ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD - ตอนที่ 291 ฝูงอสูรเวทจู่โจม
- Home
- ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD
- ตอนที่ 291 ฝูงอสูรเวทจู่โจม
บนพื้นที่ราบโล่งกว้างใหญ่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ลำแสงคล้ายคมกระบี่สว่างวาบผ่านไป ความเร็วในการเคลื่อนที่ของมันเร็วเสียยิ่งกว่าสายฟ้าเสียอีก
ลมกระโชกแรงจางหายไปพร้อมลำแสงของกระบี่ เหลือไว้เพียงร่างที่ยืนอยู่บนกระบี่เท่านั้น คนผู้นั้นมีคิ้วแหลมชี้และดวงตาที่สว่างเจิดจ้าเหมือนดวงดาว
ชายหนุ่มเหาะมาที่นี่ด้วยกระบี่บิน เขามองดินแดนโล่งกว้างแห่งทิศตะวันตกเฉียงเหนือพลางหยีตา
“เกือบถึงเมืองประจิมเร้นลับแล้ว… ผู้อาวุโสสูงสุดส่งข้ามาช่วยเหลือที่นี่ มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นที่เมืองประจิมเร้นลับจริงหรือ ลัทธิอสุรากลับมาแล้ว… ใครมันจะไปคาดคิดกัน” ชุดคลุมสีขาวของถังอิ่นโบกสะบัดไปตามสายลม เขามองไปที่ขอบฟ้าไกล จากนั้นก็พุ่งไปข้างหน้าอีกครั้งพร้อมลำแสงเจิดจ้า
จักรวรรดิวายุแผ่วตกอยู่ในความโกลาหล หลายเมืองกำลังเผชิญกับสภาวะสงคราม สงครามเปื้อนเลือดและโลหิตที่หลั่งรินคร่าชีวิตเหล่าทหารจำนวนมาก จักรวรรดิกลับมาสู่สภาวะเคร่งเครียดเศร้าหมองอีกครั้ง
ในฐานะหนึ่งในสำนักที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนทางใต้ สำนักความลับแห่งสวรรค์ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาอู่เหลียงจะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้ นอกจากนี้การที่ผู้อาวุโสจากวิหารเทพเจ้าลงทัณฑ์แห่งวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏต้องมาพ่ายแพ้จนถึงแก่ชีวิตที่จักรวรรดิวายุแผ่ว ยังทำให้คนทั้งวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏรู้สึกตกใจมากอีกด้วย
ผู้อาวุโสผู้นั้นมีร่างกายระดับเก้าขั้นเซียนเทพ และพลังปราณของเขาก็สูงไม่น้อย อีกนิดเดียวก็จะบรรลุระดับเก้าขั้นเซียนเทพจริงๆ แล้ว ผู้ฝึกตนมากฝีมือเช่นนี้กลับต้องมาพ่ายแพ้ในจักรวรรดิวายุแผ่ว จะให้พวกเขาไม่เดือดเนื้อร้อนใจได้อย่างไร วิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏส่งคณะมาสอบสวนเรื่องนี้ แล้วก็พบว่าจักรวรรดิกำลังอยู่ในสภาวะสงคราม… ราวกับว่ามีใครชักใยอยู่เบื้องหลัง
ทันทีที่คณะผู้ฝึกตนจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏได้ข้อมูลนี้มา การสังหารหมู่ก็เริ่มขึ้นโดยมีพวกเขาเป็นเป้าหมาย ขั้นนักพรตยุทธการหลายคนถูกสังหาร มีเพียงไม่กี่คนที่หนีรอดมาได้ เหล่าคนที่รอดตายเริ่มปล่อยข่าวออกมา
ลัทธิอสุราที่ถูกทำลายไปเมื่อหลายพันปีก่อนกลับมาแล้ว ครั้งนี้พวกเขาเข้ามาก่อชนวนสงครามภายในจักรวรรดิวายุแผ่ว แม้ทุกคนจะไม่รู้ถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง แต่ลัทธิอสุรานั้นชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ ย่อมไม่ประสงค์ดีอย่างแน่นอน
เมื่อได้รับข่าวจากวิหารเทพเจ้าแห่งดินแดนป่ารกชัฏ บรรดาสำนักสำคัญๆ จากดินแดนทางใต้ก็เริ่มส่งศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของตนเข้าช่วยเหลือ
ราชาอวี่ได้รับการสนับสนุนจากลัทธิอสุรา ส่วนจักรวรรดิวายุแผ่วก็ได้รับแรงหนุนจากสำนักที่แข็งแกร่งอื่นๆ
ไม่นานทั้งสองฝ่ายก็ขับเคี่ยวกันอย่างสูสี
….
“สุนัขป่าดำดิน!”
เสียงตะโกนร้องดังขึ้น ตามมาด้วยกองทหารลำดับสามแห่งเมืองประจิมเร้นลับที่กรูกันออกมา พวกเขาเข้าล้อมสุนัขป่าตัวใหญ่ที่โผล่ขึ้นจากดินเอาไว้
สุนัขป่าดำดินเป็นอสูรเวทที่เคลื่อนไหวคล่องแคล่วและใช้ชีวิตอยู่ใต้ดิน สำหรับพวกมันการเคลื่อนไหวใต้ดินนั้นไม่ต่างอะไรกับการว่ายน้ำ จัดเป็นอสูรเวทที่หายากในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ด้วยความที่เป็นอสูรเวทระดับสี่การโจมตีของพวกมันจึงไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่ก็สามารถสร้างความเสียหายโดยไม่คาดคิดได้
ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังดุร้ายมากอีกด้วยเมื่อจะกัดเหยื่อ โดยจะดูให้แน่ใจว่ากัดในจุดที่ทำให้เลือดออกมากที่สุด สุนัขป่าดำดินสามารถฉีกเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ ด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว ทำให้มีเลือดไหลออกมาปริมาณมาก
เหล่าทหารที่มีประสบการณ์ยกอาวุธของตนขึ้นแล้วพุ่งเข้าใส่สุนัขป่าดำดินพร้อมตะโกนกู่ร้อง
จูเยวี่ยผู้เป็นแม่ทัพของกองทหารลำดับสามใบหน้าซีดเผือด พวกเขาเพิ่งเริ่มออกเดินทางไม่นาน แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับอสูรเวทที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้แล้ว แค่เริ่มก็เห็นถึงลางร้ายตะคุ่มๆ…
ไม่นานนักฝูงสุนัขป่าก็ถูกกองทหารโค่นได้สำเร็จแล้วต้องหนีกลับลงดินไป แต่ทหารก็ตื่นตัวไปหมดและไม่กล้าลดระดับความระวังตัวลงอีก
สุนัขป่าดำดินหรือ… ดวงตาของปู้ฟางเป็นประกายขึ้นขณะมองสุนัขตัวที่ถูกทหารแทงตาย ความสนใจทวีคูณยิ่งขึ้นขณะเริ่มสำรวจซากสัตว์ตรงหน้า
สมาชิกหน่วยโรงครัวคนอื่นๆ กำลังสาละวนอยู่กับการป้องกันกองทัพ จึงไม่ได้สังเกตการกระทำของเขา
ปู้ฟางพลิกตัวสุนัขขึ้นพร้อมหยีตา คุณภาพของเนื้อจัดว่าดีเลยทีเดียว
สุนัขป่าเหล่านี้ใช้ชีวิตอยู่ใต้ดินมาเป็นเวลานาน เนื้อของมันจึงถูกทำให้บริสุทธิ์ด้วยพลังปราณเที่ยงแท้ที่อยู่ใต้ดิน และมีคุณลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนใคร
ปู้ฟางเอามือตบตัวสุนัขป่าก่อนจะลุกขึ้นยืน เขาถอนหายใจด้วยความเสียดายเนื่องจากใช้กระเป๋าคลังเก็บไม่ได้ ไม่เช่นนั้นคงจะเก็บสุนัขตัวนี้เข้าไปเพื่อใช้งานต่อแล้ว
แม้ราคาของมันจะต่ำแต่คุณภาพของเนื้อถือว่าดี น่าจะมีรสชาติอร่อยหลังปรุงเสร็จ
แม้ฝูงสุนัขป่าดำดินจะหนีกลับลงไปแล้ว แต่กองทหารลำดับสามกลับตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก แม้จะชนะแต่ก็มีทหารหลายคนที่บาดเจ็บนอนร้องโอดโอยอยู่บนพื้น
อสูรเวทที่ซุ่มโจมตีอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัวเช่นนี้จัดการด้วยยากที่สุด
แต่ถึงสถานการณ์จะเลวร้าย พวกเขาก็ต้องเดินหน้าต่อไป ในวันที่สอง กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับยังคงออกเดินทางไปสู่จุดหมาย
แต่ไม่นานพวกเขาก็พบปัญหาอีกครั้ง ขณะกำลังเคลื่อนที่ผ่านกองหินหักพัง งูวายุระดับสี่ก็พุ่งเข้าจู่โจมพวกเขา งูนี้โดยปกติมีนิสัยขี้เกียจชอบจำศีล แต่กลับบ้าคลั่งขึ้นมาและเริ่มโจมตีกลุ่มทหาร ทหารหลายคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการต่อสู้ครั้งนี้
แม้งูวายุจะไม่ได้มีพิษมาก แต่ก็ยังทำให้ร่างกายอ่อนแอไปได้หลายวัน อสูรเวทประเภทนี้รับมือด้วยยากนัก
การโจมตีของฝูงงูทำให้สภาพจิตใจของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับย่ำแย่ลงอีก…
แม่ทัพของกองทหารลำดับสามจูเยวี่ยเริ่มรู้สึกถึงลางร้าย แม้พวกเขาจะไม่ได้ไปแหย่อสูรเวทเหล่านั้น แต่พวกมันกลับเข้ามาโจมตีอยู่ดี นี่ไม่ใช่เรื่องปกติอย่างแน่นอน เขาเคยพากองทัพออกเดินทางมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาพบอสูรเวทระหว่างทาง แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีอสูรเวทฝูงใดโจมตีกองทัพก่อนเลยสักครั้ง
แต่ด้วยความที่เขายังหาสาเหตุไม่ได้ จูเยวี่ยจึงต้องนำทัพเดินหน้าต่อไป ระหว่างทางพวกเขาถูกอสูรเวทโจมตีอีกสองสามครั้ง อสูรเวทเหล่านี้ระดับพลังไม่สูงมากแต่พวกมันเข้าโจมตีเป็นฝูง จึงทำให้รับมือได้ยาก
ขวัญและกำลังใจของกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับตกต่ำถึงขีดสุด เหล่าทหารดูไร้ซึ่งชีวิตชีวา เอาแต่บ่นกระปอดกระแปดไปตลอดทาง
……
ธงประจำกองทัพถูกปักไว้บนเนินเขาที่เต็มไปด้วยทรายสีเหลืองทอง เบื้องหลังธงมีกองทหารพร้อมด้วยอสูรเวทอาชา ทหารทุกนายกำลังยืนอยู่บนพื้น ในหมู่พวกเขามีคนในชุดคลุมสีดำพร้อมด้วยกลิ่นอายชั่วร้ายรวมอยู่ด้วย ทหารทุกนายต่างมองไปที่ชายผู้นั้นด้วยความเคารพนับถือ
“ศิษย์พี่อาหมู่หนี… หากทุกสิ่งเป็นไปตามแผนที่วางไว้ อีกไม่นานกองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับจะต้องถึงเมืองโม่หลัว เมื่อถึงเวลานั้น เมืองโม่หลัวจะมีกำลังจากกองทัพมาเสริม เกรงว่าจะทำให้พวกเราตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบนะขอรับ” นักรบผู้น่าเกรงขามคนหนึ่งพูดพร้อมมุ่นคิ้ว
“แม่ทัพโม่หลิน ในฐานะผู้ติดตามคนสำคัญของราชาอวี่ เจ้าน่าจะพอคาดการณ์ได้ ระหว่างทางที่กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับเดินทางจากเมืองของตนมายังที่แห่งนี้ พวกเขาจะพบเจอเรื่องน่าประหลาดใจมากมายทีเดียว ข้าได้เตรียมของขวัญเอาไว้ให้พวกเขาจนนับไม่หวาดไม่ไหว พอย่างเท้าเข้าเขตภูเขา เห็นทีจะได้สิ้นชีพกันหมดเป็นแน่” ชายชราในชุดคลุมสีดำยิ้มกริ่ม
โม่หลินชะงัก ไม่กล้าปัดสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ยินทิ้งไป เนื่องจากชายชราในชุดคลุมสีดำนี้เป็นถึงขั้นนักพรตยุทธการ หากมีเขากองทัพของพวกเขาก็จะสามารถเข้ายึดเมืองโม่หลัวได้โดยง่าย แต่กลับมีขั้นนักพรตยุทธการอีกคนปรากฏตัวขึ้นในเมืองโม่หลัวเสียได้ จึงทำให้การโจมตีของพวกเขาสำเร็จผลช้าลง
หลังจากยึดเมืองโม่หลัวได้แล้ว พวกเขาก็จะสามารถใช้กองกำลังทหารกดดันเมืองที่ใหญ่กว่าอย่างเมืองประจิมเร้นลับได้
ดูเหมือนว่าเมืองประจิมเร้นลับจะเข้าใจความตึงเครียดของสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี จึงได้ส่งกำลังเสริมมาช่วย
“รายงานใหม่ขอรับ! สายของเราส่งข่าวมาว่ากองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับได้เดินทางเข้าเขตหุบเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว”
ทหารลาดตระเวนรีบวิ่งเข้ามารายงานข่าวใหม่ให้โม่หลินและชายชราในชุดดำทราบ ดวงตาของทั้งสองเป็นประกายขึ้นทันที ทั้งสองขึ้นขี่หลังอาชาแล้วสั่งการให้ทหารของตนรีบออกเดินทาง
ขวัญกำลังใจของกองทหารลำดับสามแห่งเมืองประจิมเร้นลับในตอนนี้เรียกได้ว่าตกต่ำถึงขีดสุด หลังจากที่ต้องเผชิญหน้ากับการโจมตีของฝูงอสูรเวทหลายต่อหลายครั้งมาตลอดทาง พวกเขาทั้งงงงวยและเหนื่อยอ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ เรียกได้ว่าสภาพของกองทหารในตอนนี้ย่ำแย่มากทีเดียว
จูเยวี่ยเข้าใจความยากลำบากของสถานการณ์ดี เขาจึงสั่งให้ทุกคนตั้งค่ายเพื่อพักผ่อนเอาแรง
กองทหารลำดับสามกำลังอยู่ในสภาวะตื่นตระหนก ด้วยเหตุนี้จึงส่งทหารลาดตระเวนออกไปสำรวจพื้นที่เสียก่อน หากเจอฝูงอสูรเวทที่รอซุ่มโจมตี พวกเขาจะได้เตรียมรับมือทัน
“อีกประเดี๋ยวเราจะถึงเมืองโม่หลัวแล้ว จงนำคำสั่งข้าไปแจ้งกับหน่วยโรงครัวให้ทำอาหารดีๆ เอาไว้เยอะๆ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้ทหาร!” จูเยวี่ยตะโกนออกคำสั่ง
หน่วยโรงครัวได้รับคำสั่งจากแม่ทัพเรียบร้อย แม้เว่ยต้าฝูและคนอื่นๆ จะรู้สึกเหนื่อยอ่อน แต่พวกเขาก็ยังขยับตัวเร่งทำงานอย่างรวดเร็ว เนื่องจากอาหารมื้อนี้จะส่งผลต่อการรบครั้งต่อไป
…
ฟิ่ว ฟิ่ว!
ลูกธนูพุ่งฉิวมาด้วยความเร็วเต็มพิกัด มันตัดผ่านอากาศส่งเสียงสะท้อนกัมปนาทเหมือนสายฟ้าจนดังสะเทือนไปทั่ว ทหารนายหนึ่งที่ถูกไปลาดตระเวนถูกยิงคว่ำ เลือดไหลออกจากรูบนศีรษะ!
ห่าฝนลูกธนูปกคลุมทั่วท้องฟ้า สังหารทหารลาดตระเวนที่กำลังทำหน้าที่จนหมดสิ้น
กระนั้นแม้จะถูกโจมตีจากข้าศึกอย่างหนัก ทหารลาดตระเวนคนหนึ่งที่เนื้อตัวโชกไปด้วยเลือดก็หนีออกมาจากทุ่งสังหารแล้วห้อม้ากลับมาที่กองทหารแห่งเมืองประจิมเร้นลับจนได้พวกเขากำลังจะถูกซุ่มโจมตี! ทหารผู้นั้นรู้สึกกระวนกระวายจนแทบคลั่ง
…
เมื่อได้รับคำสั่งก็ถึงเวลาทำอาหาร ปู้ฟางตั้งที่ตั้งกระทะแล้ววางกระทะลงบนกองไฟ ไม่นานนักควันไฟก็ลอยขึ้นฟ้า เขามีหน้าที่ทำอาหารจากวัตถุดิบธรรมดา จึงไม่ต้องคิดอะไรมากมายขณะทำ ซึ่งทำให้ชีวิตเขาง่ายขึ้นมาก
จูเยวี่ยยืนอยู่หน้าค่าย คิ้วผูกเป็นปมแน่น
ทันใดนั้นเขาก็หยีตาพยายามเพ่งมองภาพเบื้องหน้า แล้วก็ได้เห็นทหารลาดตระเวนบนหลังม้า ทหารผู้นั้นตัวชุ่มโชกไปด้วยเลือด แต่ก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะกลับมาที่ค่าย