ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี - บทที่ 1 หยิบผิดบทเสียแล้ว!
ด้านนอกของประตูเขากว่างเฉิง ณ เกาะนภากลางแห่งนภาพิภพ หนึ่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสำนักวิทยายุทธ์มากมายในยุคปัจจุบันของโลกแปดพิภพ
เยี่ยนจ้าวเกอในอาภรณ์สีขาว ด้านนอกสวมทับด้วยชุดคลุมสีน้ำเงินแต่งขอบสีดำ บ่งบอกถึงตำแหน่งลูกศิษย์สืบทอดหลักของเขากว่างเฉิง
ส่วนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เป็นชายหนุ่มในชุดสีเหลืองคนหนึ่ง ซึ่งกำลังยืนหน้าบูดบึ้ง “เยี่ยนจ้าวเกอ เจ้ามีดีแค่บิดาเก่งไม่ใช่หรืออย่างไร?”
“เมื่อครู่เจ้าว่าอะไรนะ? หากกล้าเจ้าก็ลองพูดดูอีกครั้งสิ” เยี่ยนจ้าวเกอตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“พูดก็พูดสิ คิดว่าข้ากลัวเจ้าหรือ? เจ้ามันก็แค่มีดีแต่บิดาเก่งไม่ใช่หรือ?”
เยี่ยนจ้าวเกอจ้องเขา พลันฉีกยิ้มออกมา “เยี่ยม ประโยคนี้แหละ ข้าชอบที่คนอื่นว่าข้าด้วยประโยคนี้ที่สุด”
ชายหนุ่มชุดสีเหลืองอึ้งจนพูดไม่ออก
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเขาถึงได้สติกลับมา ความอับอายแปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ เขาพุ่งตัวเข้าหาเยี่ยนจ้าวเกอโดยที่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
“เบามือหน่อย อย่าให้ถึงตายล่ะ” เยี่ยนจ้าวเกอพูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจนัก
ชายหนุ่มชุดสีเหลืองชะงักงัน ก่อนจะรู้สึกชาไปทั้งตัว ภาพตรงหน้ามัวไปหมด เขาได้สติเมื่อผ่านไปครู่ใหญ่ และพบว่าตัวเขาถูกจับเอวยกขึ้นไปในอากาศจากข้างหลัง!
ชายร่างกำยำผู้หนึ่งปรากฏกายตรงหน้าเยี่ยนจ้าวเกอ เขายกชายหนุ่มชุดเหลืองไว้กลางอากาศด้วยมือข้างเดียว ท่วงท่าสบายๆ นั้นราวกับหิ้วเด็กน้อยคนหนึ่ง
ชายร่างกำยำยิ้มตาหยี พลางกล่าวว่า “คุณชาย เชิญก่อนเลยขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้า เอามือทั้งสองข้างไขว้หลัง หันกายแล้วเดินออกไปอย่างสบายอกสบายใจ
ชายร่างกำยำผู้นั้นแสยะยิ้มอย่างชั่วร้าย พลางยกชายหนุ่มชุดเหลืองเดินไปไกลไว้เพียงมือเดียว ส่วนอีกฝ่ายก็ทำได้เพียงส่งเสียงในลำคอเป็นระยะๆ เท่านั้น
เยี่ยนจ้าวเกอกลับเข้าไปในประตูสำนักของตนเอง ขณะเดินไปตามทาง สีหน้าหยอกล้อเล่นสนุกบนใบหน้าของเขาได้เลือนหายไปแล้ว เหลือเพียงสายตาที่มองตรงไปข้างหน้า กับสีหน้าที่เรียบนิ่ง
มองดูแล้วเป็นบุคคลที่น่าเคารพนับถือเป็นอย่างยิ่ง
แต่ความหมายที่แท้จริงที่ซ่อนไว้ของสีหน้านี้ก็คือ…
ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร!
“ต้องไม่ใช่บทแบบนี้สิ” เยี่ยนจ้าวเกอบ่นพึมพำกับตัวเอง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในแม่ทัพใหญ่คนหนึ่งที่เดินทางข้ามมิติมา วิธีการเปิดมิติของตนเองจะต้องมีข้อผิดพลาดแน่
ครั้งแรกที่เดินทางข้ามมิติ เขาข้ามไปอยู่ในมิติกาลเวลาอื่นที่มีอารยธรรมวิทยายุทธ์รุ่งเรืองมากที่สุด แถมยังไปโผล่ในหอคัมภีร์ลับของสำนักพระราชวังเทพที่เก็บสะสมสุดยอดตำราคัมภีร์ต่างๆ ของโลกไว้มากมาย แต่ภายหลังกลับเกิดวิกฤติการณ์ครั้งใหญ่ จนแม้แต่สำนักพระราชวังเทพก็ดับสลายไป
จากนั้นนึกไม่ถึงว่าการข้ามมิติมาครั้งที่สองนี้ วิญญาณของเขาได้กลับมายังโลกเดิม เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นยุคหลังจากนั้นอีกนานเท่าไร
ผู้คนได้สืบทอดและสรรค์สร้างโลกใหม่ขึ้นจากร่องรอยที่หลงเหลือของวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอารยธรรมวิทยายุทธ์ของที่นี่เพิ่งจะเริ่มนับหนึ่งใหม่ ทุกอย่างยังอยู่ในช่วงของการพัฒนา
เมื่อข้ามมิติครั้งที่สองมายังโลกที่อยู่ ณ ตอนนี้ เขาท่องจำคัมภีร์ลับในสำนักพระราชวังมาจนเต็มล้นสมองของตนเองแล้ว จึงรู้สึกราวกับเคยชินกับรูปแบบการใช้ชีวิตสุดทรหด แล้วจู่ๆ เขาก็ได้มาใช้ชีวิตที่พบเจอแต่เรื่องง่าย ทำเอาเขาไม่ค่อยสบอารมณ์เอาเสียเลย!
ปัญหาเดียวก็คือ หลังจากที่ข้ามมิติครั้งที่สองแล้ว เจ้าของเดิมของร่างนี้ได้ทิ้งสิ่งที่ชั่วร้ายที่สุดไว้อย่างหนึ่ง
“คุณชายขอรับ จัดเตรียมของที่ท่านสั่งให้เก็บรวบรวมเรียบร้อยแล้วขอรับ” บัดนี้ชายร่างกำยำผู้นั้นเดินตามมาอีกครั้ง “และมีเบาะแสที่อยู่ของเชื้อไฟสัจจะอัคคีแล้วเช่นกันขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอชะลอฝีเท้าลงเล็กน้อย “เบาะแสนี้ยากจะได้มานัก เจ้าแน่ใจแล้วหรือ”
“เหล่าลูกน้องจำกัดขอบเขตให้แคบลงแล้ว พบว่ามันอยู่บริเวณฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของหุบเหวปราการมังกร คิดว่าอีกไม่นานคงได้ข้อมูลที่ชัดเจนมากกว่านี้กลับมาขอรับ” ชายร่างกำยำฉีกยิ้มอย่างซื่อตรง
“ไม่เลวๆ” เยี่ยนจ้าวเกอพยักหน้ารับด้วยความพอใจ
คนที่เรียกตนว่า ‘คุณชาย’ และไม่ใช่ศิษย์พี่หรือศิษย์น้องนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นคนของตระกูลเยี่ยน อีกทั้งบิดาของตนไม่เพียงเป็นผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสูงและมากด้วยอำนาจในสำนักเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ยังเป็นผู้นำตระกูลเยี่ยนรุ่นปัจจุบันด้วย ถือเป็นตระกูลผู้ดีที่มีชื่อเสียงกว้างไกลไปทั่วทั้งแผ่นดินใหญ่
ไม่ว่าเยี่ยนจ้าวเกอต้องการสิ่งใด ขอเพียงจดรายการออกมา เหล่าข้าทาสบริวารก็จะกุลีกุจอเสาะหามาให้
กล่าวอย่างง่ายๆ คือ บัดนี้เยี่ยนจ้าวเกอมีฐานะดี อยู่ในตระกูลที่มีชื่อเสียง บิดาเก่งกาจ ตนเองเป็นอัจฉริยะ ทุกสิ่งล้วนราบรื่น
ทว่า…เหมือนยังมีตรงไหนที่ยังไม่ถูกที่ไม่ถูกทางอยู่
“คุณชายขอรับ ยังมีอีกเรื่อง…” ชายร่างกำยำที่อยู่ด้านข้าง กำลังจะปริปากพูดบางอย่างต่อ แต่ก็ต้องกลืนคำพูดนั้นลงท้องไปทันที
ข้างหน้าปรากฏชายวัยกลางคนที่มีปราณหนักแน่นเดินเข้ามา ทุกย่างก้าวของเขาราวกับทำให้สิ่งต่างๆ รอบตัวสั่นสะเทือนไปด้วยได้เลยทีเดียว
เมื่อชายผู้นั้นเข้ามาใกล้ เยี่ยนจ้าวเกอคารวะอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม ชายวัยกลางคนผู้นั้นฉีกยิ้มเล็กน้อยพลางกล่าวว่า “ไม่พบเพียงไม่กี่วัน วรยุทธ์ของศิษย์หลานเยี่ยนเก่งกล้าขึ้นอีกแล้ว”
เยี่ยนจ้าวเกอตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “จะร่ำเรียนวิชาต้องขยันหมั่นเพียร พึงหาแต่เพียงความสนุกมิได้ หลานไม่กล้าเกียจคร้านหรอกขอรับ”
ชายวัยกลางคนกล่าวว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนที่บริเวณหุบเหวปราการมังกรมีความเคลื่อนไหวบางอย่าง ข้ากำลังเตรียมรวบรวมคนไปตรวจสอบ โดยจะให้ลูกศิษย์เยาว์วัยเดินทางไป การประลองรอบเล็กของสำนักก็เสร็จสิ้นพอดี ข้าเลยคิดว่าจะให้ลูกศิษย์รุ่นใหม่ที่ชนะการประลองแปดคนแรกร่วมไปด้วย ถือเป็นการฝึกฝนไปในตัว”
“เพียงแต่มีข่าวลือเล่ากันมาว่ามีคู่ปรับเก่าคนหนึ่งของเจ้าปรากฏตัวอยู่ใกล้ๆ กับปราการมังกรเช่นกัน หากศิษย์หลานเยี่ยนไม่ได้มีกิจใดในช่วงนี้ ก็เป็นหัวหน้านำคณะสักครั้งได้หรือไม่”
เขามองเยี่ยนจ้าวเกอ แววตาเต็มไปด้วยความคาดหวังและชื่นชม
ชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้มีพรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เป็นบุคคลที่สวรรค์โปรดปรานอย่างแท้จริง เขามีความสามารถอยู่ในลำดับต้นๆ ของคนรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมยังเป็นบุคคลที่จะนำกองทัพ และเป็นหน้าตาของศิษย์รุ่นเยาว์วัยของเขากว่างเฉิง
ผู้ที่จะเทียบเคียงกับเขา ก็ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะในบรรดาคนที่มีอายุเท่ากัน ซึ่งมีความสามารถยอดเยี่ยมที่สุดในสำนักวิทยายุทธ์อันดับต้นๆ แห่งอื่นของโลกแปดพิภพ
ในฐานะที่เยี่ยนจ้าวเกอเป็นคุณชายแห่งเขากว่างเฉิง หนึ่งในสี่คุณชายแห่งยุค แม้ว่าอายุจะยังน้อย แต่ก็เป็นผู้ที่มากความสามารถและมีความเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันทั่วทั้งโลกแปดพิภพ เป็นที่ยอมรับจากทุกคนว่าขอเพียงไม่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์วัย อนาคตก็ต้องเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จระดับตำนานแน่นอน
“ปราการมังกรหรือ…” เยี่ยนจ้าวเกอขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะพยักหน้าตอบตกลงในทันที “ข้าไม่ได้มีกิจอันใดขอรับ ข้าจะไปสักครั้ง ส่วนบรรดาศิษย์น้องชายหญิง ข้าจะดูแลเองขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายดี บริเวณหุบเหวปราการมังกรมีลูกศิษย์รุ่นเยาว์วัยที่เก่งกาจของสำนักอื่นเคลื่อนไหวอยู่ด้วย ถ้าหากเกิดปะทะกันขึ้นมา ลูกศิษย์รุ่นเยาว์ของสำนักของตนเองจะถูกรังแกเอาได้ อาจทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงของสำนัก
หากมีผู้อาวุโสเช่นอาจารย์ลุงหรืออาจารย์อาเป็นหัวหน้านำคณะไป ก็คงไม่ถูกรังแก แต่ถึงอย่างไรลูกศิษย์รุ่นเยาว์วัยก็ยังอ่อนแอกว่าอยู่ดี
แค่ให้เยี่ยนจ้าวเกอเป็นหัวหน้านำคณะ ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
แต่โดยส่วนตัวแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอยินดีมากเช่นกันที่จะได้ออกเดินทาง เพื่อออกไปสำรวจพื้นที่จริงซึ่งเป็นโลกใบใหม่สำหรับตนเอง และถือโอกาสยืนยันข้อมูลที่อยู่ในความทรงจำของเขาไปในตัว
สิ่งของที่ตนกำลังตามหาก็อยู่ที่หุบเหวปราการมังกรเช่นกัน แผนการบางอย่างที่ตนกำลังคิดอยู่นั้น ก็จำเป็นต้องใช้สภาพแวดล้อมของปราการมังกร จะช้าหรือเร็วอย่างไรก็ต้องที่แห่งนั้นไปสักครั้งอยู่แล้ว ครั้งนี้ถือว่าเป็นทางสะดวกก็แล้วกัน
เมื่อเห็นเยี่ยนจ้าวเกอตอบตกลงแล้ว ชายวัยกลางคนก็วางใจมากขึ้น “การเดินทางครั้งนี้ ศิษย์หลานเยี่ยนก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกศิษย์ที่เพิ่งเข้าใหม่ด้วย ข้าเชื่อว่าจะทำให้พวกเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ไม่น้อย”
หลังจากกล่าวลาชายวัยกลางคนแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็สาวเท้าเดินไปข้างหน้า ส่วนชายร่างกำยำผู้นั้นเดินตามมาข้างๆ พร้อมทั้งเอ่ยความต่อ “คุณชายขอรับ เมื่อครู่ข้ากำลังจะบอกท่านว่า ดูเหมือนทางฝั่งแม่นางหลินต้องการยืดเวลาเข้าฌานบำเพ็ญเพียรออกไปอีก คงไม่สามารถออกฌานตามกำหนดเดิมได้แล้วขอรับ”
ในความคิดของเขา เมื่อคุณชายของตนได้ยินดังนี้ จะต้องเสียดายและไม่พอใจอยู่บ้าง
ทว่าแท้จริงแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอในเวลานี้กลับกลอกตา เพราะนี่คือสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่เจ้าของร่างคนเดิมทิ้งไว้ให้ตน
ในอดีต เจ้าของคนเดิมของร่างกายนี้ได้พบกับแม่นางคนหนึ่งขณะที่ออกเดินทางท่องเที่ยว
เดิมทีแม่นางคนนั้นมีคนรักที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กอยู่แล้ว แต่เมื่อได้พบกับเจ้าของร่างเดิมที่เป็นชายหนุ่มรูปงามและมีฐานะดีผู้นี้ ท้ายที่สุดนางก็เปลี่ยนใจ ทอดทิ้งชายหนุ่มคนรักของตนไป เพื่อให้ตนเองมีชีวิตที่ดีขึ้น
แม้ไม่ได้อยากจะคุ้ยแขวะข้อด้อยของเขา แต่ชื่อเสียงในเรื่องผู้หญิงของเจ้าของร่างเดิมนั้น เป็นที่รู้กันดีว่าไม่ปฏิเสธผู้ที่เข้าหา ทำให้หนุ่มชาวบ้านที่เป็นคนรักเดิมของนางแค้นใจอย่างมาก
ชายหนุ่มทั้งสองคนแตกต่างกันมาก ทว่าเจ้าของร่างเดิมเองก็ไม่ได้กดขี่และสร้างความลำบากอะไรให้กับฝ่ายตรงข้าม และไม่สนใจใยดีการถูกมองเป็นศัตรูจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด
แท้จริงแล้วพรสวรรค์ด้านวรยุทธ์ของหญิงสาวเองไม่ธรรมดา แต่ก่อนนางเปรียบเหมือนเพชรในตมอยู่ในเมืองเล็กๆ ภายหลังจึงได้ตามเจ้าของร่างเดิมกลับมายังเขากว่างเฉิง เมื่อเข้าเป็นลูกศิษย์ในสำนักแล้ว วรยุทธ์ของนางก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว
หลังจากเข้าสำนักได้ระยะหนึ่ง นางก็เข้าฌานบำเพ็ญเพียร ส่วนเยี่ยนจ้าวเกอข้ามมิติครั้งที่สองมายังดินแดนแห่งนี้ในเวลาเดียวกัน
หากว่ากันตามตรง นางเป็นหญิงสาวผู้เลอโฉมไร้ที่ติ
หญิงสาวรูปโฉมงดงามดีพร้อม จึงเป็นที่หมายปองของบรรดาบุรุษทั้งหลาย ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้ชื่นชมนางเพียงสายตาเท่านั้น ไม่ได้มีความรู้สึกอื่นที่พิเศษแต่อย่างใด
เขาได้เผชิญกับวินาศเคราะห์ฟ้าดินในการข้ามมิติครั้งแรก ภาพพระราชวังเทพดับสิ้นไปต่อหน้าต่อตา ยังคงตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเยี่ยนจ้าวเกอ
สำนักพระราชวังเทพที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นยังไม่สามารถคงอยู่ไว้ได้ แล้วผู้ใดจะอยู่ในโลกได้อย่างสงบสุขตลอดไปเล่า
การที่ได้เห็นภาพนั้นด้วยตาของตัวเอง บางคนอาจเกิดความสิ้นหวังขึ้นในใจ และคิดอยากใช้ชีวิตสำมะเลเทเมา แต่ทว่าเยี่ยนจ้าวเกอกลับเลือกที่จะพัฒนาตนเอง
แม้ว่าบิดาของตนจะแข็งแกร่งมาก แถมตนเองก็มีจุดเริ่มต้นที่ดี ภูมิฐานครอบครัวก็ไม่เลว มีลูกน้องเบื้องล่างมากมาย แต่เยี่ยนจ้าวเกอก็ยังรักษาทรัพยากรทุกหยดทุกเม็ดอย่างคนหิวกระหาย ใช้ทุกอย่างพัฒนาตนเองโดยไม่ให้สิ้นเปลืองไปแม้เพียงเล็กน้อย และใช้เวลาทุกเสี้ยววินาทีอย่างคุ้มค่าที่สุดเช่นกัน
ทั้งหมดนี้ได้กลายเป็นสัญชาตญาณไปแล้ว
ตลอดระยะเวลาตั้งแต่ที่ข้ามมิติครั้งที่สองมา เยี่ยนจ้าวเกอก็ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมและฐานะใหม่ รวมถึงปรับตัวเข้ากับผู้คนและเรื่องราวต่างๆ รอบกายได้แล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องบางเรื่องที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่เปลี่ยนแปลงไป
สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการตั้งใจฝึกฝน ไม่ใช่การให้ความสนใจกับสิ่งแวดล้อมหรือเงื่อนไขที่ดีเลิศในตอนนี้
ในยุคที่ผู้มีวิทยายุทธ์ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นวีรบุรุษ และพลังอำนาจส่วนบุคคลสามารถใช้กำหนดทิศทางความเป็นไปของยุคสมัยได้นี้ ความสามารถจึงเป็นสิ่งสำคัญ ผู้ที่ได้รับชัยชนะก็จะได้เป็นใหญ่เป็นโต
แต่เยี่ยนจ้าวเกอพบว่า เรื่องราวต่างๆ เหมือนจะไม่ได้ง่ายอย่างนั้น
ชายร่างกำยำข้างกายพูดขึ้นพอดี “คุณชายขอรับ นอกจากนี้ ข้าตรวจสอบเยี่ยจิ่งผู้นั้นแล้วขอรับ”
“ปีนี้อายุสิบหกปี เป็นคนอาณาจักรถังตะวันออกที่อยู่ในนภาพิภพ บิดามารดาเสียชีวิตตั้งแต่อายุสามขวบ เขาได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นๆ ในตระกูล มีชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจของคนอื่น ถูกรังแกและดูหมิ่นดูแคลนมาตลอด”
“เขามีท่าทีแสนธรรมดา พรสวรรค์ด้านวิทยายุทธ์ก็กลางๆ นอกจากตรงที่เติบโตมาพร้อมกับแม่นางหลินแล้ว ก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษ”
“หลังจากที่ท่านพาแม่นางหลินจากมา จู่ๆ เขาก็มีการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือ วรยุทธ์เก่งกล้าขึ้นอย่างรวดเร็ว แถมแสดงความสามารถออกมาจนเป็นที่ประจักษ์ โดยเริ่มจากการมีจุดยืนที่มั่นคงในวงศ์ตระกูลของตนเอง จากนั้นก็ช่วยวงศ์ตระกูลขยายอำนาจให้ยิ่งใหญ่ในพื้นที่ระแวกนั้น และตัดทอนอำนาจของฝ่ายศัตรูไว้ได้”
“จากนั้นเขาก็เดินทางไปที่เมืองหลวงของอาณาจักรถังตะวันออก เมื่อเริ่มมีชื่อเสียงแล้ว เขาก็กลายเป็นยอดเยาวชนในอันดับต้นๆ คนหนึ่งของอาณาจักร ทั้งยังได้รับสิทธิ์ให้เข้าร่วมการทดสอบเพื่อเป็นลูกศิษย์ของสำนักเขากว่างเฉิงด้วย”
“หลังจากผ่านการทดสอบ และเข้าเป็นลูกศิษย์ของสำนักเขากว่างเฉิงแล้ว เขามีพัฒนาการรวดเร็วยิ่งกว่าแม่นางหลินเสียอีก ฝีมือโดดเด่นมากทีเดียว”
“ในบรรดาลูกศิษย์ที่เข้าใหม่นั้น เขายึดครองอันดับหนึ่งไว้แต่เพียงผู้เดียว และได้เป็นที่หนึ่งในการประลองรอบเล็กของสำนักครั้งนี้ด้วย”
ชายร่างกำยำกล่าวถึงตรงนี้แล้วยิ้มอย่างซื่อตรง “แต่เทียบกับคุณชายแล้ว ก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของท่านอยู่ดีขอรับ”
เยี่ยนจ้าวเกอเบะปาก บ่นในใจว่า ‘ใช่ที่ไหนเล่า!’
ช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะมองอย่างไร เจ้าหมอนั่นก็ดูเหมือนพระเอกคนหนึ่ง
คราวนี้เกิดปัญหาแล้ว บนหนทางการถือกำเนิดและผงาดขึ้นของพระเอกเยี่ยคนนี้ ตัวเขาเองล่ะอยู่ในบทไหน
‘ข้าขอลองคิดดู ข้าเป็นอัจฉริยะของคนรุ่นใหม่ในสำนักเดียวกัน เป็นคุณชายผู้ดีที่มีความสามารถ เบื้องหลังมีบิดาที่คอยปกป้องคุ้มครองคนหนึ่ง ทั้งยังมีพื้นฐานครอบครัวที่ดี และที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เหมือน ‘ข้า’ จะครอบครองผู้หญิงของเขาไป’
‘…อืม รูปร่างหน้าตาของข้าถือว่าไม่เลวเลย แต่มองแล้วน่าหมั่นไส้สุดๆ ถ้าได้ตบหรือถีบดูสักครั้ง คิดว่าคงสะใจไม่น้อย…’
‘จากนั้นท่านพ่อก็จะออกตัวช่วยข้า กลายเป็นหินรองเท้าอีกก้อนให้เขาเหยียบ ช่วยให้หนทางการผงาดของเขาสำเร็จไปด้วยดี เหมือนกับปลาเน่าตัวหนึ่งเหม็นทั้งข้อง…’
เยี่ยนจ้าวเกอกลอกตาครั้งหนึ่ง
เนื้อเรื่องแบบนี้ ผิดกันเห็นๆ!
………..