ทะลุมิติครั้งนี้ฉันจะเป็นเศรษฐีนีด้วยซูเปอร์มาร์เก็ต - เล่มที่ 1 บทที่ 2 คืนสินสอดทองหมั้น
- Home
- ทะลุมิติครั้งนี้ฉันจะเป็นเศรษฐีนีด้วยซูเปอร์มาร์เก็ต
- เล่มที่ 1 บทที่ 2 คืนสินสอดทองหมั้น
ภายในใจของเคอโยวหรานรู้สึกอบอุ่น นางเบนสายตาไปทางผู้ใหญ่บ้านเฉิน เตรียมจะลากเขาลงน้ำไปด้วยกัน
“ท่านปู่ผู้ใหญ่บ้านเจ้าคะ ประเพณีพื้นบ้านของหมู่บ้านเถาหยวนเรียบง่ายซื่อตรง เลื่องชื่อไปไกลในสิบลี้แปดหมู่บ้าน ถ้าเรื่องเปลี่ยนตัวเจ้าสาวในวันนี้ส่งผลเสียต่อชื่อเสียงของทั้งหมู่บ้าน ท่านจะทำเป็นไม่แยแสมิได้นะเจ้าคะ! หากเรื่องนี้มิอาจจบลงด้วยดี ภายหน้าผู้ใดยังจะกล้ามาหารือการหมั้นหมายในหมู่บ้านเถาหยวนอีกเล่าเจ้าคะ?”
ยามนี้กระทั่งเหล่าชาวบ้านที่เข้ามาล้อมชมความครึกครื้นยังพากันหวาดหวั่นเสียแล้ว
ใช่แล้ว! ครอบครัวของผู้ใดไม่มีแม่นางน้อยกับคนหนุ่มบ้าง? หากเรื่องในวันนี้แพร่งพรายออกไป แม่นางน้อยกับคนหนุ่มในครอบครัวของพวกเขายังจะได้หมั้นหมายอีกหรือ?
นอกเหนือจากนั้นยังมีคนจำนวนหนึ่งที่แค่นึกอิจฉาเพราะเห็นว่าแม่เฒ่าเคอได้เงินค่าสินสอดทองหมั้นยี่สิบตำลึง มิหนำซ้ำยังมีบุตรชายเป็นหน้าเป็นตาอีกสองคน ดังนั้นจึงอยากเห็นนางถูกบีบบังคับให้ยอมรับความพ่ายแพ้
สตรีมีอายุหลายคนรีบเข้ามาดึงแม่เฒ่าเคอเอาไว้ แย่งไม้กวาดออกจากมือ ตามด้วยแยกนางกับมารดาสกุลต้วนออกจากกัน
“ข้าว่านะสกุลเคอ เรื่องนี้เจ้าไม่ยุติธรรมต่อผู้อื่นจริงๆ! สกุลต้วนให้ค่าสินสอดทองหมั้นตั้งยี่สิบตำลึง เจ้ากลับเปลี่ยนตัวเจ้าสาวของผู้อื่น สกุลใดจะไปทนรับเรื่องเช่นนี้ได้?”
“ใช่แล้ว! แม่เฒ่าเคอ รีบคืนเงินค่าสินสอดให้ผู้อื่นเถิด!”
“ใช่ เงินยี่สิบตำลึงอยู่ที่ใดเล่า! สกุลใดจะไปใช้เงินทองมากมายถึงเพียงนี้เพื่อแต่งเคอต้ายาที่ผอมแห้งเป็นท่อนฟืนจนแค่ลมพัดก็ล้มเช่นนั้น! นี่มิเท่ากับเจ้ากำลังรังแกผู้อื่นหรอกหรือ?”
“ใช่แล้ว เคอต้ายาจะคุ้มเงินยี่สิบตำลึงได้อย่างไร?…”
……
ให้ตายเถิด! นอนอยู่เฉยๆ ยังโดนลูกหลง วาจาเช่นนี้เคอโยวหรานรู้สึกไม่รื่นหูเอาเสียเลย เหตุใดนางจะไม่คุ้มเงินยี่สิบตำลึงกันเล่า!
ถุย! นี่มันใช่เรื่องเงินยี่สิบตำลึงหรืออย่างไร? เคอโยวหรานผู้นี้เป็นถึงผู้ที่ยากจะแลกมาด้วยเงินหนึ่งพันตำลึงด้วยซ้ำ…
อ๊ะ! มิใช่ กลับมาก่อน ออกนอกเรื่องไปไกลแล้ว!
ครั้นได้ฟังคำกล่าวของเคอต้ายา สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านเฉินก็ดำทะมึนยิ่งกว่าก้นหม้อ
“แม่เฒ่าเคอ ราชสำนักมีกฎหมายเช่นนี้อยู่จริงๆ ห้ามมิให้มีการสับเปลี่ยนตัวบ่าวสาว เจ้าควรจะรีบคืนเงินสินสอดยี่สิบตำลึงให้สกุลต้วนเสีย! มิเช่นนั้นเส้นทางเข้ารับราชการในภายหน้าของบุตรชายทั้งสองของเจ้าคงต้องเลือนหายไปจนสิ้น!”
เมื่อได้ฟังคำกล่าวนี้ ผู้เฒ่าเคอที่แสร้งตายอยู่ในเรือนฝั่งตะวันออกถึงกับหวาดหวั่นใจ เขายังนึกว่าเคอต้ายาแค่จงใจเอ่ยให้ผู้อื่นตื่นตระหนกและหมายจะขู่แม่เฒ่าในเรือนตนเท่านั้น
แต่นึกไม่ถึงว่าผู้ใหญ่บ้านเฉินจะกล่าววาจาไม่ต่างกัน นั่นเป็นถึงผู้ใหญ่บ้านที่ได้รับแต่งตั้งจากอำเภอ ติดต่อกับฝ่ายราชการมาเนิ่นนาน ย่อมคือผู้ที่คุ้นเคยกับกฎหมายบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง
หากเกี่ยวโยงถึงหนทางการเป็นขุนนางของบุตรชายทั้งสอง เช่นนั้นก็นับเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว
เขารีบเปิดประตูเรือนฝั่งตะวันออก ชี้นิ้วไปทางแม่เฒ่าเคอพลางร้องตะคอกเสียงดัง “เจ้านี่มันยายเฒ่ามิได้เรื่อง นึกไม่ถึงว่าจะทำเรื่องอัปยศเช่นนี้ ยังไม่รีบคืนเงินสินสอดให้สกุลต้วนอีกหรือ?”
ครั้นแม่เฒ่าเคอถูกท่านผู้เฒ่าชี้หน้าร้องตะคอกต่อหน้าผู้คนเช่นนี้ นางพลันรู้สึกเสียหน้าจนยับเยิน
ทันใดนั้นหญิงชราพลันทิ้งบั้นท้ายนั่งลงกับพื้น ตบต้นขาทั้งสองข้างไม่ยอมหยุดและเริ่มร้องไห้เสียงดัง
“ฮือๆๆ! ข้าไม่อยู่แล้ว! พวกเจ้าร่วมมือกันกลั่นแกล้งผู้ที่จวนจะถูกฝังลงดินเช่นข้า ยังมีความยุติธรรมอยู่หรือไม่ บ้านเมืองยังมีขื่อมีแปอยู่อีกหรือไม่? ฮือๆ…”
เคอโยวหรานยกยิ้มเย้ยหยัน : ตาเฒ่าเคอผู้นี้ช่างไร้ความรับผิดชอบไม่ต่างกัน นางมิเชื่อว่าเขาจะไม่รู้เรื่องที่แม่เฒ่าเคอเปลี่ยนตัวเจ้าสาวเลยแม้แต่นิด
ครั้นยามนี้ความลับถูกเปิดโปงอย่างหมดเปลือกก็โยนความรับผิดชอบให้แม่เฒ่าเคอ แล้วแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพื่อที่ตนจะได้ใสสะอาดมิด่างพร้อย ช่างเป็นแผนการที่ล้ำเลิศเสียจริง!
ผู้เฒ่าเคอรู้สึกเสียหน้าเพราะการร้องไห้โวยวายของแม่เฒ่าเคอ ครั้นเห็นทุกคนต่างมองมาด้วยความขบขัน เขาพลันตะคอกว่า “พอได้แล้ว! เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะหย่ากับเจ้าเสีย!”
แม่เฒ่าเคอที่โก่งคอร้องเสียงดังถึงกับเงียบเสียงภายในเสี้ยววินาที ราวกับควบคุมได้ดั่งใจ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก!
ผู้เฒ่าเคอเอ่ยตำหนิด้วยสีหน้าเย็นชา “ยังไม่รีบไสหัวกลับห้องแล้วนำเงินสินสอดมาคืนสกุลต้วนอีกเล่า?”
ครั้นเผชิญหน้ากับท่าทีเช่นนี้ของท่านผู้เฒ่า แม่เฒ่าเคอก็ไม่กล้าทำอันใดตามอำเภอใจอีก นางรีบหยัดกายลุกขึ้น ปัดฝุ่นบนกาย ก่อนจะกลับเข้าห้องด้วยความไม่เต็มใจ
หลังจากรื้อข้าวของอยู่ครู่ใหญ่จึงค่อยเดินออกมา สิ่งที่ถูกประคองเอาไว้ด้วยสองมือคือแท่งเงินจำนวนห้าตำลึงรวมทั้งสิ้นสี่ก้อน
ภายใต้การเป็นพยานของคนทั้งหมู่บ้าน แม่เฒ่าเคอยอมคืนเงินให้สกุลต้วน ทั้งยังฉีกใบทะเบียนสมรสของต้วนถิงกับเคอกว่างเถียนต่อหน้าผู้คนทั้งหมู่บ้าน
มารดาสกุลต้วนใช้สองมือประคองเงิน ยามหันหลังกลับไปมองเคอต้ายาที่นอนอยู่ในอ้อมกอดของถงซื่อก็ถึงกับต้องทอดถอนใจ แม่นางน้อยผู้นี้แลดูอ่อนแอ ทว่าช่างฉลาดหลักแหลมเสียจริง!
ภายใต้สถานการณ์ที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส ด้วยวาจาเพียงไม่กี่ประโยคกลับทำให้สกุลเคอที่เป็นฝ่ายได้เปรียบต้องพ่ายแพ้ ส่งผลให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงดั่งพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
ผู้ใหญ่บ้านเฉินก็เหลือบมองแม่นางน้อยตรงหน้าอย่างใช้ความคิดเช่นกัน ตั้งแต่เกิดเรื่องจนสถานการณ์ถูกคลี่คลาย นี่นับเป็นเวลาเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น
วาจาทั้งมีเหตุผลและหลักฐาน กระบวนการคิดชัดเจนไม่ซับซ้อน หากเป็นบุรุษ คงได้เป็นจอหงวนโดยมิต้องสงสัย! น่าเสียดายที่เป็นสตรี!
ภายในใจของผู้เฒ่าเคอลอบเคียดแค้น ดูไม่ออกเลยสักนิดว่าต้ายาผู้นี้ที่ยามปกติไม่มีปากมีเสียง รู้จักเพียงก้มหน้าทำงาน ไร้ซึ่งการมีอยู่อย่างสิ้นเชิง วันนี้กลับเก่งกาจถึงขนาดนี้ ช่างประเมินนางต่ำเกินไปเสียแล้ว!
ทางด้านแม่เฒ่าเคอนั้นยิ่งกว่า หากสายตาสามารถสังหารคนได้ ยามนี้เคอต้ายาคงจะตายไปนับหมื่นนับพันครั้ง
เคอโยวหรานเห็นเรื่องสินสอดถูกคลี่คลาย ถัดจากนี้ก็ควรถึงคราวเรื่องค่ายา นางย่อมไม่อยากให้แม่เฒ่าซึ่งมีนิสัยใจคอดุร้ายผู้นั้นได้เปรียบและทำให้หมอหลูผู้มีจิตใจดีต้องเสียเปรียบ
“วันนี้ข้าขอขอบพระคุณท่านหมอหลูที่ช่วยชีวิตเจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าค่ายาคือเท่าไรหรือเจ้าคะ?”
ท่านหมอหลูเพิ่งมาได้ครู่เดียวก็พอจะเข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวทั้งหมดในวันนี้แล้ว ทั้งยังรู้สึกเลื่อมใสเคอต้ายาผู้นี้เป็นอย่างยิ่ง จึงรีบประสานมือคารวะพลางเอ่ยด้วยความเกรงใจว่า
“ยาลูกกลอนที่เจ้ากินเข้าไปเมื่อครู่ได้มาจากท่านเซียนเฒ่าที่โชคชะตาชักนำให้บังเอิญมาพบกัน คงไม่คิดเงินแล้ว เพียงแต่ยาห้ามเลือดและผ้าฝ้ายขาวนี้เป็นของชั้นดี ข้าขอคิดแค่ต้นทุนเป็นพอ เป็นเงินประมาณหนึ่งตำลึงครึ่งก็แล้วกัน!”
ซี้ด! ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันสูดปากรับอากาศเย็นหนึ่งเฮือก แม้ผู้คนในหมู่บ้านจะใช้ชีวิตอย่างประหยัดอดออม สิ้นปีก็ยังเก็บเงินได้ไม่ถึงหนึ่งตำลึงด้วยซ้ำ
รักษาเพียงครั้งเดียว เงินก็มลายหายไปจนสิ้น ป่วยมิได้! ป่วยมิได้เป็นอันขาด!
เคอโยวหรานหันหน้าไปทางผู้เฒ่าเคอ นางรู้ว่าหากหันมองแม่เฒ่าเคอในยามนี้นับเป็นการเปลืองแรงเปล่า
นางรู้สึกปวดหัวรุนแรง ทั้งหนาวทั้งหิว และไร้กำลังวังชาอย่างแท้จริง จำต้องรีบรบจบศึกโดยเร็ว
เพราะผู้เฒ่าเคอต่างออกไป! เขาห่วงหน้าตา แม้จะมิอาจหักใจจากเงิน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนมากมายถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่ประมาณตนเช่นไรก็ต้องจ่ายเงินจำนวนนี้ให้จงได้
“ท่านปู่เจ้าคะ! เมื่อครู่ท่านหมอหลูเพิ่งจะช่วยชีวิตหลาน อีกทั้งหลานยังกินยาเข้าไปแล้ว บาดแผลเองก็ถูกพันเอาไว้ ท่านลองตรองดูเถิดว่าควรจะจ่ายเงินค่ารักษาให้ท่านหมอหลูดีหรือไม่เจ้าคะ?”
หลังสิ้นเสียงของเคอต้ายา แม่เฒ่าเคอพลันโกรธจนเต้นเร่าๆ ทันใด
“หา! เจ้ายังคิดจะให้พวกเราจ่ายเงินค่ารักษาให้อีกหรือ? เหตุใดเจ้าถึงไม่ไปตายเสียเล่า? ผู้ใดยินยอมให้หมอผู้นั้นรักษาให้เจ้ากัน? เขามาถึงก็ให้เจ้ากินยา ผู้ใดรับปากว่าจะจ่ายเงินให้เขา?…”
เคอโยวหรานไม่แยแสแม่เฒ่าเคอที่เอาแต่โหวกเหวกและเต้นเร่า เพียงจดจ้องไปทางผู้เฒ่าเคอไม่วางตา
“ท่านปู่ คนมีชีวิตอยู่ด้วยหนึ่งใบหน้า ต้นไม้มีชีวิตอยู่ด้วยหนึ่งเปลือก [1] ท่านเป็นถึงบิดาของซิ่วไฉกับถงเซิง [2] หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป กล่าวว่าผู้เฒ่าเช่นท่านทำตัวปลิ้นปล้อนไม่ยอมจ่ายค่ารักษาช่วยชีวิตหลานสาว ผู้คนในสิบลี้แปดหมู่บ้านจะวิจารณ์ท่านอย่างไรเจ้าคะ? ทั้งยังจะพากันมองท่านอารองกับท่านอาสี่อย่างไร?”
เก่งกาจ ภายในใจผู้ใหญ่บ้านเฉินลอบยกนิ้วโป้งให้เคอต้ายา
ผู้เฒ่าเคอโมโหจนตัวสั่นไปทั้งกาย ไม่รู้ว่าควรจะโมโหเคอต้ายาหรือแม่เฒ่าเคอดี
ครั้นมองหลานสาวที่นอนอยู่บนพื้น บนศีรษะยังพันไว้ด้วยผ้าฝ้ายหนาหลายชั้น มีเลือดไหลซึมออกมาจนย้อมผ้าขาวเป็นสีแดง ท่าทางมีลมหายใจทว่าไร้เรี่ยวแรงเช่นนั้น หากตนบันดาลโทสะใส่นางต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้านคงดูไม่ดีนัก
ยิ่งไปกว่านั้น แต่ละประโยคที่นางพูดล้วนไม่ผิด หากเขาบันดาลโทสะใส่นาง มีแต่จะยิ่งทำให้ตนเองต้องเสียหน้า
ผู้เฒ่าเคอจึงระบายความโกรธทั้งหมดใส่แม่เฒ่าเคอ
“พอได้แล้ว! เอาแต่โหวกเหวกอยู่นั่น! เจ้าจะโวยวายไม่ยอมหยุดใช่หรือไม่? ยังไม่รีบกลับห้องไปนำเงินออกมาอีก”
“ฮ่าๆๆ…” ชาวบ้านที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างพากันระเบิดเสียงหัวเราะ
—————————————
เชิงอรรถ
[1] คนมีชีวิตอยู่ด้วยหนึ่งใบหน้า ต้นไม้มีชีวิตอยู่ด้วยหนึ่งเปลือก 人活一张脸, 树活一张皮 เป็นคำอุปมาอุปไมย หมายถึง ผู้คนมีชีวิตอยู่โดยอาศัยใบหน้ารู้จักละอาย เหมือนกับต้นไม้ที่มีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยเปลือกไม้คอยปกป้องลำต้นของมัน กล่าวคือคนเราต้องมีคุณธรรมความเป็นคนและความทระนง
[2] ถงเซิง 童生 หมายถึง ปัญญาชนที่จะเข้าสอบชิงตำแหน่งซิ่วไฉในราชวงศ์หมิงและราชวงศ์ชิง