฉีเหล่ยกล่าวว่า “พวกเจ้าศิษย์อาจารย์ไปตรวจอาการให้เสด็จพ่อก่อน ดูว่าเหตุใดอาการปวดพระเศียรหัวของเสด็จพ่อจึงกำเริบรุนแรงเช่นนี้”
ลู่เจียวกับฉีเหล่ยพยักหน้าพร้อมกัน ทั้งสองคนเดินมาถึงหน้าแท่นบรรทม
ในห้องบรรทม คนไม่น้อยได้ยินคำพูดรัชทายาทก็เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ พวกเขาไม่รู้ความสัมพันธ์ของลู่เจียวกับฉีเหล่ย ยามนี้ได้ยินรัชทายาทเอ่ยขึ้น ก็แอบคาดเดาว่าลู่เจียวเป็นอาจารย์หรือฉีเหล่ยเป็นอาจารย์ ต่อมาพอคิดถึงคำพูดอ๋องจิ้น ฮูหยินเซี่ยถึงกับเป็นอาจารย์ฉีเหล่ย ได้ยินว่าวิชาการแพทย์เขาไม่ด้อยไปกว่าหมอหลวงฉี อีกทั้งหลายปีมานี้ทุ่มเทเรียนวิชาการแพทย์จนวิชาการแพทย์ตอนนี้สูงส่งกว่าบิดาแล้ว วิชาการแพทย์ฮูหยินเซี่ยท่านนี้ร้ายกาจมากหรือ
ลู่เจียวกับฉีเหล่ยไม่ได้สนใจผู้อื่น เดินถึงไปหน้าแท่นบรรทม ถวายบังคมฝ่าบาทก่อน จากนั้นก็เริ่มตรวจพระอาการฝ่าบาท
ลู่เจียวตรวจ ฉีเหล่ยรับหน้าที่จดบันทึก การรักษาฮ่องเต้ต้องเขียนรายงานการรักษา
ลู่เจียวตรวจไปก็พูดไป ฉีเหล่ยเขียนรวดเร็ว
ทั้งสองคนเคลื่อนไหวว่องไวและรวดเร็ว ในห้องบรรทม ทุกคนมองจนพูดอ้าปากค้าง
รอจนลู่เจียวตรวจพระอาการฮ่องเต้ทั้งหมดเรียบร้อย ก็ทูลรายงานว่า “ฝ่าบาทปวดพระเศียรรุนแรงก็เพราะหลอดพระโลหิตหดรัดตัว ทำให้โลหิตไปเลี้ยงสมองไม่พอ พอโลหิตไปเลี้ยงสมองไม่พอก็ทำให้ฝ่าบาทปวดพระเศียรแทบระเบิด ฝ่าบาทก้มพระพักตร์ทอดพระเนตรนาน กระดูกต้นคอก็คดงอ หมอนรองกระดูกงอกไปกดทับเส้นประสาท ทำให้เส้นประสาทหดตัว ดังนั้นโลหิตจึงไปเลี้ยงสมองไม่พอ ทำให้ปวดพระเศียรรุนแรง”
“หากคาดเดาไม่ผิด นอกจากปวดพระเศียรแล้ว ฝ่าบาทยังบรรทมไม่พอ มักจะบรรทมได้สองชั่วยามก็ตื่น นี่เป็นเพราะพระโลหิตไม่พอ อีกอย่างฝ่าบาทจะทรงรู้สึกชาพระหัตถ์และพระบาท ตอนนี้เคลื่อนไหวพระวรกายน่าจะไม่คล่องเหมือนเมื่อก่อน ล้วนเป็นเพราะโลหิตไม่พอไปเลี้ยงสมอง หากไม่รีบรักษา ผลที่จะเกิดก็คืออาจทำให้พระวรกายครึ่งหนึ่งเป็นอัมพาต”
ลู่เจียวกล่าวจบ ทุกคนในห้องบรรทมต่างสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ นอกจากเป็นห่วงฝ่าบาท ยังเป็นห่วงลู่เจียวที่พูดตรงเกินไป
ลู่เจียวทูลเช่นนี้ ฮ่องเต้กลับไม่ทรงกริ้ว ทอดพระเนตรลู่เจียวที่เอ่ยอย่างเปิดเผย ทรงรู้สึกสบายพระทัยมาก ไม่เหมือนคนพวกนั้นที่เอาแต่อึกๆ อักๆ คงเพราะคิดว่าเขาชราแล้ว สมองใช้การไม่ได้การแล้วกระมัง
เขายังไม่ชราถึงเพียงนั้น ฮ่องเต้คิดไปก็ทนฝืนความปวดไปตรัสถามว่า “เจ้ามีทางรักษาหรือไม่”
“ทูลฝ่าบาท วิธีมี แต่ฝ่าบาทต้องทรงให้ความร่วมมือ”
“เจ้าว่ามา เราจะให้ความร่วมมือกับเจ้า”
“ฝ่าบาท อาการป่วยนี้สามส่วนรักษา เจ็ดส่วนดูแล หม่อมฉันจะฝังเข็มให้ฝ่าบาท เขียนเทียบยาให้เสวย วันหน้าฝ่าบาทต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการเสวย หนึ่ง ห้ามเสวยของที่มันมากเกินไป สอง ต้องเสวยน้ำมากๆ ทุกวัน สาม ห้ามทรงกริ้วมากเกินไป พยายามลดความกริ้วลง อย่าได้ขาดการบรรทม อาการปวดพระเศียรของฝ่าบาทก็จะรักษาหายได้ วันหน้าการบรรทมก็จะดีขึ้น”
ตั้งแต่ฮ่องเต้ทรงมีพระอาการปวดพระเศียรรุนแรงกำเริบก็อยากรักษาให้หายมาโดยตลอด ตอนนี้ได้ยินลู่เจียวกล่าวเช่นนี้ รีบพยักพระพักตร์เห็นด้วย
“เราจดจำไว้แล้ว เจ้ารีบฝังเข็มให้เรา”
ลู่เจียวพยักหน้าให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นนำล่วมยามา ตอนนี้นางได้จัดล่วมยาเอาไว้เพื่อสะดวกต่อการออกไปรักษา มีของบางอย่างอยู่ในล่วมยา
ลู่เจียวเตรียมฝังเข็มให้ฮ่องเต้ มองไปยังฉีเหล่ยกล่าวว่า “ไปเขียนเทียบยาขยายเส้นเลือด จัดยาและต้มด้วยตนเองมาให้ฝ่าบาทเสวย จำไว้ว่าต้องเพิ่มปริมาณยาเล็กน้อย”
ตามหลักการแล้ว ลู่เจียวใช้ยาขยายหลอดเลือดให้ฮ่องเต้ได้ แต่อาการประชวรของฮ่องเต้ไม่นับว่าหนักหนามาก ตอนนี้เพียงแต่ปวดพระเศียรเท่านั้น ยังไม่ได้สลบหมดพระสติ อีกอย่างลู่เจียวไม่กล้าหยิบของที่ไม่ควรหยิบออกมาต่อหน้าบรรดาหมอหลวง
ดังนั้นจึงรักษาแบบดั้งเดิมไว้ก่อน
ฉีเหล่ยรับคำออกไปจัดการ เขาติดตามอาจารย์มาหลายปี รู้ว่าอาจารย์มีความลับบางอย่างไม่ให้ผู้อื่นรู้ แต่เขาก็ไม่ได้เอ่ยอันใด ออกไปจัดยาตามคำสั่ง
ลู่เจียวจะเริ่มฝังเข็มให้ฮ่องเต้ แต่นางเพิ่งเตรียมจะลงมือ อ๋องจิ้นก็ขัดขึ้นว่า “ฮูหยินเซี่ย เจ้าฝังเข็มให้เสด็จพ่อส่งเดชเช่นนี้ หากเสด็จพ่อเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาจะทำเยี่ยงไร”
ลู่เจียวชะงักมองไปยังอ๋องจิ้นกล่าวว่า “ท่านอ๋องมีข้อเสนอที่ดีกว่าหรือไม่ หรือให้ข้าสอนให้ท่านอ๋องลงมือเอง”
อ๋องจิ้นสีหน้าแข็งค้าง วิชาการแพทย์แค่สอนก็เป็นหรือ อ๋องจิ้นโมโหมาก
บนแท่นบรรทม ฮ่องเต้ทรงกริ้วหนักคำรามดังว่า “เจ้าสี่ เจ้าอยากเห็นเราตายใช่หรือไม่”
ไม่เช่นนั้นเหตุใดเอาแต่หาเรื่องลู่เจียว
อ๋องจิ้นตกใจสะดุ้งลงคุกเข่าขอพระราชทานอภัยโทษทันที “เสด็จพ่อ หม่อมฉันไม่ได้ ไม่ได้…”
ยังกล่าวไม่ทันจบก็ถูกฮ่องเต้ตวาดเสียงดังว่า “ไสหัวออกไป”
อ๋องจิ้นสีหน้าย่ำแย่อย่างยิ่งได้แต่ลุกขึ้นเดินออกไป
ขุนนางด้านหลังพากันถอนหาย หลายปีมานี้เพราะรัชทายาทขึ้นสู่ตำแหน่ง อ๋องจิ้นจึงยิ่งไร้ที่ยืน เห็นเรื่องที่รัชทายาททำเพื่อประชาและแผ่นดินแล้ว หันมามองอ๋องจิ้นที่วันๆ รู้จักแต่วางแผนอุบายเล็กอุบายน้อย ไม่คู่ควรเป็นรัชทายาทแคว้นต้าโจวจริงๆ
ลู่เจียวถือล่วมยาเดินมาถึงหลังพระวรกายฮ่องเต้ จากนั้นก็หยิบเข็มเงินออกมาจากล่วมยา ใช้เข็มเงินชุบน้ำพุจิตวิญญาณ จากนั้นก็ฝังเข็มให้ฮ่องเต้
เพราะเข็มเงินนางชุบน้ำพุจิตวิญญาณ ดังนั้นฝังเข้าไปที่จุดชีพจรบนศีรษะ ก็ทำให้ฮ่องเต้รู้สึกสบายขึ้นไม่น้อย ฮ่องเต้ทรงแปลกพระทัย ร้ายกาจเพียงนี้เชียวหรือ
เขาอดหันไปมองสตรีข้างพระวรกายไม่ได้ นางใบหน้างามกระจ่าง หญิงผู้นี้ไม่เพียงแต่หน้าตางดงาม แต่ยังอายุน้อยมาก
เขารู้ว่าวิชาการแพทย์นางไม่เลว ในปีนั้นตอนบุตรชายห้าของเขาโดนยาพิษ นางเป็นคนถอนพิษให้ ทว่าแต่ไรมาฮ่องเต้ไม่เคยคิดตามนางมารักษา อย่างไรก็เป็นสตรี วิชาการแพทย์จะดีเยี่ยงไร ก็คงไม่เท่าไร แต่ ตอนนี้ดูท่าจะร้ายกาจมาก
ฮ่องเต้ครุ่นคิดแล้วก็ถึงกับคิดอยากให้ลู่เจียวเป็นหมอหลวงอยู่ในวัง
“วิชาการแพทย์เจ้าไม่เลวจริงๆ เรารู้สึกว่าฝังเข็มนี้ลงไปแล้วก็ดีขึ้นไม่น้อย”
ลู่เจียวหลุบตาลง ใช้เข็มเงินชุบน้ำพุจิตวิญญาณ แล้วก็ปักลงไปตรงพระอุระ ย่อมทำให้ทรงรู้สึกสบายขึ้น
“ฝ่าบาททรงรู้สึกว่าดีก็ดีเพคะ”
“หากเจ้ารักษาอาการปวดหัวรุนแรงของเราหายจริง เราจะต้องพระราชทานรางวัลอย่างหนัก”
อาจให้นางอยู่เป็นหมอหลวงในวังได้
แม้ว่าสตรีไม่อาจเป็นหมอหลวง แต่ผู้ใดให้นางผู้นี้วิชาการแพทย์ร้ายกาจกันเล่า
ในห้องบรรทม บรรดาขุนนางต่างมองสีพระพักตร์ฮ่องเต้ที่ดีขึ้นไม่น้อย แต่ละคนก็โล่งอก ในที่สุดก็กล้าหายใจได้อย่างวางใจ
อีกทางด้านหนึ่ง ฉีเหล่ยจัดยาขยายเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว ต้มและนำเข้ามา หลังฮ่องเต้ทรงเสวยไปแล้ว ไม่เพียงแต่ไม่ปวดพระเศียร ยังถึงกับทรงง่วงนอน
เพราะยาต้มของฉีเหล่ยเติมตัวยาที่ทำให้จิตสงบลง ดื่มแล้วก็จะรู้สึกง่วง
ฮ่องเต้ทรงหาวติดๆ กัน โบกพระหัตถ์ตรัสว่า “เอาละ ออกจากวังกันไปได้แล้ว เราไม่เป็นอันใดแล้ว”
“ขอบพระทัยฝ่าบาท”
ทุกคนพากันโล่งอก ผ่อนคลายลงทันที ในที่สุดบรรยากาศในห้องบรรทมก็ไม่ได้เคร่งเครียดดังก่อนหน้านี้