ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - เล่มที่ 10 บทที่ 275 รีบหนี
เซียวอี้เอนกายเข้าใกล้ “ทำไม่ได้? เจ้าบอกว่าเปิ่นหวางทำไม่ได้ เช่นนั้นเจ้าก็เบิกตามองให้ดีว่าเปิ่นหวางสังหารเซ่อเจิ้งอ๋องอย่างไร”
หลินชิงเวย “อย่างมากทุกคนก็แค่ตายพร้อมกัน”
ทุกครั้งที่เซียวเยี่ยนได้รับบาดเจ็บ จิตใจของหลินชิงเวยก็บีบรัดขึ้นสองส่วน แต่นี่คล้ายกับการเล่นเกมอย่างหนึ่ง นางจะใจร้อนไม่ได้ นางได้แต่รอ เซียวเยี่ยนได้รับบาดเจ็บ เซียวอี้ก็ไม่ได้ดีไปกว่าสักเท่าใด เลือดลมในร่างกายหมุนวนสับสน โลหิตตีขึ้นมาถึงลำคอ แต่เขาใช้กำลังกดข่มลงไป
พลังลมปราณของเซียวเยี่ยนสับสน เขาซัดศัตรูออกไปด้วยฝ่ามือหนึ่ง แต่ตนเองกลับต้องใช้กระบี่ค้ำกับพื้นเพื่อประคองร่างของตน เขาหอบหายใจอย่างหนัก หัวหน้ากลุ่มชาวอวิ๋นหนานผู้นั้นเห็นแล้วจึงไม่อาจรีรอได้อีก เขาเหินกายขึ้นมาพร้อมกับฟาดฟันดาบโค้งในมือเข้าใส่เซียวเยี่ยนอย่างเหี้ยมโหดทันที
ไม่ช้าไม่เร็ว สายลมวูบหนึ่งพัดผ่านร่างของหลินชิงเวย ส่งผลให้เส้นผมและชายกระโปรงของนางปลิวสะบัด นางเห็นเงาร่างสีดำข้างกายตนเองพุ่งออกไปขัดขวางและบีบให้เขาถอยออกไป ก่อนที่ดาบในมือของเขาจะสัมผัสถูกร่างของเซียวเยี่ยน
หัวหน้ากลุ่มชาวอวิ๋นหนานตะลึงงัน เขาตวาดลั่น “เซี่ยนอ๋อง ท่านขัดขวางเรื่องดีๆ ของพวกเราหนึ่งครั้ง สองครั้ง สามครั้ง นี่หมายความว่าอย่างไรกันแน่! หลีกไป ให้พวกเราสังหารเซ่อเจิ้งอ๋อง ขจัดภัยร้ายออกไป!”
เวลานี้มือสังหารของทั้งสองฝ่ายต่างหยุดปะทะกันแล้วกลับไปยืนอยู่ข้างกายหัวหน้าของตน
หลินชิงเวยพรูลมหายใจโล่งอก นางวิ่งเข้าไปประคองเซียวเยี่ยนพร้อมกับถามอย่างเป็นห่วง “เซียวเยี่ยน ท่านเป็นอย่างไรบ้าง?”
เซียวเยี่ยนเพียงแต่ส่ายหน้าเงียบๆ แต่ร่างกายของเซียวเยี่ยนที่ฝ่ามือของนางสัมผัสนั้นร้อนระอุ นางจึงหยิบยาออกมาหลายเม็ดให้เซียวเยี่ยนกินลงไปเพื่อควบคุมลมหายใจของเขาเอาไว้ก่อน
มีคนของเซียวอี้ต้านรับเอาไว้ เรื่องต่อมาย่อมไม่ต้องให้หลินชิงเวยเป็นกังวล
ได้ยินเพียงเซียวอี้กล่าวกับหัวหน้ากลุ่มชาวอวิ๋นหนานว่า “ขออภัย เปิ่นหวางเปลี่ยนใจกะทันหัน ไม่อยากสังหารเขาแล้ว เปิ่นหวางไว้ชีวิตเขา เนื่องจากยังมีประโยชน์อย่างอื่น ขอพาตัวเขาไปก่อน” พูดแล้วก็สั่งให้มือสังหารของตนสองคนเข้ามาควบคุมตัวหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยน ต่อให้ไม่สังหารเขาในนาทีนี้ ก็ไม่มีทางปล่อยเขาไปเด็ดขาด
ดูท่าแล้วเซียวอี้คิดจะพาตัวเซียวอี้และหลินชิงเวยไปด้วยกัน เพื่อแผนการระยะยาวในภายภาคหน้า
ทว่าหัวหน้ากลุ่มชาวอวิ๋นหนานผู้นั้นไหนเลยจะยินยอม เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงบังเกิดโทสะอย่างที่สุด “แคว้นอวิ๋นหนานของข้าสูญเสียไพร่พลและกำลังไปมากเพียงใดจึงสกัดเซ่อเจิ้งอ๋องแห่งแคว้นต้าเซี่ยไว้ที่นี่ได้ เพื่อทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสและตายตกไป ยามนี้สามารถร่วมมือกันสังหารเอาชีวิตเขาได้ ท่านกลับต้องการพาตัวเขาไป?!” เขาใช้ดาบโค้งในมือชี้หน้าเซียวอี้ แววตาปรากฏให้เห็นความเหี้ยมโหดและพูดอีกว่า “พวกเราไม่ยินยอมเด็ดขาด หากท่านยังไม่เปลี่ยนใจ ก็อย่ากล่าวโทษว่าข้าไม่เกรงใจ!”
พูดแล้วก็ไม่ให้โอกาสเซียวอี้ได้ตอบคำถาม นำกำลังคนของตนเข้าโจมตีด้วยท่าทีต้องการสังหารทันที เซียวอี้ไม่อาจปล่อยให้พวกเขาสังหารเซียวเยี่ยนได้ ทั้งสองฝ่ายจึงปะทะกันโดยไม่พูดไม่จา
หลินชิงเวยกลับกระหยิ่มใจ สู้กันเถิด ดีที่สุดก็สู้กันให้บาดเจ็บล้มตายทั้งสองฝ่าย นางและเซียวเยี่ยนจะได้หนีเอาตัวรอดไปได้อย่างราบรื่น
ทั้งสองฝ่ายปะทะกันอย่างดุเดือด แต่หากว่าด้วยกำลังความสามารถแล้วทางด้านอวิ๋นหนานไหนเลยจะใช่คู่ต่อสู้ของเซียวอี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปเกรงว่ามีเพียงเซียวอี้เป็นฝ่ายชนะ รอเมื่อเขาชนะแล้ว หลินชิงเวยและเซียวอี้ย่อมหมดหนทางหนีเอาตัวรอด ฉวยโอกาสขณะที่พวกเขากำลังต่อสู้ตะลุมบอนกัน นี่จึงจะเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่พวกเขาทั้งสองจะหนีไป
ทว่าขณะที่หลินชิงเวยประคองเซียวเยี่ยนกำลังจะหนีนั้นถูกคนชุดดำที่ติดพันอยู่ในการปะทะพบเห็นเข้าเสียก่อน คนชุดดำจึงปลีกตัวออกมาใช้กระบี่ยาวขวางหน้าคนทั้งสองเข้าไว้ เซียวเยี่ยนยกมือขึ้นคีบกระบี่ยาวเล่มนั้นอย่างรวดเร็ว มือของเขาเปี่ยมไปด้วยพละกำลังไม่ธรรมดา ปลายกระบี่นั้นโค้งลงแล้วดีดกลับไปแทงร่างของคนชุดดำเป็นบาดแผลใหญ่ทันที
มีคนชุดดำอีกสองคนเข้ามาควบคุมตัวเซียวเยี่ยนและหลินชิงเวย หลินชิงเวยจึงลงมือสาดผงกระดูกอ่อนใส่พวกเขา คนชุดดำจึงล้มลงบนพื้น หลินชิงเวยจับมือเซียวเยี่ยนหันหลังออกวิ่ง
อีกด้านหนึ่งของป่ามีม้าที่นางขี่มาตัวหนึ่ง หากโชคดีพอและม้ายังมีชีวิตอยู่แล้วละก็ เซียวอี้หันกลับเห็นทั้งสองคนหนีไปแล้วจึงด่าออกมาคำหนึ่ง เขาหันกายไล่ตามไปทันที “สมควรตาย!”
ทว่าชาวอวิ๋นหนานกลับถูกเขายั่วโทสะจนโกรธแค้นเสียแล้ว เมื่อเห็นเขาจะหนีจึงตามพัวพันตามติดไม่ปล่อย “อย่าหนี!”
หลินชิงเวยอาศัยสองขาของตนวิ่งหนีไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของเซียวอี้ที่ใช้วิชาตัวเบาได้ ยามนี้เห็นกับตาว่าเขากำลังจะไล่ตามมาทันแล้ว เซียวเยี่ยนเม้มปากยื่นมือไปอุ้มหลินชิงเวยขึ้นมาแล้วฝืนกำลังใช้วิชาตัวเบาหลบหนี
คนกลุ่มนี้ประเดี๋ยวหนีประเดี๋ยวไล่ล่า จึงมาถึงสุดเขตของผืนป่าโดยไม่รู้ตัว หลินชิงเวยมองออกไปไกลๆ เห็นสุดเขตของผืนป่ากลับเป็นเนินภูเขาหิมะ และตำแหน่งที่พวกเขาอยู่เป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างสูง ดังนั้นจึงเป็นตำแหน่งกึ่งกลางภูเขาที่สามารถมองเห็นเนินหิมะนั้นได้ หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองไปเห็นข้างบนเป็นภูเขาหิมะ นางถึงกับมองเห็นแสงแดดปรากฏขึ้น ณ ขอบฟ้า
หลินชิงเวยเอียงหน้ามามองเซียวเยี่ยน ราวกับแสงตะวันกำลังล้อมกรอบหน้าของเขาให้สว่างขึ้น ใบหน้าของเขาซีดเผือดจนแทบจะโปร่งแสง นางกล่าวกลั้วหัวเราะ “อย่างไรก็ให้พวกเขาจับตัวไม่ได้ พวกเราหนีเถิด”
เซียวเยี่ยนยื่นมือข้ามมาโอบรอบเอวหลินชิงเวยอย่างแน่นหนา แล้วพานางกระโดดลงไปบนเนินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ หิมะนี้ไม่รู้ว่าอยู่ที่นี่นานเท่าใดมันหนาวเหน็บ ทว่าอ่อนนุ่ม เมื่อร่างกายของหลินชิงเวยสัมผัสกับมันจึงรู้สึกเหมือนตนเองตกลงไปในทะเลหิมะ ความรู้สึกของนางล้วนถูกทำให้แข็งไปหมด ความรู้สึกเดียวที่เหลืออยู่ก็คือมือที่โอบอยู่ที่เอวไม่ปล่อยข้างนั้น
คนทั้งสองกลิ้งไปตามเนินเขา ร่างของทั้งสองแนบชิดติดกันกลิ้งลงไปตลอดเส้นทาง เซียวอี้และคนที่ไล่ตามมาเห็นเช่นนั้นจึงกระโดดตามลงไปในหิมะเช่นกัน ต่อให้พวกเขามีวิชาตัวเบาก็ไม่อาจนำมาใช้ที่นี่ได้ เมื่อมองออกไปแต่ละด้านล้วนว่างเปล่า ไม่มีสิ่งใดให้พวกเขาได้ใช้ค้ำยันเพื่อยืมกำลังได้ แต่พวกเขาอาศัยขาทั้งสองข้างเมื่อเหยียบลงไปในหิมะก็จมลงไปถึงหัวเข่า การเดินบนหิมะไหนเลยจะรวดเร็วเท่าวิธีการที่หลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนกลิ้งตัวลงไปได้
เซียวเยี่ยนมองหลินชิงเวยและเซียวเยี่ยนที่กลิ้งออกไปไกลขึ้นเรื่อยๆ จึงตวาดขึ้นด้วยความโมโหและร้อนใจไม่ได้ “ไสหัวไป! ไสหัวลงไปเดี๋ยวนี้!”
ผู้ใต้บังคับบัญชาแต่ละคนของเขามีท่าทีตะลึงงัน แต่ละคนไตร่ตรองคำสั่งของเจ้านาย ว่าเจ้านายโมโหจนไล่พวกเขาให้หายตัวไป หรือเจ้านายต้องการให้พวกเขากลิ้งลงไปตามเนินเขานี้?
เห็นคนของตนทึ่มทื่อ เซียวอี้ยิ่งเดือดดาล จึงพูดอย่างมีโทสะว่า “ยังต้องเปิ่นหวางสอนพวกเจ้าหรือไม่ว่าต้องกลิ้งอย่างไร?! วันนี้หากตามจับเซ่อเจิ้งอ๋องและสตรีนางนั้นกลับมาไม่ได้ พวกเจ้าไม่ต้องกลับมาเช่นกัน!”
ดังนั้นคนชุดทั้งหมดจึงค่อยๆ กลิ้งตัวลงมาตามเนินเขา
หัวหน้ากลุ่มชาวอวิ๋นหนานไล่ตามมาถึงสุดเขตของผืนป่าก็หยุด พวกเขาเห็นคนของเซียวอี้ไล่ตามไป ส่วนคนของตนกำลังตัดสินใจจะกระโดดลงไปบนเนินเขาหิมะทว่ากลับถูกเขาห้ามเอาไว้ เขามองท้องฟ้าแล้วหันไปมองยอดเขา “ไม่ต้องไล่ตามแล้ว ขึ้นไปบนภูเขาร้องตะโกน!”
ชาวอวิ๋นหนานดูเหมือนจะกระจ่างแจ้ง จึงมุ่งหน้าขึ้นบนภูเขาแล้วร้องตะโกน การร้องตะโกนนี้ยังต้องใช้กำลังภายในด้วย
ภูเขาหิมะได้รับผลกระทบจากการเคลื่อนไหว และวันนี้แสงตะวันสาดส่องยอดภูเขาหิมะ หิมะที่สะสมตัวมาดูเหมือนจะมีร่องรอยแตกร้าวอยู่แล้ว ปรากฏว่าเป็นอย่างที่คาด เมื่อได้รับผลกระทบจากเสียงร้องตะโกนนั้น คนของเซียวอี้เพิ่งจะกลิ้งไปได้ครึ่งทาง ภูเขาหิมะก็ถล่มลงมา
เรื่องราวต่อมาภายหลัง หลินชิงเวยจำได้ไม่ชัดเจนนัก นางจำได้เพียงถูกคลื่นน้ำซัดเข้าใส่ ทำให้นางและเซียวเยี่ยนจมลงไป
ยามนั้นแสงตะวันทิ่มแทงสายตายิ่งนัก นางจึงหลับตาลงและไม่ได้ลืมตาขึ้นมาอีกเลย