ทะลุมิติมาเป็นภรรยาของตัวร้าย - ตอนที่ 1 ไสหัวออกไป
“เหตุใดท่านแม่ถึงไม่ขยับแล้วล่ะ”
“คงไม่ใช่ว่าสิ้นใจไปแล้วนะ”
“ตายๆ ไปก็ดี จะได้ไม่ต้องมีใครตีพวกเราอีก”
ลู่เจียวยังไม่ทันลืมตา ก็ได้ยินเสียงยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่น
เมื่อนางลืมตา ก็เห็นเด็กชายสี่คนอยู่ด้านข้าง เด็กชายพวกนี้หน้าเหลืองซูบซีด ร่างผอมจนมีแต่หนังหุ้มกระดูก ราวกับลูกเจี๊ยบตัวน้อย
ลู่เจียวยังไม่ทันเอ่ยสิ่งใด เด็กชายสี่คนที่อยู่ด้านข้างเห็นนางฟื้นขึ้นมา สีหน้าพลันเปลี่ยนไปทันที ทุกคนต่างหันหลังวิ่งหนี พร้อมตะโกนด้วยความหวาดผวา
“ท่านแม่ฟื้นแล้ว”
“ท่านแม่จะตีคนอีกแล้ว”
“ท่านพ่อ ช่วยด้วย”
“พวกเราไม่ได้แอบกินไข่ของนางเสียหน่อย!”
ลู่เจียวมองเด็กชายพวกนั้นวิ่งหนีด้วยความประหลาดใจ แล้วกวาดสายตาไปรอบทิศ
ลานที่ล้อมรอบด้วยกำแพงดินเต็มไปด้วยรอยด่าง ตรงกลางลานมีบ้านโคลนร้าวที่หลังคาเป็นหญ้าคาอยู่สามหลัง บ้านโคลนร้าวสองหลังตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของเรือนหลัก นอกจากเรือนดังกล่าว ไม่มีอะไรในลานกว้างนี้อีก
ที่นี่ที่ไหน ฉันไม่ได้ตายไปแล้วหรือ
เธอคือหมอทหารหญิงในศตวรรษยี่สิบเอ็ด โดนปืนใหญ่ของศัตรูยิงขณะที่รักษาทหารที่บาดเจ็บอยู่ ตามหลักแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่เธอจะรอดชีวิต
ทันทีที่ลู่เจียวรู้สึกตัว ความทรงจำมากมายก็ท่วมท้นในสมองของเธอ เธอพลันเข้าใจในสถานการณ์ ณ ตอนนี้ทันที
ที่แท้ก็เพราะทะลุมิติมาอีกยุคหนึ่งนี่เอง เธอกลายเป็นลู่เจียว ภรรยาของเซี่ยอวิ๋นจิ่น ซิ่วไฉแห่งเมืองชีหลี่ ซึ่งตั้งอยู่ในมณฑลชิงเหอ แคว้นต้าโจว
นิสัยของลู่เจียวยากจะอธิบายด้วยคำพูดสั้นๆ ไม่เพียงแต่เป็นแม่นางที่มีวาจาและท่าทีหยาบคาย ยังชอบกระทำโหดร้ายทารุณ
นางไม่สบอารมณ์เล็กน้อยก็สบถหยาบและเฆี่ยนตีผู้อื่นไปเรื่อย แม้กระทั่งแฝดสี่ที่เป็นลูกในไส้ นางยังเฆี่ยนตีอย่างโหดเหี้ยม ฉะนั้นแฝดสี่ต่างก็หวาดกลัวนางอย่างมาก
เช้าวันนี้ หลังจากนางตื่นนอนก็ต้มไข่สองฟอง เหตุเพราะร้อนเกินไปเลยไม่ทันได้กิน จึงไปเข้าสุขาก่อน แต่ตอนกลับมาไข่กลับหายไป
ฉะนั้นนางคิดว่าไข่สองฟองนั้นต้องโดนบุตรชายทั้งสี่ขโมยไปกินแน่ๆ จึงใช้ไม้ตีพวกเขาสุดแรง สุดท้ายเพราะใช้แรงมากเกินไป ไม่ทันระวังตัวจนลื่นล้ม ศีรษะไปกระแทกกับก้อนหิน เธอก็เลยทะลุมิติเข้ามาอยู่ในร่างนาง
ลู่เจียวมองร่างอ้วนท้วนของตัวเองด้วยสีหน้างวยงง แล้วเหลือบมองแฝดสี่ที่ผอมแห้งเหมือนขาดสารอาหารอย่างรุนแรง เลยอดสงสารเด็กพวกนี้ไม่ได้
เพียงแต่เวลานี้นางเสียเลือดมากเกินไป ทำให้วิงเวียนศีรษะ จึงต้องเข้าไปพักผ่อนในเรือนก่อน
ลู่เจียวเพิ่งจะเดินเข้าไปในเรือนหลังเก่าชำรุด ก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นแผ่วเบาดังมาจากในเรือนนอนตะวันออก
“ท่านพ่อ พวกเราไม่ได้ขโมยไข่ท่านแม่มากินจริงๆ”
“อืม ข้าก็ไม่ได้ขโมย ท่านพ่อเคยสอนว่าถ้าไปหยิบของคนอื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตถือว่าเป็นโจร พวกเราไม่มีทางเป็นโจรแน่นอน”
“แต่ท่านแม่ไม่เชื่อพวกเรา หาว่าพวกเราเป็นขี้ขโมย แล้วยังเอาไม้เรียวเฆี่ยนตีพวกเรา”
เสียงร้องไห้จากเรือนตะวันออกนี้ ไม่ใช่เสียงร้องไห้โวยวาย แต่กลับเป็นเสียงสะอึกสะอื้นของเด็กๆ ที่เหมือนกำลังอัดอั้นเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม แค่ได้ยินเสียงก็ทำให้อดสงสารไม่ได้
ลู่เจียวกำลังเดินไปที่เรือนตะวันออก ทันทีนั้นเสียงสะอึกสะอื้นของเด็กน้อยก็เงียบสงัดลงทันที ใบหน้าของเด็กทั้งสี่คนซีดเซียวดุจไก่ต้ม แล้วรีบวิ่งไปขดตัวตรงหัวเตียง ร่างชิดผนังจนเกือบแทรกเข้าไปในผนัง
ลู่เจียวกำลังจะเอ่ยพูด จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยก่อน “ลู่เจียว เจ้านึกว่าข้าเป็นอัมพาตจนเอาเรื่องเจ้าไม่ได้ใช่หรือไม่จึงชอบทำนิสัยแย่ๆ เช่นนี้”
ภาพบนเตียงปะทะสายตาลู่เจียวเข้าอย่างจัง จนสติล่องลอยไปชั่วขณะ
บนเตียงเก่ามีบุรุษร่างผอมคนหนึ่งนอนอยู่ แม้จะดูผอมแห้ง ทว่ารูปลักษณ์หน้าตาหล่อเหลา ผมดำเงาดั่งหมึก ผิวพรรณประดุจหยกเย็น แววตาแพรวพราวคู่นั้นยิ่งเย้ายวนใจคน
ทั้งๆ ที่ตกอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส ทว่ากลับไม่ได้ดูน่าเวทนาแม้แต่น้อย
เพียงแต่เวลานี้ แววตาดำสนิทราวกับหมึกดำแผ่ซ่านความอำมหิตออกมา และกำลังจับจ้องลู่เจียวอยู่เช่นนั้น
หากว่าเขาขยับได้ ตอนนี้ลู่เจียวคงถูกคนคนนี้บีบคอจนตายอย่างไม่ต้องสงสัย
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงเห็นลู่เจียวไม่แสดงทีท่าใด ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมอีกครั้ง “ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าห้ามแตะต้องแม้แต่ขนเส้นเดียวของพวกเขา เจ้าไม่ได้ยินหรือไร”
ลู่เจียวได้ยินคำพูดของเขา จึงใคร่อธิบาย “ข้า?”
เพียงแต่นางยังไม่ทันเอ่ยออกมา ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตู คนที่มาเยือนยังไม่ทันเข้ามา มีเพียงเสียงเป็นห่วงเป็นใยดังขึ้นก่อน
“น้องสาม วันนี้เป็นเช่นไรบ้างแล้ว ดีขึ้นหน่อยไหม”
คนในเรือนมองคนที่กำลังเดินเข้ามา เขามีร่างซูบผอมและหลังค่อม ผิวพรรณดำคล้ำ ที่จริงแล้วเขามีอายุเพียงสามสิบเท่านั้น ทว่ากลับดูมีอายุราวสี่สิบกว่าปี
นี่คือพี่ชายคนรองของเซี่ยอวิ๋นจิ่น นามว่าเซี่ยเอ้อร์จู้
สามวันก่อน เซี่ยอวิ๋นจิ่นโดนรถม้าในหมู่บ้านชนจนได้รับบาดเจ็บสาหัส เซี่ยเหล่าเกินและเซี่ยเหล่าไท่ซึ่งเป็นบิดาและมารดาของเซี่ยอวิ๋นจิ่นสั่งให้คนไปตามหมอมารักษาเขาทันที
หลังจากที่หมอมาดูอาการ เซี่ยอวิ๋นจิ่นบาดเจ็บสาหัสเกินไป ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ในการรักษา ทว่าต่อให้รักษา ก็อาจจะกลายเป็นคนพิการ อาจต้องเป็นอัมพาตติดเตียงไปตลอดชีวิต
เมื่อเซี่ยเหล่าเกินและเซี่ยเหล่าไท่ได้ยินคำพูดเช่นนี้ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปในทันที จึงปรึกษาหารือกันว่าจะรักษาดีหรือไม่ รักษาไปแล้วจะได้ประโยชน์อะไรหรือไม่ อีกอย่าง ถ้าเซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นอัมพาต แล้วใครจะออกไปหาเลี้ยงครอบครัว
เซี่ยเหล่าเกินและเซี่ยเหล่าไท่มีบุตรชายสี่คนและบุตรีหนึ่งคน เซี่ยอวิ๋นจิ่นเป็นบุตรคนที่สาม เซี่ยเหล่าเกินโปรดปรานบุตรคนโต ส่วนเซี่ยเหล่าไท่ก็รักและเอ็นดูคู่แฝดชายหญิงสุดท้องที่สุด
เซี่ยอวิ๋นจิ่นและพี่ชายคนรองไม่ได้รับความรักจากพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก
ทว่าตอนที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นแปดขวบ อาจารย์ที่เป็นถึงบัณฑิตในหมู่บ้านคนหนึ่งสังเกตเห็นว่าเขาเป็นคนฉลาดหลักแหลม จึงมาเกลี้ยกล่อมให้เซี่ยเหล่าเกินและเซี่ยเหล่าไท่ส่งเสียเขาร่ำเรียนหนังสือ
หลังจากนั้น ผลการเรียนของเขากลายเป็นที่ตกตะลึง แรกเริ่มเขาสอบผ่านถงเซิง แล้วจึงสอบผ่านซิ่วไฉ
เขากลายเป็นปัญญาชนคนแรกของหมู่บ้านในหลายสิบปีมานี้ ทุกคนในหมู่บ้านตระกูลเซี่ยต่างภูมิใจในตัวเขา เซี่ยเหล่าเกินและเซี่ยเหล่าไท่ต่างได้รับความเคารพจากคนอื่น เลยมาทำดีกับบุตรคนที่สาม แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ชีวิตของเขาเลยกลับมาตกอับอีกครั้ง
ผลสรุปสุดท้ายจากที่ตระกูลเซี่ยหารือคือแยกครอบครัวกัน พวกเขาเอาห้าตำลึงเงินมาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นรักษา ถ้ารักษาหายก็ดีไป แต่ถ้าไม่หายก็คือโชคชะตาของเขาแล้ว
แต่ลู่เจียวไม่ยอมให้แยกครอบครัวเช่นนี้ ทว่าคนในตระกูลเซี่ยไม่สนใจนาง แล้วยังขับไล่พวกเขาให้มาอยู่ในเรือนหลังเก่านี้
นางโกรธมาก เลยไม่ยอมเอาเงินให้เซี่ยอวิ๋นจิ่นไปรักษา สุดท้ายเป็นเซี่ยเอ้อร์จู้เอาเงินที่เซี่ยอวิ๋นจิ่นเคยให้เขาไปซื้อยาจากหอยาเป่าเหอ แล้วแอบไปต้มยากลางป่าลับตาคน แล้วค่อยส่งมาให้เซี่ยอวิ๋นจิ่น จึงสามารถรักษาชีวิตของเขาเอาไว้ได้
เซี่ยอวิ๋นจิ่นที่อยู่บนเตียงได้ยินคำพูดของเซี่ยเอ้อร์จู้ แววตาเย็นชาก็จางหายไปสองส่วน
“พี่รอง ข้าดีขึ้นแล้ว”
เซี่ยเอ้อร์จู้ถอนหายใจ ก้าวเข้าไปข้างเตียงทันที “น้องสาม ดื่มยาเถอะ ประเดี๋ยวข้าจะทายาใหม่ให้เจ้า”
ลู่เจียวกำลังจะเอ่ยถามว่า ให้นางช่วยไหม
ใครจะไปรู้ว่านางยังไม่ทันได้เอ่ย เซี่ยอวิ๋นจิ่นหันหน้ามาส่งสายตาเย็นชาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก “ไสหัวออกไป”