ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง - บทที่ 61 ต้อนข้าให้จนมุมหรือ
หลินชิงเวยเอ่ยอีกว่า “เสด็จอายังไม่ได้แต่งฮูหยินนี่นา ข้าดูหน้าตาท่านไม่ได้ขี้ริ้ว หรือไม่ก็อาจจะเป็นคนไม่ดี ไม่ก็อาจจะมีปัญหาเบี่ยงเบนทางเพศ หรือไม่อีกทีก็ปักหลักอยู่ในตำหนักในแห่งนี้ยังคิดจะเฟ้นหาผู้ที่โดดเด่นเหนือใคร ในเมื่อหอคอยที่อยู่ใกล้น้ำย่อมได้ยลพระจันทร์[1]ก่อน…” สีหน้าของเซียวเยี่ยนบูดบึ้งอย่างที่สุด ไม่น่าดูเสียจนหลินชิงเวยคิดว่าเขาจะลงไม้ลงมือกับนางแล้ว ดังนั้นนางพูดไปทางหนึ่งอีกทางหนึ่งก็ก้าวถอยหลัง แต่จนใจที่เซียวเยี่ยนก้าวเข้ามาบีบคั้นไม่ปล่อย กระทั่งคนทั้งสองถอยมาจนสุดระเบียงทางเดิน หลินชิงเวยหันกายคิดจะวิ่งหนี ไหนเลยจะคิดว่าถูกเซียวเยี่ยนคว้าข้อมือเอาไว้แน่นหนาสะบัดอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
ประจวบเหมาะกับมีนางกำนัลกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางนี้ หลินชิงเวยจึงแนบเรือนร่างของตนไปกับร่างเซียวเยี่ยนเล็กน้อยและกล่าวว่า “เสด็จอาของข้า มีคนมาแล้วหรือท่านอยากให้พวกเขาพบเห็นท่านปฏิบัติต่อข้าเยี่ยงนี้?”
ประสาทหูของเซียวเยี่ยนนั้นดียิ่ง แน่นอนว่าเขาต้องได้ยินเช่นกันว่ามีคนกำลังมุ่งหน้ามา เพียงแต่ก่อนหน้าที่อีกฝ่ายยังไม่ทันได้เห็นพวกเขาทั้งสอง เขาหันกายพร้อมกับลากตัวหลินชิงเวยเลี้ยวเข้าไปชิดมุมระเบียงทางเดิน
ร่างของหลินชิงเวยกระแทกกับกำแพง ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าจึงพลันสั่นคลอน ต่อมาร่างกายใหญ่โตของเซียวเยี่ยนก็ทาบลงมาทับอยู่บนร่างของนางจนแทบจะหายใจไม่ออก
เจ้าหนุ่มคนนี้ ช่างมีพลังแข็งแกร่งเกินไป
เดิมทีหลินชิงเวยคิดว่าด้านหลังตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นเป็นเพียงพื้นที่ว่างเปล่าผืนหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าทัศนียภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าจะทำให้นางถึงกับตกตะลึงพรึงเพริด ที่นี่ยังมีสวนเพาะกล้าไม้อยู่อีกแห่งหนึ่ง
ภายในสวนเพาะกล้าไม้ยังได้เพาะต้นไม้ ดอกไม้ และพืชนานาชนิดอีกมากมาย ดอกไม้ช่วงต้นวสันตฤดูกำลังประชันขันแข่งกันบานสะพรั่ง เป็นภาพที่สวยงามยิ่งนัก
ร่างของหลินชิงเวยเพิ่งจะขยับยุกยิก เซียวเยี่ยนพลันยื่นแขนยาวๆ ทั้งคู่ออกมา กักร่างของนางเอาไว้ทั้งสองด้าน
หลินชิงเวยเอียงหน้าไปมองแขนของเขา ฝ่ามือทั้งกว้างและหนานั้นห่างจากกกหูของนางไม่มาก ผิวของนางราวกับรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ซ่านออกมาจากฝ่ามือของเขา ดวงตาของนางยังเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ไม่ตื่นตระหนกไม่ลนลานทั้งยังเต็มไปด้วยเสน่ห์แพรวพราวที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าอันอ่อนเยาว์ของนางให้ความรู้สึกโดดเด่นไม่เหมือนผู้ใด
นางกล่าวยิ้มๆ ว่า “เสด็จอา ท่านกำลังต้อนข้าให้จนมุมหรือเพคะ?”
นางจะมีท่าทีจริงจังได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในฐานะท่านหมอเท่านั้นใช่หรือไม่?
เซียวเยี่ยนกล่าว “เปิ่นหวางจะพูดอีกครั้ง ต่อไปเจ้าอย่าได้ไปก่อเรื่องกับคนอื่นๆ ในตำหนักในจะดีที่สุด หากเจ้าคิดจะมีชีวิตอยู่อย่างสงบแล้วละก็”
จ้าวเฟยเป็นคนของไทเฮา ทุกคนต่างกระจ่างแจ้งในเรื่องนี้ดี เพียงแต่ต่อให้หลินชิงเวยไม่ไปหาเรื่องพวกนาง พวกนางกลับมารนหาที่ถึงที่แล้วนี่จะโทษใครได้เล่า?
รอยยิ้มบนใบหน้าหลินชิงเวยมิได้ลดลงแม้แต่น้อย ทว่ากลับปนเปไปด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับท่านด้วยหรือ? ดูท่าแล้วเสด็จดูแลและเอาใจใส่ทุกอย่างจริงๆ”
เซียวเยี่ยนหายใจเข้าลึกๆ
หลินชิงเวยเอียงหน้า ยื่นปลายนิ้วของตนออกมาเคาะลงบนหน้าอกของเขาเบาๆ เอ่ยว่า “ท่านใส่ใจข้าใช่หรือไม่ หากท่านยอมรับว่าท่านใส่ใจข้า เรื่องก่อนหน้านี้ข้าจะไม่ติดใจเอาความกับเสด็จอา ข้าจะนำความเห็นของเสด็จอาไปไตร่ตรองดู”
เซียวเยี่ยนประสานสายตากับหลินชิงเวยชั่วอึดใจหนึ่ง ในแววตาของเขานิ่งลึกราวกับกำลังถูกนางยั่วยวนครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าในที่สุดเขายังคงดึงแขนกลับมาสะบัดชายเสื้อ หันกายเดินจากไปและเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “ช่างเถิด สุดแล้วแต่เจ้า เปิ่นหวางไม่มีเวลามาเล่นกับเจ้า”
ศีรษะของหลินชิงเวยแนบติดไปกับกำแพงคางของนางเชิดขึ้นเล็กน้อย นางมองเงาร่างของเซียวเยี่ยนที่เดินห่างออกไปด้วยหางตา แววตาเจิดจ้าในดวงตาเมื่อสักครู่นั้นค่อยๆ เลือนหายไปเหลือเพียงความสงบนิ่ง
หลังจากเซียวเยี่ยนเดินจากไปแล้ว หลินชิงเวยเดินเล่นรอบๆ สวนเพาะกล้าไม้ มีต้นพีชหลายต้นกำลังแทงดอกออกมา ราวกับกำลังรอแสงแดดอันอบอุ่นของฤดูวสันต์ที่กำลังจะมาถึง จากนั้นจึงจะพร้อมใจกันบานสะพรั่ง ใต้ต้นไม้มีดอกกล้วยไม้อยู่เล็กน้อย และยังมีต้นหญ้าและดอกไม้ที่นางไม่รู้จักชื่ออยู่บ้าง
ยามอู่ ตำหนักบรรทมของเซียวจิ่นได้จัดกระยาหารสำหรับมื้อกลางวันขึ้นโต๊ะเสวย ทว่าปริมาณของอาหารมิใช่สำหรับเขาเพียงคนเดียวอย่างเห็นได้ชัด
ในที่สุดหลินชิงเวยก็มีโอกาสได้ลิ้มลองพระกระยาหารสำหรับฮ่องเต้โดยเฉพาะ นางนั่งลงเบื้องหน้าโต๊ะเสวย มองถ้วยกระเบื้องสีเหลืองโปร่งลวดลายมังกรอันวิจิตรบรรจงที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้า ด้านข้างวางตะเกียบหยกขาวเนื้อดีคู่หนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างบนโต๊ะเสวยจัดวางอย่างสวยงามไร้ที่ติ หลินชิงเวยมองแล้วคิดว่าเหมือนงานศิลปะชิ้นหนึ่ง ไม่รู้จะเริ่มต้นกินอย่างไรดี
พระกระยาหารจากห้องเครื่องสำหรับฮ่องเต้โดยเฉพาะย่อมแตกต่างจากอาหารของตำหนักอื่นๆ
ทว่าเซียวจิ่นรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าบรรยากาศบนโต๊ะเสวยแปลกไปเล็กน้อย
เขามองเซียวเยี่ยนแล้วหันไปมองหลินชิงเวย คนทั้งสองนั่งห่างกันไกลโยชน์ โต๊ะเสวยเป็นทรงกลมพวกเขานั่งตรงข้ามกันโดยมีโต๊ะเสวยคั่นอยู่ตรงกลาง
คนทั้งสองต่างไม่สนใจซึ่งกันและกัน เซียวเยี่ยนมีท่าทีเย็นชา หลินชิงเวยกลับกระตือรือร้นอย่างออกนอกหน้า เพียงแต่ความกระตือรือร้นของนางมีต่อเซียวจิ่นเท่านั้น นางสนทนากับเซียวจิ่นทว่าไม่พูดจากับเซียวเยี่ยนแม้แต่ประโยคเดียว
ในที่สุดปัญหาก็เกิดขึ้น หลินชิงเวยยื่นตะเกียบออกไปหมายจะกินอาหารจานที่อยู่ตรงกลาง เซียวเยี่ยนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็พลันยื่นตะเกียบไปยังอาหารจานเดียวกัน ตะเกียบสองคู่คีบผักชิ้นเดียวกันอย่างบังเอิญ
หลินชิงเวยเงยหน้าขึ้นมองเขาแวบหนึ่ง ในใจคิดว่าด้วยนิสัยของเขา จะต้องดึงตะเกียบกลับไปโดยไม่แย่งชิงกับนางแน่นอน อย่างนี้ก็ไม่สนุกน่ะสิ
เพราะใบหน้าเย็นชาของเขาส่งผลกระทบต่ออรรถรสในการรับประทานอาหารจริงๆ!
เซียวเยี่ยนคิดจะดึงตะเกียบของตนกลับมาเช่นกัน ใครเลยคาดคิดว่าหลินชิงเวยกลับใช้ตะเกียบของนางกดตะเกียบของเขา แล้วเลิกคิ้วท้าทายพร้อมกับใช้ตะเกียบของนางเคาะลงบนตะเกียบของเขา ปัดตะเกียบของเขาออกห่างจากอาหารจานนั้นจนสำเร็จแล้วจึงคีบผักชิ้นนั้นส่งเข้าปากอย่างไม่เร่งรีบ จากนั้นเคี้ยวอาหารไปพร้อมกับมองเขาอย่างไร้พิษสง
เซียวเยี่ยนหน้าตึงทันที เหตุใดต้องให้นางมาร่วมโต๊ะเสวยด้วย เห็นหน้าแล้วไม่มีความอยากอาหารจริงๆ!
เซียวจิ่นมองดูสีหน้าเซียวเยี่ยนผู้ไม่เคยเสียเปรียบผู้ใดมาก่อน อดไม่ได้ที่จะแอบหัวเราะ นี่ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ยิ่งนักดูเหมือนนอกจากหลินชิงเวยจะไม่มีผู้ใดกล้าทำให้เขาโกรธขึ้งเช่นนี้มาก่อนกระมัง
เซียวจิ่นหันไปมองหลินชิงเวยอีกครั้ง เขาพบว่าหลินชิงเวยกินอาหารอย่างเอร็ดอร่อยปากเล็กๆ นั้นมันเยิ้ม สีหน้าท่าทางนั้นดื่มด่ำกับรสชาติของอาหารโดยไม่เห็นเซียวเยี่ยนอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาจึงกดลึกขึ้นอีก
หลินชิงเวยกล่าว “อืม อาหารจานนี้อร่อยเหลือเกินเพคะ”
เซียวจิ่นกล่าว “หลินเจาอี๋ไม่ต้องเกรงใจ หากชอบก็กินมากหน่อย”
หลินชิงเวยเลียริมฝีปากของตน “เห็นแก่ข้าวมื้อนี้ที่ฝ่าบาททรงเมตตา หม่อมฉันคิดว่ามิตรภาพของพวกเราได้พัฒนาขึ้นไปอีกก้าวหนึ่งแล้วเพคะ ต่อไปฝ่าบาทเรียกชื่อของหม่อมฉันตรงๆ ก็พอเพคะ เจาอี๋ เจาอี๋ ฟังดูยุ่งยากเหลือเกินเพคะ”
เซียวจิ่นกล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “ได้ เช่นนั้นต่อไปเจิ้นเรียกเจ้าว่า ชิงเวย”
เซียวเยี่ยนวางตะเกียบหยกในมือลง ยื่นมือไปหยิบช้อนตักน้ำแกงมาถ้วยหนึ่ง แล้วส่งมาถึงข้างมือของเซียวจิ่น เซียวจิ่นลุกขึ้นยืนไม่ได้ แขนของเขายื่นมาถึงอาหารไม่กี่จานที่จัดวางอยู่ตรงหน้าเท่านั้น อาหารจานอื่นเขาล้วนตักไม่ถึง
เซียวจิ่นกล่าวขอบคุณอย่างมีมารยาท
หลินชิงเวยเห็นแล้วถามขึ้นว่า “ฝ่าบาทเสวยอาหารทางด้านนั้นไม่ถึงหรือเพคะ จะให้หม่อมฉันคีบเนื้อปลาให้ฝ่าบาทหรือไม่เพคะ?”
“ไม่ต้องหรอก” เซียวจิ่นกล่าว
เขาเพิ่งจะกล่าวจบ หลินชิงเวยก็ใช้ตะเกียบของตนเองคีบปลาชิ้นหนึ่งวางลงในถ้วยของเขา เซียวจิ่นก้มหน้าลงมองอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“พระองค์ไม่โปรดเสวยเนื้อปลา?”
“ไม่ใช่”
“รังเกียจว่าก้างปลามาก?”
“…”
หลินชิงเวยจึงคีบเนื้อปลาชิ้นนั้นกลับมาใช้นิ้วมือขาวๆ ของตนเลาะก้างปลาออกมา ทางหนึ่งกล่าวว่า “สำหรับพลานามัยของฝ่าบาทแล้ว การเสวยเนื้อปลามีประโยชน์ไม่มีโทษ หม่อมฉันเป็นหมอส่วนตัวของฝ่าบาท ฝ่าบาทควรจะเชื่อหม่อมฉัน ได้แล้วเพคะ ก้างปลาคัดออกหมดแล้วเพคะ”
นางนำเนื้อปลาที่คัดก้างปลาออกแล้ววางกลับไปในถ้วยของเขา เซียวจิ่นตื่นตะลึงเล็กน้อย
[1] หมายถึง อยู่ใกล้ได้ก่อน มือใครยาวสาวได้สาวเอา