ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 331 หมวกเขียวนี่ช่างน่ารังเกียจจริง
ตอนที่ 331 หมวกเขียวนี่ช่างน่ารังเกียจจริง
ลู่เจียวรู้สึกดีกับหลิ่วไหลตี้อยู่มาก แม้ว่านิสัยเงียบๆ แต่ไม่ใช่คนไม่ดีอะไร
จู้เป่าจูได้ฟังคำพูดลู่เจียวก็ถอนหายใจกล่าวว่า “ข้าเรียกนางแล้ว นางไม่มา บอกว่าต้องทำกับข้าวดูแลท่านพี่นาง เจ้าว่านางไม่ได้พาลูกมาอยู่ที่อำเภอด้วย ดูแลแค่ท่านพี่นางคนเดียวต้องขนาดนี้ไหม”
ถานเสี่ยวยามองจู้เป่าจูแล้วก็กล่าวกับลู่เจียวเบาๆ ว่า “ความจริงนางน่าสงสารมาก”
จู้เป่าจูพอได้ฟังก็รีบหันไปมองถานเสี่ยวยาทันที “หมายความว่าอย่างไร เจ้ารู้อะไรที่พวกเราไม่รู้ใช่ไหม รีบเล่ามาเร็ว”
ถานเสี่ยวยามองจู้เป่าจูแล้วก็กัดริมฝีปากก่อนจะกล่าวเบาๆ ว่า “เจ้าห้ามพูดออกไปนะ”
จู้เป่าจูพยักหน้าหงึกๆ “ข้าไม่พูด เจ้ารีบเล่ามา”
ลู่เจียวมองจู้เป่าจูอย่างไร้วาจาจะกล่าว หญิงผู้นี้ช่างกล้ารับปาก ทำไมนางรู้สึกว่าเชื่อถือไม่ได้
แต่ถานเสี่ยวยาเชื่อนางอย่างเห็นได้ชัด นางมองจู้เป่าจูแล้วเริ่มกระซิบเล่าว่า “พวกเจ้ารู้ไหมทำไมนางเอาแต่สวมเสื้อผ้ามิดชิด เพราะที่ตัวนางมีรอยแผลอย่างไรเล่า และก็มากด้วย”
พอถานเสี่ยวยาเล่า จู้เป่าจูกับลู่เจียวก็ตกใจ ทั้งสองคนหันไปมองถานเสี่ยวยาทันที ถามขึ้นแทบจะพร้อมกันว่า “จริงหรือเท็จกัน”
วาจาแม้ถามเช่นนี้ แต่ทั้งสองคนก็แอบเชื่อไปแล้ว ไม่เช่นนั้นหลิ่วเหนียงจื่อไม่ควรสวมเสื้อผ้ามิดชิดเช่นนั้น ลู่เจียวพลันคิดถึงที่ครั้งก่อนนางต่อยเหลียงจื่อเหวิน หลิ่วเหนียงจื่อถามนางทำไมแรงมากขนาดนี้
ตอนนั้นเห็นชัดว่านางตื่นเต้นมาก เหมือนว่าแทบจะอยากมีแรงมากเหมือนนาง
ลู่เจียวครุ่นคิดแล้วสีหน้าก็เคร่งเครียด มองถานเสี่ยวยากล่าวว่า “รอยแผลบนตัวนางใช่ท่านพี่นางตบตีหรือไม่”
ถานเสี่ยวยาพยักหน้า “ใช่ ตอนนั้นข้าถามนาง นางเอาแต่หลบไปหลบมา ได้แต่บอกว่าล้มเอง แต่พอข้าว่าท่านพี่นางตี นางก็ไม่ได้ปฏิเสธ”
จู้เป่าจูได้ฟังถานเสี่ยวยาก็อดด่าขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าเดรัจฉานหลัวซินซื่อ ถึงกับตบตีภรรยาตนเองเช่นนี้ เขายังเป็นคนไหม ข้าจะไปถามเขา เขามีคุณธรรมในใจหรือไม่ ถึงกับลงมือโหดร้ายกับภรรยาตนเองเช่นนั้นได้ลงคอ”
จู้เป่าจูกล่าวจบก็ลุกขึ้นคิดออกไปหาหลัวซินซื่อ
ถานเสี่ยวยารีบลากนางไว้ “เจ้าอย่าไปหาหลัวซินซื่อนะ หากเจ้าไปหาหลัวซินซื่อ เขาต้องไปลงมือกับหลิ่วเหนียงจื่ออีก ใครๆ ก็รู้ว่าหลัวซินซื่อเป็นคนรักหน้า เจ้าดูสิ หลิ่วเหนียงจื่อมาอำเภอได้สามปี เคยพูดเรื่องหลัวซินซื่อไหม เพราะนางรู้ หากนางกล้าพูดออกไป หลัวซินซื่อย่อมเอานางตายแน่”
จู้เป่าจูพลันพูดไม่ออก แต่ยังคงโมโหมาก
ในห้องโถง ลู่เจียวมองจู้เป่าจูกล่าวว่า “เจ้าใจเย็นก่อน เรื่องนี้ต้องวางแผนระยะยาว พวกเราค่อยๆ คิดหาทางช่วยนางเงียบๆ ไม่ให้หลัวซินซื่อตีนางอีก”
ลู่เจียวครุ่นคิดถึงว่าผู้ชายระบายอารมณ์กับครอบครัวในยุคสมัยนี้ยากจะนำตัวมาลงโทษจริงๆ เพราะหากทุกคนรู้ว่าสามีตีภรรยา อย่างมากก็จะเตือนสองสามคำ ทำอะไรไม่ได้ และยังทำให้ผู้ชายยิ่งไม่มีอะไรต้องกลัวอีก วันหน้าไม่ตีจนตายหรือ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดก็คือให้หลิ่วเหนียงจื่อหย่ากับหลัวซินซื่อ แต่หลัวซินซื่อจะยินยอมหรือ
จู้เป่าจูได้ฟังคำพูดลู่เจียว รีบถามต่อว่า “พี่ลู่ พี่มีวิธีดีๆ อะไรหรือไม่”
ลู่เจียวส่ายหน้า “ข้าย่อมคิดหาวิธี เจ้าอย่าเพิ่งใจร้อน เวลาสั้นๆ อย่างนี้จะคิดวิธีอะไรได้”
ลู่เจียวเพิ่งกล่าวจบ ลู่กุ้ยก็ก้าวเข้าประตูมารายงานว่า “พี่เจียว สวี่เซี่ยนเว่ยกับภรรยามา”
ลู่กุ้ยรายงานเสร็จ จู้เป่าจูกับถานเสี่ยวยาก็รู้ว่าเซี่ยนเว่ยกับภรรยามาย่อมต้องมาหาลู่เจียวให้ช่วยรักษาให้ คนทั้งอำเภอชิงเหอต่างรู้ว่าสวี่เซี่ยนเว่ยอยากมีลูกจนแทบจะเสียสติแล้ว
จู้เป่าจูกับถานเสี่ยวยาสองคนรีบลุกขึ้นกล่าวอำลากับลู่เจียว คนเขามีคนไข้มาหา พวกนางกลับก่อนดีกว่า
“พี่ลู่ พวกเรากลับไปพักกลางวันก่อน”
“พี่สะใภ้ คังคังก็รบกวนพี่แล้ว ตกค่ำข้าจะให้ท่านพ่อเขามารับเขาเอง”
“เอาเถิด อย่าได้เป็นห่วง พวกเราทางนี้มีอาจารย์ดูแลเด็กๆ อยู่”
จู้เป่าจูกับถานเสี่ยวยาสองคนไปแล้ว ลู่เจียวสั่งให้ลู่กุ้ยไปเชิญเซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อภรรยาเขาเข้ามา
สวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อตามลู่กุ้ยมาเรือนบุปผาที่เรือนด้านหลังอย่างรวดเร็ว
ลู่เจียวลุกขึ้นเชิญให้พวกเขานั่งลง สวี่เซี่ยนเว่ยดูหมดเรี่ยวหมดแรงอย่างมาก สีหน้าเศร้าเสียใจราวกับบิดามารดาตายอย่างไรอย่างนั้น จางเหนียงจื่อแม้ว่ารู้สึกสงสารอยู่บ้าง แต่ในใจก็แอบสะใจ
เมื่อก่อนสวี่ชิงอินถือว่าเป็นลูกคนเดียวของตระกูล คนในตระกูลสวี่ทุกคนต้องยกยอเอาใจนาง แม้แต่นางผู้เป็นภรรยาเอกก็ไม่กล้าล่วงเกินนางแม้แต่น้อย ตอนนี้ดีเลย ท่านพี่นางตรวจสอบพบแล้วว่าสวี่ชิงอินไม่ใช่บุตรสาวท่านพี่นาง มารดานางแอบคบชู้จนมีนาง นางไม่ใช่ลูกหลานตระกูลสวี่
พอท่านพี่นางตรวจสอบกระจ่าง ฟ้ายังไม่ทันสางก็สั่งให้คนพาสวี่ชิงอินออกไป ได้ยินว่าส่งไปไกลหลายร้อยลี้ ให้นางแต่งกับชายบ้านนอก
ความจริงจางเหนียงจื่อรู้ว่าที่สวี่เซี่ยนเว่ยทำเช่นนี้ก็ถือว่าใจดีมากแล้ว ตามหลักแล้วท่านแม่นางกล้าทำเรื่องหลอกลวงเซี่ยนเว่ยเช่นนี้ พวกนางสองแม่ลูกก็ควรโดนลงโทษหนัก แต่สวี่เซี่ยนเว่ยสุดท้ายก็ปล่อยสวี่ชิงอินไป อย่างไรก็เป็นลูกที่เขาเฝ้ารักเอ็นดูมาสิบกว่าปี
ในห้องโถง จางเหนียงจื่อมองลู่เจียวพร้อมถามอย่างกังวลใจว่า “ลู่เหนียงจื่อ ข้าได้ยินท่านพี่ข้าบอกว่าเจ้ารักษาอาการป่วยของเขาได้ พวกเราเชื่อวิชาการแพทย์ของเจ้า วันนี้ข้ากับท่านพี่มาก็เพื่ออยากถามเจ้าเรื่องหนึ่ง อาการป่วยเขารักษาได้หรือไม่”
พอจางเหนียงจื่อถาม สวี่เซี่ยนเว่ยก็ลืมความเศร้าตนเอง เงยหน้ามองลู่เจียวอย่างเคร่งเครียด ลู่เจียวกล่าวน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “อาการป่วยเขานี้มีวิธีรักษา ผ่าตัดรักษาได้ เพียงแต่กลับคืนสู่ระดับใดนั้น ข้าเองก็ไม่รู้ และอาจมีอาการป่วยหลังผ่าตัดได้ง่ายมาก แต่หลังผ่าตัดเขาก็จะมีความสามารถในการมีลูกได้ ส่วนจะมีได้กี่คน มีได้กี่ปี ก็ไม่รู้แล้ว หรืออาจจะมีได้ตลอดไป”
“เรื่องพวกนี้ล้วนบอกไม่ได้ แม้แต่หมอเองก็ไม่อาจคาดเดาสภาพร่างกายได้ พวกเราได้แต่พยายามทำให้ดีที่สุด”
พอลู่เจียวกล่าวเช่นนี้ แววตาสวี่เซี่ยนเว่ยกับจางเหนียงจื่อก็เปล่งประกาย โดยเฉพาะจางเหนียงจื่อ แม้ว่านางอายุสามสิบห้าสามสิบหกแล้ว แต่ผู้หญิงอายุสามสิบห้าสามสิบหกไม่น้อยให้กำเนิดลูกได้ ความจริงนางเองก็อยากมีลูกมาตลอด
“งั้นอายุขนาดข้ามีลูกได้ไหม”
ครั้งนี้สวี่เซี่ยนเว่ยก็ช่วยนางถาม “หากมีไม่ได้ เจ้าช่วยรักษาให้นางด้วยได้ไหม”
แต่ไรมาการที่เขาไม่มีลูกทำให้จางเหนียงจื่อไม่อาจมีลูกได้ ดังนั้นตอนนี้เขาคิดอยากให้จางเหนียงจื่อมีลูก
ลู่เจียวไม่ได้พูดอะไร กวักมือเรียกจางเหนียงจื่อมาตรงหน้า จางเหนียงจื่อเดินมานั่งลงข้างๆ ลู่เจียว ลู่เจียวตรวจให้นางอย่างละเอียด แล้วก็ถามถึงประจำเดือน จากนั้นก็กล่าวว่า “สุขภาพท่านไม่มีปัญหาใหญ่อะไร เพียงแต่อ่อนแอไปสักหน่อย และวิตกกังวลเกินไป จะตั้งครรภ์ หนึ่ง ต้องบำรุงเลือดลมสักหน่อย สอง ต้องรักษาอารมณ์ให้มีความสุข อย่าปล่อยให้ตนเองวิตกกังวลไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่อการตั้งครรภ์ได้ง่าย”
จางเหนียงจื่อดีใจมาก “ลู่เหนียงจื่อ หากข้าตั้งครรภ์ได้จริง ข้าจะมอบไข่แดงตะกร้าหนึ่งให้เจ้า”
[1] สำนวนจีน สวมหมวกเขียว การสวมหมวกสีเขียวให้ฝ่ายชาย หมายถึงฝ่ายหญิงลับลอบคบชู้