ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - บทที่ 334 โจ๊กงูโลหิตมังกร
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- บทที่ 334 โจ๊กงูโลหิตมังกร
ยามค่ำคืนในดินแดนแสนภูผานั้นเงียบสงัดเสียยิ่งกว่าป่าช้า เมื่อเดินไปตามถนนที่ทอดยาวไปบนเขา สายลมเย็นจากขุนเขาประหลาดจะพัดหอบมาปะทะร่างกาย ยิ่งก้าวเท้าเข้าไปลึกเท่าไหร่ ความหนาวเหน็บก็ยิ่งทวีคูณมากขึ้นเท่านั้น
เพียงก้าวขาเข้าไปในดินแดนแห่งเทือกเขาสูงชันหนึ่งก้าว บรรยากาศรอบกายก็พลันเปลี่ยนไปทันที
ถนนสายแคบแห่งนี้เต็มไปด้วยใบไม้ใบหญ้าที่ร่วงหล่น มีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวประหลาดเหมือนกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ของสุราที่กำลังอยู่ในกระบวนการหมัก
ท่ามกลางความเงียบงัน เหล่าแมลงพากันร้องระงมประสานเสียงเบาๆ เหมือนวงดนตรีที่กำลังประโคมบทเพลงแห่งธรรมชาติ
กรอบ แกรบ
ปู้ฟางเหยียบลงบนใบไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้น พรมใบไม้หนานุ่มพากันยุบตัวลงเหมือนนุ่นนุ่มใต้ฝ่าเท้า เป็นสัมผัสที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้รับจากดินแดนที่เต็มไปด้วยหินผาแห่งนี้
แสงสีเงินยวงของดวงจันทร์บนท้องฟ้าถูกบดบังเอาไว้ด้วยหมู่ไม้ด้านล่างจนหมดสิ้น ต้นไม้หนาแน่นเขียวชอุ่มอุดมสมบูรณ์นี้ บอกได้เป็นอย่างดีว่าดินแดนแสนภูผานั้นเป็นป่าที่อยู่คู่ทวีปแห่งนี้มาอย่างยาวนาน
กิ่งก้านสาขาของต้นไม้เหล่านี้แผ่ขยายไปสุดลูกหูลูกตา เมื่อลมพัดมา กิ่งไม้เหล่านี้ก็โบกสะบัดตามสายลมเหมือนปีศาจร้ายที่กำลังกวัดแกว่งกรงเล็บ
หากต้องมาเดินอยู่ในบรรยากาศน่าขนหัวลุกเพียงนี้ ใครก็ตามที่ยังคงมีความเป็นมนุษย์อยู่ ย่อมต้องรู้สึกเหมือนถูกบีบคั้นจิตใจจนแทบทานทนไม่ไหวแน่นอน
แต่ไม่ใช่ปู้ฟาง เนื่องจากเขามีเจ้าขาวเดินดุ่มๆ อยู่ข้างหลัง ทำให้มั่นใจได้ว่าตนเองจะปลอดภัยหายห่วง หลังจากที่หันไปตบพุงเจ้าขาวเบาๆ ชายหนุ่มก็เดินหน้าต่อไปเหมือนกับว่าเจ้าขาวได้ส่งพลังความกล้าหาญมาให้เขาแล้วอย่างไรอย่างนั้น
ดินแดนแสนภูผาเต็มไปด้วยอันตราย แต่ก็เต็มเปี่ยมไปด้วยขุมสมบัติและทรัพยากรมากมาย เรื่องนี้เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
หลังจากก้าวไปข้างหน้าอีกสองสามก้าว ชายหนุ่มก็เริ่มดมอากาศฟุดฟิดพลางคิ้วเลิกขึ้น เบื้องหน้าไม่ไกลมีสมุนไพรที่เติบโตอยู่บนเนินดินเล็กๆ ระหว่างต้นไม้เก่าแก่สองต้น
สมุนไพรต้นนั้นเป็นสมุนไพรพลังปราณสีแดงแสบตา กลิ่นของมันเองก็แสบทรวงไม่แพ้สี แค่ดมเข้าไปนิดเดียวก็ทำให้ขมวดคิ้วนิ่วหน้าได้แล้ว กลิ่นนั้นเรียกเอาความทรงจำเกี่ยวกับเลือดที่สาดกระเซ็นออกมา
“หญ้าหัวใจโลหิต… สมุนไพรพลังปราณระดับห้า” เขาพึมพำ ดวงตาเป็นประกายขึ้นทันทีขณะสาวเท้าเข้าไปใกล้
แม้หญ้าหัวใจโลหิตจะมีสีแดงฉานสมชื่อ แต่ลักษณะของมันจัดได้ว่าสวยงามเกินใคร ลำต้นดูอ่อนช้อยบอบบางเหมือนสาวน้อยร่างอ้อนแอ้นอรชร ทั้งยังมีลวดลายประณีตวิจิตร ดูจากมุมไหนก็สวยงามเป็นอย่างยิ่ง
แกรก แกรก
แต่เบื้องหลังความงามมักมีพิษร้ายซ่อนอยู่เสมอ และคราวนี้ก็มาในรูปแบบของ—จิตสังหาร! หลังสมุนไพรต้นนี้มีงูตัวเล็กที่สีแดงไม่ต่างกันซ่อนอยู่ เกล็ดของมันเป็นประกายในยามค่ำคืนดูราวกับเป็นอัญมณีสีแดงเลือด ลิ้นสีดำสนิทส่งเสียงขู่ฟ่อๆ ในอากาศ ดวงตาจับจ้องอยู่ที่มนุษย์ซึ่งยืนโทนโท่อยู่เบื้องหน้า
อสูรเวทระดับห้า! ปู้ฟางอุทานกับตนเองด้วยความตกใจ แต่ก็ไม่ได้ตกใจอยู่นานเนื่องจากฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ ตรงหน้าเขานี้เป็นสมุนไพรพลังปราณ ถึงจะเป็นเพียงระดับห้าแต่ก็ยังจัดว่าหายาก ดังนั้นย่อมต้องมีองครักษ์ประจำตัวเสมอ
นี่กระมังเหตุผลที่ทำให้ดินแดนแสนภูผาอันตรายเหลือ เพราะทุกอย่างที่ดูเหมือนขุมทรัพย์มักจะหล่อเลี้ยงอสูรเวทประจำตัวเอาไว้ และอสูรเวทเหล่านี้ก็ทำหน้าที่อารักขาราวกับเป็นปู่โสมเฝ้าทรัพย์
ทั้งอสูรและพืชพันธุ์ต้องพึ่งพากันและกันเพื่อความอยู่รอด
งูตัวเล็กสีแดงสดจ้องปู้ฟางอยู่เป็นนาน ทักใดนั้นดวงตาของมันก็หรี่ลง ปากส่งเสียงขู่ฟ่อแหลมสูง แล้วกระโจนมาข้างหน้าเหมือนสายฟ้าสีแดงสด พุ่งเข้าหาชายหนุ่มทันที
ผู้ที่กล้าอยากได้สมบัติของมัน เห็นทีจะมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่!
งูตัวเล็กตัวนี้มีนิสัยดุร้าย ทั้งการเคลื่อนไหวก็ยังจัดว่าเร็วสำหรับอสูรเวทระดับมัน หากผู้ที่กำลังยืนอยู่ตรงหน้ามันในตอนนี้เป็นผู้ฝึกตนขั้นจักรพรรดิยุทธการ คงจะพบกับความลำบากมิใช่น้อยเลยทีเดียว
แต่ปู้ฟางมิได้เป็นเช่นนั้น ใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่งอยู่แม้ในยามคับขัน
ตอนนี้เขามีพลังปราณอยู่ในขั้นนักพรตยุทธการ และย่อมมีพละกำลังยอดเยี่ยมตามขั้นพลังปราณของตนเอง ชายหนุ่มไม่ได้หยิบอุปกรณ์พ่อครัวเทพออกมาด้วยซ้ำ เขาเพียงเรียกพลังปราณเที่ยงแท้ออกจากร่าง แล้วยื่นมือไปจับงูที่กำลังพุ่งตรงมาราวกับเป็นคีม
ดูจากสีของงูปู้ฟางก็รู้ว่ามันมีพิษ ด้วยเหตุนี้เขาจึงต้องจัดการมันอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ
พลังปราณเที่ยงแท้ของชายหนุ่มระเบิดออกมา เขาหรี่ตา พลางใช้ทักษะการใช้มือของตนฟาดลงไปยังจุดอ่อนบนร่างกายงู งูตัวน้อยสั่นสะท้าน มันต่อต้านแรงโจมตีอยู่ชั่วอึดใจเดียว ก่อนจะผ่อนลมหายใจออกมา แล้วตายลงในมือของชายหนุ่ม
ในฐานะพ่อครัว แน่นอนว่าเขาย่อมมีทักษะพิเศษในการจัดการวัตถุดิบอยู่แล้ว เขาจับที่หัวและหางของงู จากนั้นก็ม้วนมันเป็นขดแล้วเก็บใส่กระเป๋าไป
ในเมื่อตอนนี้ไม่มีอสูรเวทมาขวางทางแล้ว ปู้ฟางจึงสามารถเก็บสมุนไพรพลังปราณได้อย่างสบายใจ เขาก้าวไปข้างหน้า แต่ทันใดนั้นก็ถูกกระแสพลังปราณอีกระลอกพุ่งเข้าปะทะ ทำเอาต้องยืนอึ้งอยู่กับที่
หญ้าหัวใจโลหิต… ดูเหมือนว่าจะมีอายุพอตัวเลยทีเดียว แปลว่าคุณภาพย่อมต้องยอดเยี่ยมตามไปด้วย!
ค่ำคืนในป่าลึกนี้ไม่ได้สบายเหมือนเดินเล่นชมทัศนียภาพในสวนดอกไม้ แน่นอนว่าปู้ฟางไม่ได้วางแผนว่าจะเดินทางบุกตะลุยต่อไปเรื่อยๆ พร้อมร่างกายที่เหนื่อยอ่อน เขาตั้งใจจะหาที่พักผ่อนเอาแรงจนกว่าจะรุ่งสาง
แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเขาจะไม่สนใจสมุนไพรวิญญาณที่บังเอิญเจอเข้าระหว่างทาง
จุดที่ปู้ฟางอยู่ในตอนนี้แม้จะเป็นหนึ่งในบริเวณดินแดนแสนภูผา แต่ก็ยังไม่ใช่ส่วนลึก จึงยังไม่มีสมุนไพรพลังปราณระดับเจ็ดหรือแปด
เขารวบรวมกิ่งไม้แห้งมากองหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มติดไฟ ควันไฟลอยขึ้นในท้องฟ้าเบื้องบน และดูเหมือนจะพุ่งขึ้นสูงไม่มีที่สิ้นสุด
เมื่อจัดการกองไฟเสร็จเรียบร้อย เขาก็ลดตัวลงนั่งขัดสมาธิบนพื้น มองไปที่เปลวไฟซึ่งกำลังปะทุด้วยสายตาเหมือนต้องมนต์
เจ้าขาวที่ตัวอ้วนเสมอต้นเสมอปลายนั่งอยู่ไกลออกไป ดวงตาจักรกลของมันกะพริบเป็นจังหวะในความมืด บางทีมันก็จะยกมือใหญ่อ้วนกลมพอๆ กับตัวขึ้นมาเกาศีรษะเบาๆ ดูราวกับเป็นหุ่นยนต์น่ารักไร้พิษภัย
ท่ามกลางความเงียบสงัดของป่าใหญ่ มีเพียงเสียงร้องของแมลงเท่านั้นที่ลอยมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราว พร้อมด้วยเสียงหอนของอสูรเวทที่อยู่ไกลออกไป บรรยากาศเรียกได้ว่าวังเวงชวนขนหัวลุกพอตัวเลยทีเดียว
หลังจากที่นั่งเหม่ออยู่พักหนึ่ง ปู้ฟางก็เริ่มรู้สึกเบื่อขึ้นมา เขาจึงออกไปหากิ่งไม้มาเพิ่ม ชายหนุ่มกองกิ่งไม้เข้าด้วยกันเพื่อทำกรอบเตา แล้วหยิบหม้อสีดำออกมาจากกระเป๋าของระบบ
หม้อนั้นไม่ได้ใหญ่มาก เป็นขนาดที่พอดีกับการตุ๋นและนึ่ง
ในการออกเดินทางไกล โดยเฉพาะการมาเยือนเทือกเขากว้างใหญ่เช่นนี้ หม้อนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะอะไรน่ะหรือ ก็เพราะเทือกเขาอุดมสมบูรณ์แห่งนี้เต็มไปด้วยวัตถุดิบเลอค่าที่รอให้เก็บมาทำอาหารอย่างไรเล่า ปู้ฟางไม่มีทางลืมความจริงข้อนี้แน่นอน
ไม่นานนักน้ำหล่อวิญญาณในหม้อก็เริ่มเดือด ไอน้ำพุ่งขึ้นในอากาศ ทำให้อากาศโดยรอบเต็มไปด้วยพลังปราณแสนสดชื่น
ปู้ฟางตักน้ำร้อนขึ้นมาหนึ่งทัพพี เป่ามันสองสามทีแล้วจิบเข้าไป ความรู้สึกอบอุ่นพร้อมด้วยพลังปราณบำรุงร่างกายก่อตัวขึ้นในร่างเขาทันที
อ้า…
ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจออกอย่างพึงพอใจ ควันสีเขียวก่อตัวขึ้นที่มือ จากนั้นมีดทำครัวกระดูกมังกรทองก็ปรากฏขึ้น
งูที่เขาเพิ่งสังหารไปก็ถูกหยิบออกมาจากกระเป๋าด้วยเช่นกัน
ปู้ฟางควงมีดในมือ จากนั้นก็ใช้ปลายมีดผ่าท้องงูอย่างคล่องแคล่ว นิ้วของเขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วที่มากเสียจนทำให้คนมองทำได้เพียงหันหน้าตามไปมาอย่างุนงงเท่านั้น เขาถลกหนังงูอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เอาไส้ในออกแล้วล้างเนื้อที่เหลือจนสะอาด
งูตัวเล็กเช่นนี้มักเปี่ยมไปด้วยพิษร้าย เขาจึงต้องทำความสะอาดให้หมดจดก่อนจึงจะนำไปใช้ได้ ทุกส่วนของงูตั้งแต่หัวจดหางเรียกได้ว่าเป็นขุมทรัพย์ แต่ปู้ฟางกลับไม่ได้สนใจมากนัก เขาโยนถุงน้ำดีงูและอวัยวะอื่นๆ ทิ้งไปอย่างไม่ไยดี เก็บไว้เพียงเนื้องูเท่านั้น
แม้เครื่องในและถุงน้ำดีของงูจะเต็มไปด้วยสารบำรุงร่างกาย แต่ปู้ฟางก็สนใจเพียงส่วนที่อร่อยของงู ซึ่งก็คือเนื้อของมัน
วืดดด
เขาหยิบข้าวโลหิตมังกรออกมาจำนวนเท่าหนึ่งคนกิน จากนั้นก็เทใส่หม้อที่มีน้ำเดือดอยู่ ข้าวทุกเมล็ดเป็นสีแดงสด ดูเหมือนทับทิมสวยที่กำลังเต้นอยู่ในน้ำเดือด
ระหว่างที่รอให้ข้าวสุก เขาก็เริ่มเตรียมเนื้องู
ชายหนุ่มเริ่มจากการหั่นเนื้องูให้เป็นชิ้นเล็กๆจากนั้นก็สับมันไปเรื่อยๆ จนเนื้องูสีแดงละเอียด
หลังจากที่สับอยู่นาน เนื้องูก็กลายเป็นก้อนเนื้อบดที่ติดอยู่บนเขียงที่เขานำมาด้วย ตอนนั้นเองข้าวโลหิตมังกรก็ลอยขึ้นบนผิวน้ำ ส่งกลิ่นหอมสดชื่นพร้อมพลังปราณที่กระจายตัวออกจากหม้อ
พลังปราณจากข้าวชนิดนี้หนาแน่นมาก และกำลังก่อตัวขึ้นเรื่อยๆ รอบหม้อ เปลี่ยนสภาพเป็นเมฆรูปมังกรตัวเล็กที่เลื้อยคดเคี้ยวไปมาเหนือหม้อ
ปู้ฟางจัดการควงมีดทำครัวกระดูกมังกรทองในมือ ก่อนจะหยิบเขียงไม้ขึ้นมา แล้วแบ่งเนื้องูบดเป็นก้อนๆ ใส่ลงไปในหม้อทีละก้อน
น้ำหล่อวิญญาณที่เดือดอยู่เข้าล้อมเนื้องูทันที ทำให้เนื้อกระเด้งกระดอนไปมาสองสามรอบ ก่อนจะจมลงไปที่ก้นหม้อพร้อมเสียงดังจ๋อม ราวกับว่าไอน้ำรูปมังกรรอบหม้อกินลูกชิ้นเนื้องูเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น
ไม่นานเขาก็ใส่เนื้องูบดลงไปในหม้อจนหมด กลิ่นหอมของเนื้อเริ่มลอยออกจากหม้อ พร้อมกลิ่นหอมสดชื่นและพลังปราณจากข้าวโลหิตมังกร เมื่อทั้งสองกลิ่นผสานเข้าด้วยกันก็กลายสภาพเป็นกลิ่นที่มีเอกลักษณ์ในตัวขึ้นมาทันที
ปู้ฟางรวบรวมพลังปราณเที่ยงแท้เอาไว้ในมือ แล้ววางมือไว้บนขอบหม้อเหล็ก จากนั้นก็หรี่ตาลงเล็กน้อย เขาสัมผัสได้ถึงกระแสพลังปราณที่กำลังเดือดพล่านในหม้อตรงหน้า
คุณภาพของเนื้องูกำลังเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากทำปฏิกิริยากับข้าวโลหิตมังกรและน้ำหล่อวิญญาณ พลังปราณในข้าวที่ผสมกับพลังปราณในน้ำ ทำให้หม้อนี้ส่งกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ออกมา
ทันทีที่กลิ่นหอมเข้มพาตัวเองให้หลุดออกจากไอน้ำได้ มันก็ระเบิดออกไปทุกทิศทางพร้อมแสงเจิดจ้าที่ทำให้ป่ามืดมิดพลันสว่างขึ้น ราวกับหม้อใบนี้เป็นโคมไฟอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อเห็นดังนั้นปู้ฟางก็อดพึงพอใจในตนเองไม่ได้ นี่ละคือความหมายที่แท้จริงของการทำอาหาร เป็นความสวยงามเจิดจรัสที่ทำให้น้ำลายไหลไปในเวลาเดียวกัน ท่ามกลางความรกร้างกว้างใหญ่ของดินแดนแสนภูผา เขาสามารถลิ้มรสอาหารรสเลิศได้เสมอ ตราบที่ที่มีฝีมือมากพอ
ยิ่งไปกว่านั้น งานศิลปะที่เรียกว่าอาหารของเขายังทอประกายอบอุ่นอีกด้วย!
กลิ่นหอมน่ากินค่อยๆ กระจายตัวไปในป่าเหมือนสตรีแสนยั่วยวนที่เต้นระบำวนรอบต้นไม้ ไม่นานนักเสียงกรอบแกรบก็เริ่มดังขึ้น มันทำลายความเงียบสงัดของป่าไม้ยามวิกาล ดวงตาละโมบคู่หนึ่งปรากฏขึ้นท่ามกลางหมู่ไม้หนา
เสียงคำรามดังลั่นก้องขึ้นฟ้า
จากนั้นบรรดาอสูรเวทก็เริ่มพุ่งเข้ามาล้อมปู้ฟางเอาไว้
กลิ่นหอมยั่วยวนใจ ทั้งยังพรั่งพร้อมไปด้วยพลังปราณมากมายเช่นนี้ พวกมันจะอดใจไหวได้อย่างไร แน่นอนว่าย่อมทนไม่ได้อยู่แล้ว!
ปู้ฟางเอามือออกจากขอบหม้อก่อนจะผ่อนลมหายใจออกเบาๆ หัวใจของเขาเต้นระส่ำด้วยความตื่นเต้น อาหารที่เขาทำในวันนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
โจ๊กงูโลหิตมังกรที่เขาคิดค้นขึ้นเอง ดูจากหน้าตาก็รู้แล้วว่าต้องอร่อยล้ำอย่างแน่นอน ปู้ฟางคิดกับตนเองด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม
จากนั้นชายหนุ่มก็หยิบชามออกมาจากกระเป๋าของระบบ
ทุกครั้งที่เขาออกทำภารกิจนอกสถานที่ ชายหนุ่มจะนำของที่มองว่าจำเป็นใส่กระเป๋ามาด้วย ทุกการเดินทางสำหรับเขาคือการออกสำรวจโลกแห่งการทำอาหารในมุมมองใหม่ๆ แน่นอนว่าเขาจะขาดอุปกรณ์ใดไปไม่ได้เป็นอันขาด
กระทะ ชาม ทัพพี จาน ทุกอย่างที่คิดได้ เขาเอามาครบ
ชายหนุ่มตักโจ๊กสีแดงขึ้นมาใส่ชามจนเต็ม จากนั้นก็ก้มหน้าลงมองชามที่ร้อนควันฉุย พลางสูดกลิ่นของมันเข้าไปเต็มปอด ใบหน้าของเขาพลันสว่างไสวมีความสุขขึ้นทันที
ทุกครั้งที่ใช้ทัพพีตักโจ๊กขึ้นมา ลูกชิ้นเนื้องูอ่อนนุ่มจะกระเด้งขึ้นมาด้านบนเสมอ ลูกชิ้นนั้นกระเด้งกระดอนพร้อมไอน้ำ ทำให้ดูน่ารักน่ากินมากสำหรับปู้ฟาง
แต่ตอนที่เขากำลังจะตักโจ๊กคำแรกเข้าปาก มือของชายหนุ่มก็พลันหยุดลง เสียงหอนของสัตว์ร้ายรอบกายลอยมาเข้าหู
เหตุใดอสูรเวทพวกนี้จึงมาหอนอยู่แถวนี้กัน ปู้ฟางถามตนเอง รู้สึกงุนงงเล็กน้อย
บรู๋ว…
ชายหนุ่มวางช้อนโจ๊กลงพลางลุกขึ้นยืน จากนั้นก็หันไปมองรอบกายด้วยสายตางุนงง
ทันทีที่เขาลุกขึ้น รอบกายก็เนืองแน่นไปด้วยเสียงกรอบแกรบ
เงาของอสูรเวทตัวแล้วตัวเล่ากระโจนออกจากความมืด ดวงตาเย็นเยือกแฝงความละโมบมองมาที่ชายหนุ่มเขม็ง
ในที่สุดความน่ากลัวของดินแดนแสนภูผาก็ถึงคราวมาเยือนปู้ฟาง เบื้องหน้าเขาคือฝูงสุนัขป่าวิญญาณ หนึ่งในอสูรเวทล่าเนื้อที่น่ากลัวที่สุดในดินแดนแห่งขุนเขาแห่งนี้