ทะลุมิติครั้งนี้ฉันจะเป็นเศรษฐีนีด้วยซูเปอร์มาร์เก็ต - เล่มที่ 1 บทที่ 1 การแต่งงานของต้วนซานหลาง
- Home
- ทะลุมิติครั้งนี้ฉันจะเป็นเศรษฐีนีด้วยซูเปอร์มาร์เก็ต
- เล่มที่ 1 บทที่ 1 การแต่งงานของต้วนซานหลาง
วันที่เก้าเดือนสอง ท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านเถาหยวนยังไม่ทันสว่าง
เคอต้ายาถูกแม่สามีฉุดกระชากลากถูพร้อมทั้งร้องบริภาษมาตลอดทาง จนกระทั่งเข้ามาในลานเรือนสกุลเคอ
ระหว่างทางมีชาวบ้านจำนวนไม่น้อยพบเห็น ต่างพากันเข้ามาล้อมลานเรือนสกุลเคอด้วยความสนใจใคร่รู้
เพิ่งจะเข้ามาในลานเรือน มารดาสกุลต้วนพลันร้องตะคอกด้วยความโมโห “คนสกุลเคอ ออกมา!”
ประตูเรือนฝั่งตะวันออกของเรือนสกุลเคอถูกผลักเปิด มีแม่เฒ่าอายุราวห้าถึงหกสิบปีที่ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน
“ข้าว่านะสกุลเกี่ยวดอง [1] เมื่อวานเพิ่งจะจัดพิธีแต่งงานเสร็จสิ้น พิธีเยี่ยมบ้านเดิมในสามวันให้หลังก็ยังไม่ถึงเวลาด้วยซ้ำ? มาโหวกเหวกโวยวายอันใดตั้งแต่เช้าตรู่เช่นนี้?”
มารดาสกุลต้วนโมโหจนพ่นเสียงหัวเราะออกมา นางชี้ไปทางเคอต้ายาด้วยความโกรธเคือง
“ข้ามาโหวกเหวกโวยวายอันใดงั้นหรือ? นี่เจ้ากำลังแสร้งทำเป็นเลอะเลือนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจใช่หรือไม่? พวกเจ้าช่างใช้อุบายลอบเปลี่ยนคานเปลี่ยนเสา [2] ได้ยอดเยี่ยมเสียจริง! บ้านเมืองยังมีขื่อมีแปอยู่หรือไม่? ผู้ที่สกุลต้วนของพวกเราต้องการคือเคอก่วงเถียน บุตรสาวคนเล็กของเจ้า เพราะข้าเห็นแก่ที่นางบั้นท้ายใหญ่คลอดบุตรง่าย แต่เจ้ากลับเอาหลานสาวที่นอกจากกระดูกก็เหลือเพียงหนังหุ้มเช่นนี้แต่งเข้าเรือนสกุลข้า เช่นนี้หมายความว่าอย่างไร! คิดจะหลอกผีหรือ?”
เคอต้ายาที่ถูกมารดาสกุลต้วนชี้หน้ามีน้ำตาไหลพราก
ครั้นนางตื่นขึ้นมายามเช้า นึกไม่ถึงว่าจะพบว่าตนย้อนเวลากลับมายังวันที่ออกเรือนกับต้วนซานหลาง [3] เมื่อสามปีก่อน
นอกจากนั้นตนยังถูกท่านย่าบังคับให้สวมชุดมงคลเพื่อออกเรือนแทนอาหญิงเล็กอีกด้วย
แม่เฒ่าเคอถ่มน้ำลายอย่างไม่แยแสเลยสักนิด “ข้าว่านะสกุลต้วน บุตรชายของเจ้าเป็นเพียงคนพิการขาหัก ได้แต่งเคอต้ายาก็ควรรู้จักพอได้แล้วกระมัง…”
“ถุย! ข้าจ่ายเงินค่าสินสอดทองหมั้นตั้งยี่สิบตำลึง นับได้ว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในหมู่บ้านที่ยอมจ่ายมากขนาดนี้แล้ว…”
สกุลต้วนคือครอบครัวเดียวที่มาจากต่างถิ่น พวกเขาถูกต่อต้านเพียงเพราะเป็นคนนอก หากอยากใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้าน การหาคนจากสกุลมีชื่อเสียงในหมู่บ้านมาเกี่ยวดองก็นับเป็นวิธีที่ดีที่สุด ด้วยเหตุนี้จึงยอมลงทุนหมั้นหมายกับบุตรสาวสกุลเคอ
ครั้นได้ฟังเสียงด่าทอดังยุ่งเหยิง เคอต้ายาพลันหวนนึกถึงชะตาชีวิตอันน่าสังเวชในอีกสามปีข้างหน้า นางมิปรารถนาจะซ้ำรอยเดิมอีกครา
ภายใต้สถานการณ์ที่ผู้คนไม่ทันสังเกต เคอต้ายาตัดสินใจเด็ดเดี่ยว กระทำการเอาหัวพุ่งชนก้อนหินในลานเรือน…
หนึ่งเสียง “ปึก!” ดังขึ้น หยดเลือดสาดกระเซ็น โลกทั้งใบไร้สรรพเสียงใดทันที
……
“โธ่!…ต้ายา! ต้ายาของแม่…ฮือๆๆ! เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? โธ่! ฮือๆๆ…”
ฟ้ายังไม่ทันสว่าง ถงซื่อ [4] ก็ถูกแม่สามีไล่ให้ออกไปทำงาน ครั้นได้ยินว่ามารดาสกุลต้วนลากบุตรสาวของตนไปยังเรือนสกุลเคอเพื่อขอคำอธิบาย นางถึงกับตกใจจนวิ่งห้อตะบึงกลับมาจากทุ่ง
ด้วยความร้อนรน นางวิ่งจนรองเท้าฟางหลุดจากเท้า แต่เพิ่งจะมาถึงข้างประตูเรือนกลับต้องพบกับภาพบุตรสาวของตนเอาหัวโขกหินเพื่อปลิดชีพตนเอง
“พี่…พี่หญิง…ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ? รีบฟื้นขึ้นมาเร็วเข้า ลุกขึ้นมาพูดกับเอ้อร์ยาสิเจ้าคะ! ข้าขอร้องท่าน พี่หญิง…ฮือๆๆ…”
ผู้ที่วิ่งห้อตะบึงมากับมารดายังมีเคอเอ้อร์ยา นางพยายามเขย่าพี่สาวคนโตของตนอย่างสุดชีวิต
……
ให้ตายเถิด เลิกเขย่าได้แล้ว มันสมองของข้าใกล้จะถูกเขย่าจนไหลออกมาแล้ว…
ข้างหูของเคอโยวหรานมีเสียงร้องไห้ปานจะขาดใจดังเข้ามา เรี่ยวแรงจากภายนอกเขย่านางเสียจนอยากอาเจียน
ความทรงจำของเคอต้ายาไหลทะลักเข้าสู่สมองของนางราวกับน้ำตกที่ไหลลงสู่แอ่งน้ำ แต่ไม่ว่าจะทำอย่างไรนางก็ลืมตาไม่ขึ้น
นึกไม่ถึงว่านางจะทะลุมิติ?!
นึกไม่ถึงว่าในเวลาไม่ทันถึงหนึ่งชั่วยาม เจ้าของร่างเดิมที่กลับมาเกิดใหม่จากอีกสามปีข้างหน้าจะยังคงเลือกหนทางฆ่าตัวตายเพื่อจากไป
และสิ่งที่นึกไม่ถึงยิ่งกว่าก็คือ หญิงใหญ่ขึ้นคานอย่างตนจะทะลุมิติมาเป็นสตรีที่แต่งงานแล้ว!
มารดาสกุลต้วนเองก็นึกไม่ถึงว่าการที่ตนลากเคอต้ายามาขอคำอธิบายจะกลายเป็นการบีบบังคับคนให้ต้องตาย ยามนี้นางจึงชะงักงันเอ่ยสิ่งใดไม่ออก
แม่เฒ่าเคอก็ถูกภาพตรงหน้าทำเอาตกใจเช่นกัน ปากเอ่ยพึมพำไม่ยอมหยุด “อมิตาภพุทธ! ไม่เกี่ยวกับแม่เฒ่าเช่นข้า ล้วนเป็นเพราะมารดาสกุลต้วนบีบบังคับ หากต้องการทวงแค้นก็ไปหาสกุลต้วนเถิด อมิตาภพุทธ!”
“รีบหลบเร็วเข้าๆ! หลบๆ! ผู้ใหญ่บ้านเฉินพาท่านหมอมาแล้ว…” เด็กน้อยวัยเจ็ดถึงแปดขวบดึงชายชราวัยห้าถึงหกสิบปีผู้หนึ่งรีบสาวเท้าเข้ามาในเรือน
ทันทีที่ผู้ใหญ่บ้านเฉินเดินเข้าประตูก็พบกับภาพเช่นนี้ เส้นเลือดดำบนขมับถึงขั้นเต้นตุบๆ
ประเพณีพื้นบ้านของหมู่บ้านเถาหยวนเรียบง่ายซื่อตรง จะเคยเกิดเรื่องบีบบังคับคนจนตายเช่นนี้เสียเมื่อใด
หลังจับชีพจร ท่านหมอหลูเผยสีหน้ายินดี เขาเปิดล่วมยาโดยไม่ลังเลแม้แต่นิด ก่อนหยิบยาลูกกลอนหนึ่งเม็ดจากขวดแก้ว ตามด้วยเปิดริมฝีปากของเคอต้ายาเพื่อยัดเข้าไป
เคอโยวหรานสัมผัสได้เพียงรสหวานละลายในปาก ความเจ็บปวดบนศีรษะถูกคลี่คลายภายในเสี้ยววินาที
แม่เฒ่าเคอเห็นท่านหมอหลูแก้ปัญหาเช่นนี้ก็รู้แล้วว่าเคอต้ายาไม่เป็นอันใด นางพลันโก่งคอเอ่ยด้วยเสียงเล็กแหลมว่า “ท่านหมอหลู เรือนของพวกเราไม่มีเงินค่ายาให้ท่าน! ยามนี้เคอต้ายาเป็นสะใภ้ของสกุลต้วนแล้ว เช่นนั้นก็ให้พวกเขาออกเงินเถิด!”
สีหน้าของผู้ใหญ่บ้านเฉินดำทะมึนทันใด แม่เฒ่าผู้นี้ มีผู้ใดในหมู่บ้านไม่รู้บ้างว่านางเพิ่งรับเงินสินสอดทองหมั้นจากสกุลต้วนจำนวนยี่สิบตำลึง จะไม่มีเงินจ่ายค่ารักษาเคอต้ายาได้อย่างไร?
เวลานี้เอง ทุกคนต่างร้องเสียงดังว่า “ดูเร็วเข้า! ฟื้นแล้ว! ฟื้นแล้ว! เคอต้ายาฟื้นแล้ว!”
เคอโยวหรานเปิดเปลือกตาหนักอึ้ง ขมับเต้นตุบด้วยความเจ็บปวด อีกทั้งท้องยังบิดมวนอย่างไม่รักดี หิวยิ่งนัก!
ครั้นมารดาสกุลต้วนเห็นเคอต้ายาไม่เป็นอันใด ในที่สุดหัวใจที่กระวนกระวายก็สงบลง นางหันกายไปทำความเคารพผู้ใหญ่บ้านเฉิน
“ผู้ใหญ่บ้านเฉินเจ้าคะ ขอท่านช่วยตัดสินให้หญิงม่ายกับเด็กกำพร้าเช่นพวกเราด้วยเถิด! มิอาจรังแกพวกเราเพียงเพราะอพยพมาจากต่างถิ่นกระมัง! สกุลเคอทำเกินไปแล้ว ทั้งที่รับเงินค่าสินสอดทองหมั้นไปถึงยี่สิบตำลึง ยังจะสับเปลี่ยนตัวเจ้าสาวอย่างขวัญกล้า บ้านเมืองยังมีขื่อมีแปอยู่หรือไม่เจ้าคะ?”
เจ้าใหญ่ เจ้ารอง และสองสะใภ้สกุลต้วนก้าวเข้ามาข้างหน้าเพื่อยืนรวมกับมารดา ใช้การกระทำสนับสนุนมารดาของตนอย่างไร้เสียง
ตลอดสองปีที่ร่อนเร่พเนจรทั่วสารทิศ ส่งผลให้พวกเขาหนึ่งครอบครัวเข้าใจแล้วว่าไม่ว่าพบเจอปัญหาใด จะต้องรวมใจเป็นหนึ่ง ร่วมแรงไปยังทิศทางเดียวกัน จึงจะสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากไปด้วยกันได้
ครั้นเห็นมารดาสกุลต้วนฟ้องร้อง แม่เฒ่าเคอพลันเอ่ยวาจาเหน็บแนมว่า “ข้าว่านะมารดาซานหลาง หลานสาวคนโตที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องของข้า เมื่อวานออกเรือนไปยังเรือนของเจ้า ค้างแรมหนึ่งคืนถึงค่อยส่งกลับมา วันนี้พวกเจ้ายังมีเหตุมีผลอื่นใดอีกงั้นหรือ? เช่นนั้นจะทำอย่างไรกับความบริสุทธิ์ของหลานสาวข้าเล่า?”
มารดาสกุลต้วนมองไปทางเคอต้ายาที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วถึงกับไร้คำใดจะเอ่ย
สำหรับสตรี ความบริสุทธิ์มีค่าเท่าชีวิต! เมื่อวานเคอต้ายาค้างแรมในห้องเดียวกับบุตรชายของตนหนึ่งคืนจริงๆ ความบริสุทธิ์ย่อมไม่หลงเหลือแล้ว
ต่อให้ครั้งนี้ครอบครัวของตนพลาดท่าจนพูดไปก็อายคนอื่น แต่พวกนางก็ยังต้องยอมรับสะใภ้ผู้นี้อยู่ดี เพราะคนสกุลต้วนไม่มีผู้ใดไร้ความรับผิดชอบ
ทว่าหากจะแต่งเคอต้ายา เงินค่าสินสอดทองหมั้นคงจะสูงเกินไปสักหน่อย เช่นนี้…
ในขณะที่มารดาสกุลต้วนกำลังคิดใคร่ครวญว่าจะนำเงินยี่สิบตำลึงกลับคืนมาได้หรือไม่ ทันใดนั้นก็ได้ยินเคอต้ายาที่ได้รับบาดเจ็บปริปากเอ่ยว่า
“ท่านย่า! การสับเปลี่ยนตัวเจ้าสาวถือเป็นความผิดฐานละเมิดกฎหมายราชสำนัก ย่างฤดูใบไม้ผลิท่านอารองกับท่านอาสี่ยังต้องสอบซิ่วไฉ [5] กับจวี่เหริน [6] ภายหน้าท่านอาทั้งสองยังจะเข้ารับราชการ แต่เมื่อมีรอยด่างพร้อยเช่นการสับเปลี่ยนตัวเจ้าสาวของท่าน นับได้ว่าท่านอาทั้งสองถูกตัดหนทางชีวิตการเป็นขุนนางแล้วเจ้าค่ะ”
แม้จะยังอ่อนแรงอยู่บ้าง ทว่าคารมชัดเจน ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนได้ยินอย่างชัดแจ้ง
แม่เฒ่าเคอเป็นหญิงชราความรู้น้อยที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชนบท มีหรือจะรู้ว่าสิ่งที่เคอต้ายากล่าวคือความจริงหรือไม่
เพียงแต่เมื่อเอ่ยถึงหนทางการเป็นขุนนางของบุตรชายทั้งสอง แม่เฒ่าก็ค่อนข้างหวาดหวั่น
นางยังอยากให้บุตรชายทั้งสองมีหน้ามีตาในภายหน้า พานางใช้ชีวิตเป็นเจ้าคนนายคน และรับนางไปเป็นเหล่าเฟิ่งจวิน [7] !
ยามนี้ หากหนทางการเป็นขุนนางของบุตรชายทั้งสองต้องจบสิ้นลงเพราะเรื่องนี้ อย่าว่าแต่นางไม่ยินยอม ตาเฒ่าย่อมต้องเอาเรื่องนางอย่างถึงที่สุดเป็นแน่!
ทว่าเมื่อนึกถึงเงินยี่สิบตำลึง นั่นเป็นเงินจำนวนยี่สิบตำลึงเชียวนะ! เพียงพอให้ครอบครัวทั่วไปกินและใช้โดยไม่ต้องเป็นกังวลทั้งชีวิต!
แม่เฒ่ายังอยากจะดันทุรัง “นังเด็กจอมโป้ปด เติบใหญ่อยู่ในหมู่บ้านมาตั้งแต่เล็ก เจ้าจะไปรู้อันใด? ดูเถิดว่าข้าจะเฆี่ยนเจ้าให้ตายหรือไม่”
ขณะกล่าวก็คว้าไม้กวาดด้านข้างขึ้นมา จัดการกวัดแกว่งหมายจะโจมตีไปทางเคอต้ายาที่นอนอยู่ในอ้อมอกของถงซื่อ
มารดาสกุลต้วนเห็นท่าไม่ดีจึงสาวเท้าไปเบื้องหน้าเคอต้ายาภายในไม่กี่ก้าว คว้าไม้กวาดในมือของแม่เฒ่าเคอเอาไว้ คนทั้งสองตกอยู่ในท่าทางชักเย่อ
แม่นางน้อยยังคงบาดเจ็บ หากถูกหนึ่งไม้กวาดนี้ของแม่เฒ่าเข้าไปยังจะมีชีวิตรอดได้อย่างไร?
—————————————
เชิงอรรถ
[1] สกุลเกี่ยวดอง 亲家 หมายถึง ครอบครัวที่นับญาติกันผ่านการเเต่งงานของลูกหลาน
[2] ลอบเปลี่ยนคานเปลี่ยนเสา 偷梁换柱 หมายถึง ใช้ลูกไม้เอาของปลอมมาแทนของแท้หรือเอาของแย่มาแทนของดี
[3] หลาง 郎 หมายถึง คำใช้เรียกบุรุษในสมัยโบราณหรือคำที่สตรีใช้เรียกสามี หากใช้เรียกในครอบครัวมักจะใช้คำว่าหลางต่อท้ายลำดับอาวุโสในรุ่น เช่น ต้าหลาง (大朗) คือบุตรชายคนโต เอ้อร์หลาง (二郎) คือบุตรชายลำดับที่สอง และซานหลาง (三郎) คือบุตรชายลำดับที่สาม เป็นต้น
[4] ซื่อ 氏 หมายถึง ตามธรรมเนียมการเรียกขานสตรีที่แต่งงานแล้วของจีนจะใช้คำว่า “ซื่อ” ต่อท้ายนามสกุลเดิมของสตรีผู้นั้น บางครั้งจะนำด้วยแซ่สามีค่อยตามด้วยแซ่ของตนเอง
[5] ซิ่วไฉ 秀才 หมายถึง ในการสอบคัดเลือกรอบที่หนึ่งเป็นการสอบคัดเลือกระดับท้องถิ่น ผู้ที่สอบผ่านรอบนี้จะได้คุณวุฒิระดับเรียกว่าซิ่วไฉ การสอบรอบนี้จึงเรียกว่า “การสอบซิ่วไฉ” โดยจัดสอบทุกปี ปีละครั้ง
[6] จวี่เหริน 举人 หมายถึง ในการสอบคัดเลือกรอบที่สองเป็นการสอบคัดเลือกระดับภูมิภาค เงื่อนไขคือผู้เข้าสอบจะต้องได้คุณวุฒิซิ่วไฉก่อน ผู้สอบผ่านขั้นนี้จะได้คุณวุฒิจวี่เหริน การสอบรอบนี้จึงเรียกว่า “การสอบจวี่เหริน” จัดสอบทุกสามปี
[7] เหล่าเฟิ่งจวิน 老封君 หมายถึง บรรดาศักดิ์ที่ฮ่องเต้พระราชทานให้กับบิดามารดาของขุนนางผู้มีความดีความชอบ