ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 369 เจ้าต้องตายด้วยคมกระบี่ข้า เจ้าหมาดำ
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 369 เจ้าต้องตายด้วยคมกระบี่ข้า เจ้าหมาดำ
ด้านนอกนครหลวง หัวใจของจีเฉิงอวี่สั่นสะท้านตอนได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากในเมือง
ภาพของอสูรเวทขั้นเซียนเทพที่น่าสะพรึงกลัวจากร้านเล็กๆ ของฟางฟางแวบเข้ามาในใจเขาอีกครั้ง… ตั้งแต่ที่อสูรเวทขั้นเซียนเทพตัวนี้ปรากฏตัว มันก็ไม่เคยพ่ายแพ้แก่ใคร
เจ้าลัทธิอสุราสามารถกำราบสุนัขอสูรเวทขั้นเซียนเทพตัวนั้นได้จริงหรือ
จีเฉิงอวี่บอกไม่ได้ว่าเรื่องจะลงเอยอย่างไร แต่เขาไม่อยากเผชิญหน้ากับอสูรเวทขั้นเซียนเทพตัวนั้นอีกแล้ว
ไม่ใช่เขาคนเดียว ความกลัวปรากฏอยู่บนใบหน้าเหล่าทหารในกองทัพด้วยเช่นกัน รูขนาดมโหฬารบนกำแพงเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดปรากฏให้เห็น รูยักษ์นี้เผยทิวทัศน์บางส่วนภายในเมืองให้ประจักษ์แก่สายตา
อย่างน้อยมันก็ช่วยให้ไม่ต้องหารอยแตกเพื่อบุกเข้าเมือง แต่ถึงจะมีรูอยู่ทนโท่ พวกเขา… ก็ไม่กล้าเหยียบเข้าไปแต่อย่างใด แค่คิดถึงต้นเหตุที่ทำให้เกิดรูนี้ก็ทำเอาสั่นไปทั้งตัวแล้ว
มหาพรตยังอยู่ในรถม้า นางไม่ได้ปรากฏกายออกมาแม้จะมีความโกลาหลเกิดขึ้นภายนอกก็ตาม
ความสนใจของนางอยู่ที่วงแหวนปราณสีเลือดในมือเท่านั้น เส้นพลังปราณของนางพุ่งออกมาราวไหมชั้นดี ก่อนจะลอยเข้าไปในวงแหวนปราณดังกล่าว
ตู้ม ตู้ม ตู้ม!
กำแพงเมืองแตกร้าวร่วงกระจายเป็นชิ้นๆ หินร่วงกราวไปทั่วถนน ขณะที่ร่างหนึ่งคลานออกมาจากซากปรักหักพัง
ต้วนหลิงพยุงตัวขึ้นพร้อมใบหน้าบึ้งตึง เขาปล่อยพลังปราณเที่ยงแท้ออกมาปัดฝุ่นผงออกจากตัว
เจ้าลัทธิอสุราไม่คาดคิดมาก่อนว่าในร้านเล็กๆ แห่งนั้นจะมีไพ่ตายซ่อนอยู่ อสูรเวทขั้นเซียนเทพอย่างนั้นรึ แถมไม่ใช่อสูรเวทขั้นเซียนเทพธรรมดาๆ เสียด้วย
อุ้งเท้าสุนัขนั่นฟาดเขาจนกระเด็นถอยหลังไปก็จริง แต่เมื่อครู่น่าจะเป็นเพราะเขาสะเพร่าเสียมากกว่า
ปฏิเสธไม่ได้ว่าอสูรเวทขั้นเซียนเทพที่ส่งเขากระเด็นกระดอนไปบนฟ้า… มีปราณขั้นเซียนเทพชั้นสูงสุด
ทว่าอย่างไรเสียเขาก็เกือบบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่รอมร่อ พวกขั้นเซียนเทพธรรมดาๆ นั้นไม่ต่างอะไรจากมดปลวกในสายตาเขา และไม่อาจทำอะไรเขาได้
ต้วนหลิงหรี่ตาที่เต็มไปด้วยแววดุร้าย ปอยผมห้อยลงมาปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ เขามองไปยังร้านเล็กๆ ตรงหน้าพลางหายใจยาว เจ้าลัทธิอสุรากระทืบเท้า ทำให้พื้นดินข้างใต้สั่นสะเทือน จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่ร้านเล็กๆ ของฟางฟาง
ขณะต้วนหลิงทะยานขึ้นสู่ฟ้า หินที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วถนนก็สลายเป็นฝุ่นผงทันที
เปรี้ยง!
ต้วนหลิงที่เกือบบรรลุขั้นเทพศักดิ์สิทธิ์สามารถเดินทางได้ด้วยความเร็วเหนือเสียง
กำแพงเมืองสั่นสะเทือน หลายคนที่ยืนอยู่บนกำแพงเมืองรวมถึงจีเฉิงเสวี่ยต่างหวาดกลัวจนหน้าซีดเผือด
โชคดีที่กำแพงเมืองกลับมาทรงตัวได้หลังจากสั่นอยู่สักพัก จีเฉิงเสวี่ยที่ตื่นตระหนกถึงกับถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอก
“ไม่มีใครหยุดข้าได้! ต่อให้เป็นอสูรเวทขั้นเซียนเทพชั้นสูงสุดก็เถอะ!”
ต้วนหลิงแผดเสียง ดวงตาเป็นประกายสีแดงระยับราวกับมีลูกไฟลุกโชนอยู่ภายใน เสียงลมหวีดหวิวพร้อมบางอย่างที่ปะทุขึ้นกลางอากาศ ความเร็วของต้วนหลิงเพิ่มขึ้นอีกครั้ง ทำให้เขาสามารถพุ่งทะยานไปข้างหน้าได้รวดเร็วเหลือเชื่อ
ตอนนั้นเองเขาก็มองเห็นวายร้ายที่ฟาดเขาจนกระเด็น
สุนัขร่างท้วมสีดำเดินเยื้องย่างราวกับแมวอยู่หน้าร้าน ดวงตาของมันเป็นประกายวิบวับอย่างอารมณ์ดี
“ทำตาเช่นนั้นหมายความว่าอย่างไร ไอ้สุนัขนั่นมันกล้าดีมาจากไหน”
ต้วนหลิงคำรามด้วยความโกรธแค้น เป็นแค่สุนัขกลับกล้าดูถูกเขาหรือ
“บังอาจนัก”
ตู้ม!!
ความเร็วของต้วนหลิงมากเสียจนแทบมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น
ชาวเมืองต่างหวาดกลัวจนเข่าแทบทรุด ปีศาจร้ายผู้นี้… กลับมาอีกแล้ว! ครั้งนี้จะมีใครขับไล่คนผู้นี้ไปได้อีกไหม ไม่น่ามี เมื่อครู่ยอดฝีมือที่อยู่ภายในร้านน่าจะเอาชนะคนผู้นี้ได้เพราะโชคช่วย เล่นงานตอนเขากำลังประมาทเลินเล่อ ทว่าครั้งนี้… ยอดฝีมือผู้นั้นคงต้องพ่ายแพ้เป็นแน่
ความประหวั่นพรั่นพรึงที่ต้วนหลิงฝากไว้ฝังรากลึก
คมกระบี่ของคนผู้นี้ฟาดลงมาเพียงครั้งเดียวแต่กลับฝากรอยลึกเอาไว้บนพื้นดิน เขาคือฝันร้ายของทุกชีวิตที่อาศัยอยู่ในนครหลวง ที่อย่างไรเสียก็ไม่อาจลบออกจากความทรงจำไปได้
ดังนั้นต่อให้ชาวเมืองสวดภาวนาขอให้ยอดฝีมือในร้านได้รับชัยชนะ แต่พวกเขาก็ไม่อาจแน่ใจได้
ต้วนหลิงเพิ่มความเร็วพลางหอบลมพายุรุนแรงมาด้วย
ไกลออกไป เจ้าขาวสาวหมัดใส่กรงพลังกระบี่ด้วยหวังว่าจะทำลายมันได้ กระนั้นมันก็ยังถูกเจตจำนงกระบี่อสุราที่ลอยอยู่เหนือกรงควบคุมไว้
ปัง ปัง ปัง!
ต้วนหลิงย่ำเท้ากลางเวหา แต่ละย่างก้าวทำเอาอากาศปั่นป่วน โซ่ตรวนขั้นเซียนเทพที่พันรอบตัวกดน้ำหนักลงบนหมัดที่เขากำลังควง
แคร้ง แคร้ง!
เสียงของโซ่กระทบกันดังก้องอยู่ในโสตประสาท ต้วนหลิงแผดร้างพลางปล่อยหมัดออกไปพร้อมจิตสังหารรุนแรง หมัดนี้เขาตั้งใจจะกำจัดอสูรเวทขั้นเซียนเทพให้สิ้นซาก
เจ้าดำที่กำลังเดินนวยนาดเหมือนแมวพลันหยุดเดิน ลมแรงกระโชกใส่จนเนื้อที่ห้อยย้อยเพราะความอ้วนของมันกระพือไปมา
ทว่ามุมปากของมันกลับโค้งขึ้น
จังหวะที่หมัดของต้วนหลิงกำลังจะถึงตัว เจ้าดำก็อ้าปากกว้างพลางปล่อยเสียงเห่าราวเสียงฟ้าร้องออกมา เสียงเห่าของมันฟังคล้ายเสียงคำรามของมังกรผนวกกับเสียงคำรามของสิงโต คลื่นเสียงนั้นรุนแรงเสียจนทำให้ต้วนหลิงตะลึงงันไป
เจ้าลัทธิอสุราถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินเสียงเห่านี้ หลังจากสับสนอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เกิดอาการตกใจสุดขีดความรู้สึกไม่ดีแผ่พุ่งไปทั่วหัวใจ
หลังจากตั้งสติได้ ต้วนหลิงก็ตระหนักได้ว่าอุ้งเท้าสุนัขกำลังขยายขนาดขึ้นต่อหน้าต่อตา
“ไอ้อุ้งเท้าบ้านี่อีกแล้วรึ?!”
เจ้าลัทธิอสุรารู้สึกเหมือนโดนสัตว์ร้ายนับหมื่นเหยียบลงมาบนหัวใจ เขาอดไม่ได้ที่จะสบถออกมา
ตู้ม!!
อุ้งเท้าสุนัขตรงหน้าเกิดจากพลังปราณ มันมีขนาดมโหฬารและทรงพลังอย่างที่สุด
ต้วนหลิงมีทั้งความเร็วที่น่าพรั่นพรึง อีกทั้งพลังของเขายังควบคุมคนอื่นได้อยู่หมัด ในสายตาของเหล่าชาวเมือง… ชายผู้นี้คงจะดับเครื่องชนกับอุ้งเท้าของสุนัขเป็นแน่
ทว่าต้วนหลิงกลับไม่อาจทำอันตรายอุ้งเท้าสุนัขได้ ทั้งยังรู้สึกได้ว่าใบหน้าของตนผิดรูปผิดร่างไป การปะทะเมื่อครู่… ทำให้ร่างของเขาพุ่งทะยานไปในท้องฟ้าอีกครั้ง
ครั้งนี้เขากระเด็นถอยหลังด้วยความเร็วที่มากยิ่งกว่าเดิม ทิ้งร่องรอยของฝุ่นละอองไปทั่วนครหลวง
ร่างของเขาฟาดเข้ากับกำแพงเมืองจนเกิดรูโหว่รูใหม่ แต่ยังไม่หยุดแค่นั้น เจ้าลัทธิอสุรายังเซถลาถอยหลังต่อไปอีก
สุดท้ายร่างของเขาก็ไถกวาดกองทัพของจีเฉิงอวี่จนระเนระนาด
เจ้าดำเก็บอุ้งเท้าลงอย่างสบายอุรา ไม่มีเภทภัยใดที่อุ้งเท้าของท่านสุนัขผู้ยิ่งใหญ่แก้ไม่ได้ หากอุ้งเดียวจัดการไม่สำเร็จ เพิ่มอีกสักสองสามอุ้งก็หมดปัญหา
บรรยากาศในเมืองเงียบเชียบจนแทบได้ยินเสียงเข็มตกพื้น
ครั้งนี้ชาวเมืองตัวสั่นไปถึงทรวงจริงๆ ปีศาจที่พวกเขามองว่าไร้เทียมทานกลับถูกฟาดกระเด็นไปอีกครั้ง ไอ้หมอนี่ดูท่าว่าจะเป็นปีศาจเก๊เป็นแน่!
เป็นตัวปลอมที่แค่รับมือสุนัขก็ยังทำไม่ได้…
ปู้ฟางเหลือบมองต้วนหลิงที่ลอยละลิ่วไปบนท้องฟ้าอีกครั้ง เขาเหยียดยิ้มแล้วไม่ใส่ใจคนผู้นั้นอีก ชายหนุ่มหันหลังเดินกลับเข้าร้านพลางมองดูเซียวเหมิงที่เพิ่งซดพระกระโดดกำแพงไปเต็มช้อน
เซียวเยียนอวี่ป้อนพระกระโดดกำแพงคำโตให้เซียวเหมิงอย่างระมัดระวัง นางไม่ได้รับผลกระทบจากการต่อสู้อันดุเดือดภายนอกแม้แต่น้อย
สีหน้าของเซียวเหมิงไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าใดนักหลังกินพระกระโดดกำแพงเข้าไป
เซียวเยียนอวี่กับเซียวเสี่ยวหลงอดรู้สึกผิดหวังอยู่ในอกไม่ได้
‘หรือมันจะไม่มีฤทธิ์เยียวยา’
ถ้าอาหารโอสถทิพย์ของเถ้าแก่ปู้ช่วยไม่ได้ แปลว่าพวกเขาทำได้เพียงรอดูท่านพ่อจากไปอย่างนั้นหรือ
“ทำไมพวกเจ้ารีบร้อนนัก พิษในตัวเขาฝังลึกและซึมเข้าอวัยวะสำคัญๆ ไปหมดแล้ว พวกเจ้าคิดว่าพระกระโดดกำแพงเป็นอะไร เป็นยาอายุวัฒนะที่กินเข้าไปแล้วต้องออกฤทธิ์ทันทีอย่างนั้นหรือ” ปู้ฟางเห็นสีหน้าสิ้นหวังของเซียวเยียนอวี่แล้วอดไม่ได้ที่จะกลอกตาก่อนอธิบายเสียงนิ่ง
เซียวเยียนอวี่อึ้งไปทันที
ทว่าตอนที่พวกเขากำลังคุยกันอยู่นั้น เซียวเหมิงที่เมื่อครู่อาการยังไม่กระเตื้องกลับลืมตาขึ้นอย่างฉับพลัน ดวงตาของชายวัยกลางคนเป็นสีแดงก่ำ เขารู้สึกเหมือนมีลูกไฟลุกโชนอยู่ในอกจนต้องคร่ำครวญออกมาด้วยความเจ็บปวด
ตอนนั้นเองพิษสีดำที่แพร่กระจายไปทั่วใบหน้าก็เริ่มเต้นเร่าแล้วสลายหายไปช้าๆ
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ปู้ฟางก็อ้าปากค้าง ในใจรู้สึกยินดี ดูเหมือนว่าอาหารจานนี้ได้ทำหน้าที่ของมันแล้ว เขาปรายตามองพระกระโดดกำแพงที่ปล่อยไอร้อนออกมาพร้อมกลิ่นหอมแล้วก็อดเลียริมฝีปากไม่ได้ มันไม่ได้เป็นแค่อาหารโอสถทิพย์ แต่คืออาหารจานอร่อยที่ล้ำค่าหายาก
เขาคว้าตะเกียบขึ้นมา พร้อมจะชิมรสชาติของพระกระโดดกำแพงด้วยตัวเอง
ทว่าตอนนั้นเองที่ด้านนอกของร้าน ต้วนหลิงที่เพิ่งถูกเจ้าดำฟาดกระเด็นก็หวนกลับมาอีกครั้ง และครั้งนี้เขาก็ฉลาดขึ้นกว่าเดิม แทนที่จะหวั่นวิตกแล้วปล่อยหมัดออกไปมั่วซั่ว เขากลับเลือกลอยตัวพลางจ้องสุนัขอ้วนด้วยสายตาระแวดระวังอยู่ไกลๆ
“ไอ้หมานี่เล่นสกปรก! ถ้ามันไม่เห่าออกมาให้ข้าเสียสมาธิ… ข้าย่อมไม่ถูกฟาดกระเด็นเป็นครั้งที่สองแน่!”
เพลิงโทสะพลุ่งพล่านอยู่ในใจของต้วนหลิงราวกับจะแหกออกมาจากอกเขาอย่างไรอย่างนั้น กระนั้นเขาก็ไม่ใช่คนโง่ เสียท่าครั้งแรกเขาอาจโทษความสะเพร่าของตนเองได้ แต่การพลาดท่าครั้งที่สองเตือนให้รู้ว่าเขาไม่ควรดูแคลนศัตรู ถึงอีกฝ่ายจะเป็นเพียงสุนัขก็ตามที!
พลังปราณเที่ยงแท้หนาแน่นพุ่งเข้ามาห่อหุ้มร่างกายของต้วนหลิงเอาไว้ไม่หยุด เขากางฝ่ามือ พลังกระบี่อัดแน่นรวมตัวกันต่อหน้าก่อนจะเปลี่ยนร่างเป็นกระบี่สีเลือดขนาดมหึมา
พลังปราณเที่ยงแท้ของยอดฝีมือขั้นกึ่งเทพศักดิ์สิทธิ์มีมหาศาล พลังที่อยู่ในกระบี่สีเลือดขนาดมโหฬารนั้น… มากพอที่จะทำให้ขั้นเซียนเทพทุกคนต้องหวาดกลัวจนตัวสั่น
กระบี่นี้นับเป็นการโจมตีครั้งสำคัญของต้วนหลิง เมื่อเขาวาดคมกระบี่ลงไป มันต้องเชือดเจ้าสุนัขตัวอ้วนที่เย่อหยิ่งได้แน่นอน