ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 99 เจี่ยลัวที่เผลอกินผลไม้เข้าไป!
บทที่ 99 เจี่ยลัวที่เผลอกินผลไม้เข้าไป!
ผู้นำพันธมิตรลังเลอยู่พักหนึ่ง จนกระทั่งความเป็นปรปักษ์บนร่างกายของเขาค่อย ๆ หายไป แล้วขยับคอหันจ้องมองลู่เฉินผ่านเส้นผมที่ยุ่งเหยิง “เจ้าต้องการให้ข้าร่วมมืออย่างไร?”
”เอาเลือดของเจ้าหยดหนึ่ง”
“อันใดนะ?” ดวงตาของผู้นำพันธมิตรเบิกกว้าง
”ข้าต้องการเลือดของเจ้าหนึ่งหยด เพื่อตามหาหยดเลือดของเจ้าบนศิลาวิญญาณโลหิต” ลู่เฉินพูดให้ชัดเจนขึ้น
แต่ในสายตาของผู้นำพันธมิตร นี่เป็นเพียงเรื่องเพ้อฝัน “มันจะได้หรือ?”
“เคยได้ยินวิธีดูดเลือดหรือไม่?”
ผู้นำพันธมิตรพลันนึกอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ “เมื่อหนึ่งแสนปีที่แล้ว จอมมารลู่มีเคล็ดวิชาหนึ่ง เรียกว่าวิชาดูดเลือด ตราบใดที่เลือดสองหยดเข้าใกล้กัน เขาก็สามารถควบคุมเลือดอีกหยดได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ลู่เฉินอดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่นไม่ได้ “เหตุใดผู้คนจึงชอบเรียกเขาว่าจอมมารกันนัก?”
”เขาฆ่าคนจำนวนมาก”
”คนพวกนั้นล้วนสมควรถูกฆ่า!” เมื่อลู่เฉินนึกถึงคนเหล่านั้นที่ร่วมมือกับวังเหมันต์สงัด ร่างกายของเขาก็เย็นเยียบ ส่วนผู้นำพันธมิตรก็ลังเลและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นไม่พูดถึงเรื่องนี้เถอะ เรามาพูดถึงวิธีการดูดเลือดนี้กันดีกว่า”
”ข้าทำเป็น” เมื่อลู่เฉินเอ่ยเช่นนี้ ผู้นำพันธมิตรก็พูดด้วยความตกใจ “เจ้าทำเป็นหรือ?”
หลันเย่าอุทานด้วยความตกตะลึง “ผู้อาวุโส ท่านทำเป็นได้อย่างไร?”
“อืม เพราะข้าเคยเรียน”
ผู้นำพันธมิตรทำสีหน้าแปลก ๆ “เจ้าคงไม่ใช่ลูกหลานของจอมมารผู้นั้นสินะ?”
“สำคัญหรือ?”
ผู้นำพันธมิตรส่ายหัว “นั่นไม่สำคัญ!”
”ถ้าอย่างนั้น เจ้าอยากลองดูหรือไม่?” ลู่เฉินถามพร้อมกับถือป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์เอาไว้
ผู้นำพันธมิตรจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ได้ ข้าจะให้เลือดเจ้าสักหยดหนึ่ง”
พูดจบ ผู้นำพันธมิตรก็ได้บีบเลือดหนึ่งหยดต่อหน้าลู่เฉิน ส่วนชายหนุ่มก็ห่อเลือดหยดนั้นด้วยพลังปราณ ก่อนจะเดินไปรอบ ๆ แผ่นป้าย
ผู้นำพันธมิตรพึมพำกับตัวเอง “เขากำลังคุยโม้หรือเปล่า?”
ถึงอย่างไรเสียวิชาดูดเลือดก็มีข่าวลือว่าเป็นสิ่งที่จอมมารเท่านั้นจึงจะทำได้ ดังนั้นผู้นำพันธมิตรจึงรู้สึกว่าลู่เฉินไว้ใจไม่ค่อยได้
แต่ครู่ต่อมาผู้นำพันธมิตรก็ต้องตกตะลึง
เลือดอีกหยดหนึ่งพลันไหลออกมา และเป็นเลือดสีม่วง!!
”นี่มัน!” ลู่เฉินคืนเลือดสองหยดให้กับผู้นำพันธมิตร เปิดโอกาสให้เจ้าตัวได้มองดู ก่อนที่ผู้นำพันธมิตรจะแน่ใจว่านี่คือเลือดของเขาจริง ๆ ดังนั้นจึงรีบทำลายเลือดทั้งสองหยดนี้
ไม่เพียงแค่นั้น หลังทำลายแล้ว ผู้นำพันธมิตรพลันรู้สึกราวกับว่าแรงกดทับบนร่างกายของเขาหายไปในทันที
“ข้า ข้าเป็นอิสระแล้วจริง ๆ” ผู้นำพันธมิตรตื่นเต้น
ส่วนหลันเย่า เขาได้หันไปขอบคุณลู่เฉิน “ขอบพระคุณผู้อาวุโส”
ฝั่งผู้นำพันธมิตรกล่าวอย่างสุภาพว่า “ข้าน้อยหลี่หวัง โปรดยกโทษให้ข้าที่ทำให้ท่านขุ่นเคืองด้วยขอรับ!”
”บอกข้าที ว่าเกิดอะไรขึ้นกับป้ายสัญลักษณ์วิญญาณสวรรค์และตำหนักวิญญาณสวรรค์” ลู่เฉินอยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติม ดังนั้นเขาจึงจ้องไปที่อีกฝ่ายโดยตรง
ชายที่ชื่อหลี่หวังดูกระอักกระอ่วนกับคำถามนี้ เขากล่าวว่า “ที่จริงข้าก็ไม่ได้รู้เรื่องนี้มากนัก รู้แค่ว่าผู้นำพันธมิตรคนก่อนจะมาหาข้าทุกครั้งที่เขาเกิดเรื่อง และยังบอกว่าขอแค่ดำรงตำแหน่งผู้นำพันธมิตรคนใหม่ครบพันปี ก็จะสามารถเลือกผู้นำพันธมิตรคนใหม่ได้ และจะพาข้าไปที่ตำหนักวิญญาณสวรรค์”
”โอ้? ดังนั้นผู้นำพันธมิตรคนก่อนได้ทำงานมาครบพันปี จึงได้ไปตำหนักวิญญาณสวรรค์งั้นหรือ?”
“ใช่!” หลี่หวังตอบ
หลังจากนั้น ลู่เฉินก็ก้มมองไปที่แผ่นป้าย ก่อนจะพูดขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นตำหนักวิญญาณสวรรค์อยู่ที่ใด? มีใครอยู่บ้าง เรื่องพวกนี้เจ้ารู้หรือไม่?”
หลี่หวังสั่นศีรษะ
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนี้ ลู่เฉินก็ทำได้เพียงถามว่า “แล้วผลไม้วิเศษนี่ …มันคือสิ่งที่เจ้ากำลังมองหาหรือไม่ หรือว่า?”
“ผู้นำพันธมิตรคนก่อนมาหาข้าเมื่อวานนี้ และบอกให้คนของพันธมิตรพวกเราออกไปตามหามัน” หลี่หวังสารภาพตามจริง
ลู่เฉินลังเล “ถ้าเช่นนั้นตำหนักวิญญาณสวรรค์ต้องการผลไม้เหล่านี้หรือ?”
”ใช่”
ลู่เฉินเข้าใจทันที ปากก็กล่าววาจา “ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรแล้ว ข้าไปก่อนล่ะ”
จากนั้นหลี่หวังก็รีบน้อมส่งลู่เฉินจากไป
ส่วนหลันเย่าก็ไล่ตามลู่เฉินไป
แต่พอมาอยู่ด้านนอกถ้ำ คนของพันธมิตรแมลงสวรรค์ก็ได้หายไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะเลือดกลับคืนสู่ร่างกายพวกเขา เมื่อได้รับอิสระ พวกเขาจึงไม่คิดอยู่ต่ออีก
”ในที่สุดพันธมิตรแมลงสวรรค์ก็หายไปแล้ว” เมื่อเห็นฉากนี้ หลี่หวังก็ทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง
ลู่เฉินไม่สนใจเรื่องนี้ แต่หลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว หลี่หวังก็ตะโกนบอกเขาว่า “คันธนูนั่นเรียกว่าธนูเงามาร หากถูกธนูยิงเข้าโดยที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกวิถีมาร ไอมารจะส่งผลต่อบุคคลนั้น”
”เงามาร…” ลู่เฉินไม่คาดคิดว่าคันธนูนี้จะมีชื่อเช่นนั้น
”ที่สำคัญคือมีเพียงผู้ฝึกวิถีมารเท่านั้นจึงจะใช้ได้” เดิมทีหลี่หวังคิดว่าลู่เฉินจะคืนมันให้
แต่ผู้ใดจะรู้ว่าลู่เฉินกลับกล่าวว่า “สิ่งนี้ ให้ข้าใช้ก่อนแล้วกัน”
หลังพูดจบ ชายหนุ่มก็จากไปทันที
แน่นอนว่าหลี่หวังย่อมไม่กล้าชิงมันคืนมา เขาจึงได้แต่มองเงาแผ่นหลังของลู่เฉินและพึมพำกับตัวเองว่า “คนผู้นี้เกี่ยวข้องอันใดกับจอมมารกันแน่นะ?”
ทว่าพอคิดว่าตนเป็นอิสระแล้ว หลี่หวังก็รีบจากไปโดยไม่สนหรือคิดสิ่งใดให้วุ่นวายอีก
…
หลันเย่าไล่ตามลู่เฉินไป ปากก็เอ่ยประจบประแจงเขา “ผู้อาวุโส ท่านช่างร้ายกาจยิ่งนัก”
”เจ้าไม่จำเป็นต้องตามข้าแล้ว” จู่ ๆ ลู่เฉินก็หยุดและมองไปที่อีกฝ่าย
ทว่าหลันเย่ากลับพูดอย่างเขินอายว่า “ยังไงข้าก็ไม่มีที่ไปอยู่แล้ว”
”เช่นนั้นก็จงกลับตระกูลหลันเถิด ถ้าข้าว่าง ข้าจะไปที่หาเจ้าที่ตระกูลหลัน” ลู่เฉินพูดกับเขา ประโยคนั้นก็ทำให้หลันเย่าตะลึงไป “ตระกูลหลัน?”
“อันใด? ออกมาสิบปี ไม่อยากกลับไปแล้วหรือ??”
“ไม่ แค่รากวิญญาณของข้า…”
”วางใจ ไม่มีใครสัมผัสได้ถึงรากวิญญาณของเจ้าอีก” ลู่เฉินปลอบใจ
หลังจากที่หลันเย่าได้ยิน เขาก็พูดว่า “ก็ได้ เช่นนั้นข้าจะกลับไปเดี๋ยวนี้!”
หลังจากพูดจบ หลันเย่ากำลังจะจากไป แต่ลู่เฉินคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “รอเดี๋ยวก่อน”
”เกิดอะไรขึ้น?” หลันเย่าคิดว่าลู่เฉินจะรั้งตนไว้ เขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข
ทว่าผู้ใดจะรู้ว่าลู่เฉินกลับหยิบศิลาวิญญาณออกมา ก่อนจะบรรจุพลังปราณสายหนึ่งกับจิตสัมผัสลงไป และได้มอบให้ชายผมฟ้า “เมื่อเจ้าพบบรรพบุรุษหลันกู่ของเจ้า ให้มอบสิ่งนี้ให้เขา”
”นี่คือ?”
”มอบให้เขาก็พอ แต่จำไว้อย่าทำลายศิลาวิญญาณนี้เด็ดขาด” ลู่เฉินกำชับ
“วางใจเถอะ ข้าจะทำตามที่สั่ง” หลันเย่ารับศิลาวิญญาณและจากไปอย่างมีความสุข
ลู่เฉินขมวดคิ้ว “พันธมิตรชิงรากวิญญาณ…”
ยามนี้ศิลาวิญญาณในมือชายหนุ่มพลันมีปฏิกิริยา ลู่เฉินจึงยกชูขึ้น ก่อนจะพบว่ามันเป็นศิลาวิญญาณถ่ายทอดเสียงที่ตนสร้างไว้ก่อนหน้านี้ และในยามนี้มันก็กำลังเปล่งแสงวาบ
ชายหนุ่มพลันบรรจุจิตสัมผัสเข้าไป และได้ยินเจี่ยลัวพูดอย่างร้อนใจว่า “ท่านผู้อาวุโส ข้า… ข้า… ข้าใกล้จะควบคุมร่างกายของข้าไม่ได้แล้ว”
”เป็นอันใด?”
“ข้ากินผลไม้ประหลาดเข้าไป พลังของมันแข็งแกร่งมากจนรู้สึกเหมือนร่างกายกำลังจะระเบิด”
“ผลไม้อะไร?” ลู่เฉินขมวดคิ้ว
หลังจากที่เจี่ยลัวอธิบายไปสักพัก ลู่เฉินก็ตกใจ “ผลวิญญาณทมิฬ?”
“ข้าเองไม่รู้ว่ามันคืออะไร ข้ารู้แค่ว่ากลิ่นอายที่มันแผ่ออกมาน่าดึงดูดใจมาก ดังนั้นข้าจึง…” เจี่ยลัวพูดอย่างหดหู่
ลู่เฉินจึงกล่าวปลอบใจ “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใด?”
เจี่ยลัวเอ่ยตะกุกตะกัก “บนภูเขาสูงทางเหนือของเขตที่หนึ่ง”
ลู่เฉินจึงได้กำชับว่า “เจ้านั่งสมาธิเดี๋ยวนี้ กดพลังในร่างเอาไว้ ข้าจะรีบไป”
”อืม” หลังจากที่เจี่ยลัวส่งเสียงรับคำแล้ว ลู่เฉินก็หายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะรีบวิ่งไปทางเขตที่หนึ่งด้วยความเร็วเต็มกำลัง
….
ยามนี้ตู๋ซานชิงซึ่งยังคงตามหาลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ในเขตที่หนึ่งพลันกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “เจ้าคนนั้นมันระเหยไปแล้วหรือไร?”
และในจังหวะนั้นเอง จางเชียนก็พลันวิ่งเข้ามาก่อนจะพูดอย่างตื่นเต้นว่า “พบ…”
”พบอะไร?”
“ชายหนุ่มที่อยู่กับเจ้านั่น” จางเชียนอธิบาย
ตู๋ซานชิงได้สติทันที “ที่ใด?”
”บนเนินเขาด้านหน้า และยังถูกคนจำนวนมากล้อมเอาไว้ เหมือนกับจะให้เขาส่งผลไม้อันใดให้”
ตู๋ซานชิงงงงวย “หรือจะเป็นผลสีดำที่ถูกพูดถึงช่วงนี้?”
“ใช่”
”ไปดูกันเถอะ” ตู๋ซานชิงโยนกระบี่ออกมาเล่มหนึ่งด้วยความตื่นเต้น จากนั้นเหยียบกระบี่บินไป รวมทั้งพ่วงจางเชียนให้ติดตามมา ก่อนที่คนทั้งคู่จะทะยานลัดฟ้ามาถึงภูเขาสูงอันเป็นเป้าหมาย