ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 248 พบอุปสรรคเมื่อออกจากวังกลางดึก
นางยืนอยู่หน้าประตู หันไปมองประตูห้องของซินหรู เวลานี้ซินหรูนอนหลับไปแล้ว ระยะทางยาวไกลเช่นนี้ ไม่อาจพานางไปด้วยได้ จึงไม่คิดจะปลุกนางให้ตื่นขึ้นมา
เสี่ยวฉีทำงานอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวก็เตรียมการเสร็จ หลินชิงเวยออกจากเรือน เสี่ยวฉีหันกายติดตามมา นางกลับเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอยู่ที่นี่”
เสี่ยวฉีตะลึงงันยืนอยู่กับที่
เงาร่างของหลินชิงเวยท่ามกลางเหมันตฤดูเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว “ดูแลซินหรูให้ดี หากข้ากลับมาแล้วพบว่าเนื้อของนางน้อยลงสักชิ้นละก็น่าดู”
เสี่ยวฉียังคงไม่วางใจ “แต่เหนียงเหนียงออกไปเพียงลำพังเช่นนี้ ข้าน้อยไม่วางใจ!”
“ไฉนจะเป็นการเดินทางเพียงลำพัง เจ้าไม่วางใจ ย่อมต้องมีคนไม่วางใจยิ่งว่าเจ้า”
เสี่ยวฉีดูเหมือนจะกระจ่างแจ้งทันใด เขาได้แต่มองเงาร่างของหลินชิงเวยที่ห่างออกไป นางออกจากตำหนักฉางเหยี่ยนขึ้นหลังม้าหนุ่มตัวสูงใหญ่ควบม้าวิ่งไปข้างหน้า
ประตูวังเปิดตลอดเส้นทาง ไม่มีผู้ใดขัดขวาง นางควบม้าออกจากประตูวัง ด้านนอกมีเพียงความอ้างว้างในยามราตรี ลมหายใจหนาวเหน็บแทบจะจับแข็ง ทว่ากลับเต็มไปด้วยบรรยากาศของความเป็นอิสรเสรี
นางมุ่งไปข้างหน้า แม้ตำหนักในจะขาดหลินเจาอี๋ไปคนหนึ่ง อย่างไรย่อมต้องมีข่าวลือออกไปไม่มากก็น้อย แต่เมื่อเทียบกับการได้ออกไปตามหาเซียวเยี่ยนแล้ว เรื่องเหล่านั้นล้วนไม่อาจเทียบได้
เพียงแต่เรื่องเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องให้หลินชิงเวยกังวลใจ ได้ยินว่าวันรุ่งขึ้นมีพระกระแสรับสั่งออกมาจากตำหนักซวี่หยาง ด้วยเรื่องที่หลินเจาอี๋เข้าถวายแล้วทำให้ฮ่องเต้ทรงกริ้ว ฝ่าบาทจึงมีพระกระแสรับสั่งลงโทษหลินเจาอี๋หันหน้าเข้าหากำแพงเพื่อสำนึกผิดในตำหนักฉางเหยี่ยน หากไม่มีคำสั่งของเขาไม่อนุญาตให้ออกจากตำหนักฉางเหยี่ยนแม้เพียงครึ่งก้าว ไม่ว่าผู้ใดล้วนห้ามไปเยี่ยมเยียนที่ตำหนักฉางเหยี่ยน
ยามนี้หลังจากหลินชิงเวยจากไป เซียวจิ่นร่ำสุราอยู่ในตำหนักบรรทม
เขายังไม่เคยปล่อยตัวเองถึงขั้นนี้มาก่อน ความรู้สึกลอยละล่องราวกับเป็นก้อนเมฆบนท้องฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
ทางด้านนี้ ซีเฟยที่อยู่ในตำหนักของตนเองเข้านอนไปแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมีขันทีมารบกวนกลางดึก ได้ยินว่าเป็นหัวหน้าขันทีของตำหนักซวี่หยาง นางไม่กล้าเพิกเฉยละเลยจึงรีบสวมเสื้อคลุมแล้วออกมาต้อนรับ
หัวหน้าขันทีไม่พูดจาอ้อมค้อมเช่นกัน เขาเอ่ยกับซีเฟยเหนียงเหนียงอย่างตรงไปตรงมา “เชิญเหนียงเหนียงไปตำหนักซวี่หยางกับบ่าวสักหนเถิด ไปค้างแรมที่ตำหนักซวี่หยาง”
ซีเฟยกลับตกตะลึง “คืนนี้มิใช่หลินเจาอี๋ไปถวายงานที่ตำหนักซวี่หยางหรอกหรือ?”
หัวหน้าขันทีพูดเสียงขื่น “ไม่ใช่หรือขอรับ แต่หลินเจาอี๋ถูกฝ่าบาทไล่ออกมา ฝ่าบาทไม่มีใครอยู่เป็นเพื่อนในห้อง เกรงว่าคงจะเบื่อหน่ายอย่างยิ่ง”
“จะเป็นไปได้อย่างไร…” ซีเฟยหลุดปาก หากกล่าวว่านางถูกไล่ออกมายังพอจะเข้าใจได้ แต่หลินเจาอี๋ถูกไล่ออกมา เป็นเรื่องที่ไม่อาจเข้าใจได้
หัวหน้าขันทีผู้นั้นไม่เข้าใจเช่นกัน “เรื่องราวเป็นอย่างไรหลินเจาอี๋ไม่ได้บอก เพียงแต่ให้บ่าวมาเชิญซีเฟยเหนียงเหนียงไปที่นั่นสักหนขอรับ”
ซีเฟยคิดหนักอยู่ครู่หนึ่ง “แต่ข้าเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่ง ฝ่าบาทไม่ได้ชมชอบนัก หากวันนี้ไปอีกเกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาทรำคาญใจกระมัง”
หัวหน้าขันทีเป็นผู้มีวาทศิลป์เช่นกัน “เหนียงเหนียงกล่าวเช่นนี้ไม่ถูกต้อง สำหรับเหนียงเหนียงแล้วนี่ถือเป็นโอกาสที่ดีหนหนึ่ง ในเมื่อก่อนหน้านี้เหนียงเหนียงได้ตระเตรียมการไปมากมาย หากเป็นเหนียงเหนียงท่านอื่นเข้าไปย่อมต้องจับต้นชนปลายไม่ถูก อย่างไรก็ย่อมต้องทำให้ฝ่าบาททรงกริ้วโดยง่ายดาย ด้วยเหตุนี้ทั้งตำหนักในไม่มีผู้ใดเหมาะสมไปกว่าเหนียงเหนียงอีกแล้ว”
ซีเฟยหวนคิดถึงเหตุการณ์ในค่ำคืนนั้น สำหรับนางแล้วถือเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ยามนี้ในเมื่อหัวหน้าขันทีมาเชิญด้วยตนเอง นางเองไม่อาจปฏิเสธได้ จะเป็นการลบล้างความรู้สึกถูกดูหมิ่น หรือทำให้ฝ่าบาทยิ่งรังเกียจนางมากขึ้น ย่อมต้องดูว่าคืนนี้นางจะทำได้แค่ไหนแล้ว
ด้วยเหตุนี้ซีเฟยจึงรวบรวมจิตใจพยักหน้ากล่าวว่า “ได้ ขอถามกงกงว่าข้ายังต้องเตรียมตัวอันใดอีกหรือไม่?”
หัวหน้าขันทีรีบกล่าว “ไม่ต้องเตรียมแล้ว เหนียงเหนียงตามบ่าวมาก็พอ”
ดังนั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ซีเฟยจึงตามขันทีไปยังตำหนักซวี่หยางกลางดึก
เซียวจิ่นนั่งแปะลงบนพื้น อาภรณ์บนร่างของเขายับย่นและยุ่งเหยิง ปกคอเสื้อเปิดออกและปรากฏให้เห็นรอยคราบที่สุราราดรดเป็นรอยน้ำจางๆ เขาเมามาย ภายในห้องมีสภาพเละเทะท่ามกลางแสงสว่างเพียงเล็กน้อย
ทันใดนั้นประตูตำหนักบรรทมถูกเคาะอีกครั้ง สตรีนางหนึ่งสวมเสื้อคลุมกันลมขนจิ้งจอกของหลินชิงเวยในค่ำคืนนั้นยืนอยู่อย่างสงบนิ่ง
เซียวจิ่นค่อยๆ หันหน้ากลับมาเชิดปลายคางขึ้น สายตาค่อยๆ จับจ้องมองไปจึงสัมผัสได้ถึงสตรีนางหนึ่ง ภายใต้เสื้อคลุมกันลมขนจิ้งจอกนางสวมกระโปรงสีเขียวอ่อน เส้นผมดำขลับราวกับน้ำหมึก คิ้วตางดงามประดุจภาพวาด จอนผมของคล้ายสะบัดอยู่ริมหู ขับให้ใบหูเล็กน่ารักของนางขาวผ่องขึ้นอีก
นางยกริมฝีปากยิ้มให้เซียวจิ่นด้วยดวงตาเปล่งประกาย
ภายในใจของเซียวจิ่นเต็มไปด้วยความยินดีราวคลุ้มคลั่ง ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้าง มองสตรีนางนั้นด้วยสายตาของความลุ่มหลง
อาจเป็นเพราะสายตารุ่มร้อนราวเปลวเพลิงที่มองมาทำให้ซีเฟยไม่อาจควบคุมจิตใจของนางได้ หัวใจของนางเต้นโครมคราม บุรุษผู้อยู่เบื้องหน้ามิใช่ฮ่องเต้ผู้ต้องการให้นางปรนนิบัติอย่างดีหรอกหรือ เขาสวมอาภรณ์ผ้าแพร บนร่างของของเขายุ่งเหยิง ทว่ายังคงงดงามเยือกเย็น
เซียวจิ่นตะเกียกตะกายขึ้นมาจากบนพื้นโผเข้าหานางโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใด ใช้พละกำลังทั้งหมดที่ตนมีโอบกอดร่างของนางเข้ามาในอ้อมกอดของตน แนบใบหน้าร้อนผ่าวของตนเข้ากับใบหน้าของนาง กล่าวอย่างยินดีว่า “ชิงเวย…ชิงเวยเจ้ากลับมาแล้ว…เจิ้นดีใจเหลือเกิน…”
เขาปรารถนาระบายความในใจของตนให้นางรับรู้ ล้วนพูดให้นางฟัง ไม่มีอะไรที่จะอธิบายความรู้สึกในใจของเขาได้ในยามนี้
“เป็นเจิ้นผิดเอง…เจิ้นผิดแล้ว…เจิ้นไม่อยากปล่อยให้เจ้าไปตามหาเสด็จอาแม้แต่น้อย เจิ้นเลอะเลือน เจิ้นคิดว่าตนเองไม่ได้รักเจ้าขนาดนั้น…”
คืนนั้นท่ามกลางมุ้งดอกพุดตาน เขาไพล่คิดไปว่าได้โอบกอดสตรีที่เขารักที่สุด ฝันดีไปคราหนึ่ง
ทันทีที่หลินชิงเวยออกจากวังหลวง เสียงเกือกม้าที่กระทบกับพื้นถนนดังก้องบนถนน นางควบม้าวิ่งผ่านถนนสองสายพลันรับรู้ได้ว่ามีคนติดตามมาข้างหลัง ทว่าไม่ได้ลงมือ นางจึงไม่ใส่ใจอันใดเมื่อตรองดูว่านางออกจากวังได้อย่างราบรื่น ย่อมต้องได้รับอนุญาตจากเซียวจิ่น เซียวจิ่นไม่มีทางปล่อยให้นางเดินทางไปหนานเจียงเพียงลำพังเป็นแน่
หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นจริงๆ การมีคนติดตามมาข้างหลังย่อมเป็นเรื่องดีเช่นกัน ดังนั้นหลินชิงเวยจึงไม่ได้ใส่นัก
ทว่าไหนเลยจะคิดว่านางออกจากวังหลวงกลางดึกเยี่ยงนี้ โดยมิได้บอกกล่าวกับผู้ใด แต่กลับพบกับความยุ่งยากทันทีที่ออกจากวัง
ม้าของหลินชิงเวยได้รับความตื่นตระหนกเมื่อวิ่งไปถึงมุมถนนสายหนึ่ง มันยกขาหน้าทั้งคู่ของมันขึ้นสูงพร้อมกับร้องคำรามครั้งหนึ่ง หลินชิงเวยแทบจะถูกมันสลัดตกจากหลังม้า นางต้องใช้พละกำลังไปมากมายในการควบคุมให้ม้าสงบลงได้ เมื่อนางช้อนตาขึ้นมองอีกครั้ง พบว่ามีคนชุดดำถือดาบในมือกลุ่มหนึ่งขวางทางของนาง
หลินชิงเวยอดที่จะคิดถึงเหตุการณ์ครั้งก่อนที่มีมือนักฆ่าลอบสังหารนางและเซียวเยี่ยนบนถนนสายรองในค่ำคืนนั้น ความทรงจำของหลินชิงเวยแม่นยำนัก ดาบในมือของพวกเขามีลักษณะเหมือนกับเหตุการณ์ในคืนนั้น
ขณะที่นางยังไม่รู้ว่าจะหนีเอาตัวรอดไปได้อย่างไร อีกฝ่ายพลันเหินกายพุ่งเข้าหานาง ดาบอันคมปลาบนั้นเป็นด่านหน้า พลันเกิดเสียงของมีคมบาดหูแหวกอากาศดังขึ้น
ในวินาทีนี้เองหลินชิงเวยเพิ่งจะหยิบผงยาในอกเตรียมจะสาดออกไป พลันเกิดเสียงสวบสาบดังขึ้นด้านหลัง นางรีบโน้มกายแนบติดไปกับหลังม้า เห็นเพียงเงาร่างของคนชุดดำเหินกายสวนผ่านร่างของนางไปพร้อมกับองครักษ์ลับในอาภรณ์ชุดดำที่พร้อมโจมตี