ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 89 ชายชุดดำผู้ชิงรากวิญญาณปรากฏตัวอีกครั้ง!
บทที่ 89 ชายชุดดำผู้ชิงรากวิญญาณปรากฏตัวอีกครั้ง!
หลันเย่ากระแอมออกมาเบา ๆ ทันที และเอ่ยอย่างหน้าด้านว่า “เมื่อครู่ข้าแค่อยากจะล่อพวกมันออกมา และจัดการพวกมันในทีเดียวก็เท่านั้น!”
“ขี้โม้!” ฮวาหลิงมู่ไม่เชื่อ
หลันเย่าเริ่มกระวนกระวาย “สาวน้อย เชื่อหรือไม่ ข้าจะทำให้เจ้าเห็นว่าตอนนี้ข้ามีพลังมากเพียงใด!”
“ไม่ว่าเจ้าจะแข็งแกร่งเพียงใด เจ้าก็ยังเป็นแค่ขยะเมื่ออยู่ต่อหน้าพี่ใหญ่ประหลาดของข้า” ฮวาหลิงมู่สวนกลับอย่างไม่เกรงใจ
“หึ ข้าจะทุบพี่ใหญ่ของเจ้าให้แหลกไปเลย!” หลังจากเอ่ยจบ แสงสีฟ้าก็ฉายวาบไปบนร่างของหลันเย่าทันที จากนั้นปราณกระบี่สีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็บินออกมา
ไม่เพียงเท่านั้น ปราณกระบี่สีฟ้าเหล่านี้ยังแผ่ไอเย็นออกมา ซึ่งดูแล้วแปลกตายิ่งนัก
ทว่าลู่เฉินกลับจ้องเขม็งไปที่วิชากระบี่ตรงหน้า และเอ่ยอย่างครุ่นคิดว่า “วิชากระบี่เงา ดูเหมือนจะเป็นลูกหลานของตระกูลหลัน!”
ตระกูลหลัน ลูกหลานของตระกูลหลันอันใด?
ผู้คนที่อยู่ตรงนั้นไม่รู้ แต่ใบหน้าของหลันเย่าพลันเปลี่ยนสี และเขาก็พึมพำอยู่ในใจว่า ‘หรือว่าเขาจะมองฐานะของข้าออก?’
”มาเลย ให้ข้าดูเสียหน่อยว่าเจ้าฝึกถึงขั้นไหนแล้ว!” ลู่เฉินเอาสองมือไพล่หลังและรอให้อีกฝ่ายลงมือ
เมื่อหลันเย่าเห็นว่าลู่เฉินดูสงบอย่างมาก เขาก็แค่นเสียงหึแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะให้เจ้าได้รู้จักความร้ายกาจของข้า!”
หลังจากเอ่ยจบ ปราณกระบี่เหล่านั้นก็บินออกไป
เมื่อปราณกระบี่เหล่านี้โจมตีลู่เฉิน มันกลับถูกชายหนุ่มต้านเอาไว้ด้วย ‘กำแพงพันชั้น’ ยิ่งไปกว่านั้น ลู่เฉินยังสั่นศีรษะแสดงสีหน้ารังเกียจ ปากก็เอ่ยว่า “วิชากระบี่เงามีสิบขั้น ส่วนเจ้า ข้าเดาว่าคงเพิ่งเรียนรู้ขั้นแรกเท่านั้น”
“เจ้าเป็นใคร!” เมื่อเห็นว่าลู่เฉินที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับต้นสามารถต้านทานวิชากระบี่ของตนได้ หลันเย่าก็รู้สึกได้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีเบื้องลึกเบื้องหลังบางอย่างที่ผิดปกติ
คนของพันธมิตรแมลงสวรรค์ต่างก็มองหน้ากันอย่างตกตะลึง
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือตระกูลหลันมีคนอ่อนแออย่างเจ้าได้อย่างไร” คำพูดของลู่เฉินทำให้หลันเย่าเป็นกังวล “อย่าได้มาวิจารณ์ข้า!”
“ข้าจะให้เจ้าดูว่าอันใดที่เรียกว่าวิชากระบี่เงา!”
ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง ร่างของลู่เฉินก็พลันเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ จากนั้นปราณกระบี่ก็ปรากฏขึ้นชั่วขณะ
ปราณกระบี่เหล่านี้แผ่ไอเย็นออกมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อปราณกระบี่เหล่านี้สัมผัสรอบตัวหลันเย่าแล้วปักเข้าไปรอบตัวชายผมฟ้าผู้นี้ มันก็เปลี่ยนให้อีกฝ่ายกลายเป็นชั้นน้ำแข็งกึ่งโปร่งใสแล้วกักหลันเย่าเอาไว้ภายใน
หลันเย่าเอ่ยอย่างตะกุกตะกักว่า “ปราณกระบี่กลายเป็นน้ำแข็ง เจ้า อย่างน้อยเจ้าก็ต้องอยู่ขั้นที่ห้า!”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าอ่อนแอแค่ไหน” ลู่เฉินพูดขึ้นมาหลังจากเห็นสีหน้าของหลันเย่า
ประโยคนี้ทำให้หลันเย่ารู้สึกสับสน เขาจ้องมองที่ลู่เฉินด้วยสีหน้าเคลือบแคลง “เจ้าคือคนจากตระกูลหลันของข้างั้นหรือ?”
ลู่เฉินส่ายหัว และนั่นทำให้หลันเย่าเริ่มร้อนใจ “แล้วเจ้าเป็นใคร?”
”สำคัญหรือ?” หลังจากที่ลู่เฉินเอ่ยจบ กระบี่ปราณสีฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็บินออกมาโจมตีคนเหล่านั้น
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าลู่เฉินเป็นเพียงผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานที่อ่อนแอ
แต่เมื่อลู่เฉินลงมือ คาดไม่ถึงว่าจะน่ากลัวมากจนทำให้พวกเขามองไปที่หลันเย่าด้วยความตกใจ
“หัวหน้าหลัน เราควรทำอย่างไรดี?”
“หัวหน้าหลัน ท่าน… ท่านต้องรีบคิดหาวิธี!”
“หัวหน้าหลัน เจ้ารู้จักเขางั้นหรือ?”
หลันเย่าย่อมไม่รู้จักลู่เฉิน แต่เขารู้ว่าลู่เฉินทราบถึงวิชากระบี่ของตระกูลตน ดังนั้นอีกฝ่ายน่าจะรู้จักคนในตระกูลหลันเป็นแน่ ดังนั้นหลันเย่าจึงถามอย่างกระวนกระวายว่า “เจ้า… เจ้าเรียนวิชากระบี่ของตระกูลหลันมาจากผู้ใด?”
”วิชากระบี่นี้…” รูม่านตาของลู่เฉินหดเล็กลง
แท้จริงแล้วลู่เฉินเป็นผู้ถ่ายทอดวิชากระบี่ให้คนตระกูลหลันต่างหาก ก่อนที่ต่อมาตระกูลหลันจะได้ถ่ายทอดวิชากระบี่นี้ให้กับชนรุ่นหลังของพวกเขา ดังนั้นเมื่อลู่เฉินได้เห็นมันอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงรู้สึกคุ้นเคยเป็นอย่างดี
ทว่าลู่เฉินไม่ได้บอกออกไป ทำให้หลันเย่าพลันกังวลใจขึ้นมา “เจ้าเป็นพวกของเราหรือศัตรู?”
เมื่อเห็นหลันเย่ากลุ่มใจ ลู่เฉินก็ได้สติกลับมาแล้วเอ่ยว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่อยากตาย ก็ยอมรับความพ่ายแพ้เถิด!”
“ยอมรับความพ่ายแพ้?” ทุกคนไม่รู้ว่าลู่เฉินมีเบื้องหลังอันใด จึงพากันชะงักงันลังเล
”ถูกต้อง ผู้ที่ยอมรับความพ่ายแพ้ ข้าจะปล่อยไปก่อน”
และเพราะหลันเย่าอยากรู้ตัวตนของลู่เฉิน เขาจึงตะโกนใส่คนเหล่านั้นว่า “ยืนงงอันใดอยู่? รีบยอมรับความพ่ายแพ้ซะ!”
ว่าแล้วคนเหล่านี้ก็พากันยอมรับความพ่ายแพ้ไปทีละคน
ขณะเดียวกัน ‘ลูกแก้ว’ รอบจุดตันเถียนของลู่เฉินพลันมีลำแสงเพิ่มขึ้นอีกแปดชั้นทันที ทำให้เขามีลำแสงถึงเก้าชั้น!
”รากวิญญาณพวกนี้มีระดับดาวที่พบเห็นได้ทั่วไป จัดการได้ง่ายมาก” ลู่เฉินพึมพำ
เมื่อพวกเขาเอ่ยยอมแพ้ ผู้คนที่อยู่ข้าง ๆ พลันตกใจยิ่ง เพราะพวกเขาพบว่ากลิ่นอายของลู่เฉินเปลี่ยนไป โดยเฉพาะหลันเย่าที่พูดอย่างกระวนกระวายว่า “ปล่อยพวกเราไปได้แล้วสินะ?”
ลู่เฉินพลันสลายปราณกระบี่เย็นเยียบเหล่านั้น เปิดช่องให้คนของพันธมิตรแมลงสววรค์ที่ตกใจต่างพากันหนีไป
ส่วนลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ก็ได้เตรียมที่จะจากไป
แต่หลันเย่ากลับเรียกลู่เฉินไว้แล้วกล่าวว่า “เรื่องนั้น ผู้อาวุโส”
”อย่าเข้ามาใกล้!” คำพูดของลู่เฉินทำให้หลันเย่าถูกปิดประตูไม่รับแขก แต่เขายังคงยืนกรานว่า “ผู้อาวุโส ท่านเรียนรู้วิชากระบี่ของตระกูลหลันมาได้อย่างไร!”
“อันใด? เจ้าอยากรู้ขนาดนั้นเลยหรือ?” ลู่เฉินถามกลับ
หลันเย่ากล่าวอย่างเขินอาย “พูดตามตรง ในตระกูลหลันของเรา ผู้ที่สามารถบ่มเพาะได้ถึงขั้นนี้ไม่มีเหลือแล้ว!”
”ตระกูลหลันตกต่ำถึงเพียงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?” ลู่เฉินรู้สึกงงงวยเล็กน้อย
หลันเย่าถอนหายใจ “มีปัญหาทางร่างกาย”
”ปัญหาทางร่างกาย?” ลู่เฉินมองไปที่หลันเย่าอย่างสงสัย
ส่วนหลันเย่าก็อธิบายอย่างช่วยไม่ได้ว่า “เมื่อหลายปีก่อน ชีพจรโลหิตของพวกเรามีหยาดโลหิตประหลาดปรากฏขึ้น เพียงแค่ขั้นพลังถึงขั้นก่อกำเนิด มันก็จะกลืนกินพวกเราจนตาย!”
”หยาดโลหิตประหลาด?”
“ใช่!” หลันเย่ารู้สึกเศร้าขึ้นมาทันทีที่เขาพูดถึงเรื่องนี้
ในขณะนั้น ลู่เฉินพลันเดินไปใกล้ ส่วนหลันเย่ากลับถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตกใจ และยังจ้องมองลู่เฉินเขม็ง “ท่าน ท่านจะทำอันใด?”
”ขอข้าดูหน่อย”
วาจานี้ทำให้หลันเย่ารู้สึกกลัวเล็กน้อย เพราะกลัวว่าลู่เฉินจะไม่พอใจและจัดการตน
“อันใด? กลัวข้าหรือ?”
หลันเย่าคิดว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจผิด เขาจึงเอ่ยอย่างตะกุกตะกักทันที “ข้า ข้าไม่ได้โกหกเจ้าจริง ๆ!”
”ยื่นมือออกมา!” คำพูดของลู่เฉินทำให้หลันเย่ายื่นมือขวาออกไปโดยไม่รู้ตัว และลู่เฉินก็คว้าแขนของเขาเอาไว้พลางตรวจสอบในร่างกาย
ลู่เฉินพบหยาดโลหิตสีดำหยดเล็ก ๆ ในโลหิตของอีกฝ่าย
“หยาดโลหิตเหล่านั้น?”
”ใช่ ทันทีที่ถึงขั้นก่อกำเนิด หยาดโลหิตเหล่านี้จะมีมากขึ้น” หลันเย่าเอ่ยอย่างเคร่งเครียด ส่วนลู่เฉินก็ขมวดคิ้ว “ตระกูลหลันของเจ้าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
หลันเย่าไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ เขาเอ่ยด้วยสีหน้าโศกเศร้าว่า “ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไม ทว่าตั้งแต่ที่เป็นเช่นนี้ ตระกูลหลันของเราก็สรรหาวิธีต่าง ๆ มากมาย ส่วนข้าก็เลือกที่จะไปอยู่กับพันธมิตรแมลงสวรรค์เพื่อเรียนเคล็ดวิชาควบคุมแมลง จะได้ให้แมลงเหล่านี้เข้าไปในร่างของข้า แล้วกลืนกินหยาดโลหิตเหล่านั้นเสีย”
”มีประโยชน์หรือ?”
“นิดหน่อย”
ฉับพลันนั้น ลู่เฉินพลันปล่อยมือของอีกฝ่ายแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าต้องการกำจัดมันให้หมด เดาว่าเจ้าคงต้องทำลายรากวิญญาณเสียแล้ว!”
“อันใดนะ!” ดวงตาของหลันเย่าเบิกกว้าง
“เพราะแม้จะใช้แมลง แต่เมื่ออยู่ในขั้นก่อกำเนิด เจ้าก็ไม่สามารถฝึกฝนต่อไปได้อีก” คำพูดของลู่เฉินพูดทำให้หลันเย่ากังวลใจ “ทำลายรากวิญญาณ เช่นนั้นข้าก็จะฝึกฝนไม่ได้อีกต่อไป?”
”ข้าปลูกให้เจ้าใหม่ได้”
ดวงตาของหลันเย่าเบิกกว้างราวกับเหลือเชื่อ
ทว่าทันใดนั้น หลันเย่าก็กระอักเลือดสีดำออกมาเต็มปาก
จากนั้นเสียงหัวเราะชั่วร้ายก็ดังขึ้น “คิดไม่ถึงว่าจะคิดทำลายรากวิญญาณ เช่นนั้นไม่สู้เอารากวิญญาณมาให้ข้า… ย่อมดีกว่าไม่ใช่หรือ?!”
หลันเย่าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่รู้สึกได้ว่าร่างกายของเขาดูเหมือนจะแข็งทื่อไป และเขาก็สัมผัสได้ถึงบางอย่างที่ด้านหลังซึ่งสัมผัสไหล่ของเขาอยู่ ราวกับว่าสิ่งนั้นกำลังจะฉีกอะไรบางอย่างออกจากตัวเขาอย่างไรอย่างนั้น
เมื่อฮวาหลิงมู่เห็นฉากนั้น นางก็รู้สึกหวาดกลัว
ส่วนลู่เฉินก็เผยสีหน้าเคร่งขรึม
เพราะเวลานี้ที่ด้านหลังของหลันเย่า ชายชุดดำคนหนึ่งปรากฏกายขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้น มือข้างหนึ่งยังวางอยู่บนไหล่ของหลันเย่า
และในขณะเดียวกัน มือนั้นก็ได้เปล่งแสงสีขาวออกมา!
แสงสีขาวในยามนี้กำลังกำลังกลืนกินไหล่ของหลันเย่าอย่างช้า ๆ ทำให้รากวิญญาณสีฟ้าระดับห้าดาวลอยออกไปทีละน้อย
เมื่อเห็นวิธีการชิงกระดูกเช่นนี้ ลู่เฉินก็พลันนึกถึงยามที่ตนถูกชิงรากวิญญาณที่เขตต้องห้ามของแดนเซียนทันที รวมถึงฉากที่ถูกคนของสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ชิงรากวิญญาณไป เขาจึงเอ่ยถามขึ้นมาทันทีว่า “เจ้าเป็นใคร!”
“ผู้ชิงรากวิญญาณ!” ชายผู้นั้นปิดหน้าออกมาพร้อมกับหัวเราะ
คนผู้นี้ไม่ใช่คนชุดดำคนเดียวกันกับที่สำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์ แต่ลู่เฉินสามารถสรุปได้ว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน ดังนั้นชายหนุ่มจึงตั้งใจจะจับอีกฝ่ายไว้และสืบหาต้นกำเนิดของพวกเขา
ลู่เฉินจึงเตรียมลงมือ
ทว่าชายชุดดำกลับระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ฉับพลันนั้นก็เกิดฟองสีฟ้าขนาดใหญ่กักลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ไว้ที่นั่น
“อย่ากังวล รอให้จัดการรากวิญญาณของเขาเสร็จ ข้าก็จะจัดการเจ้าต่อ!” ชายในชุดดำหัวเราะออกมาอย่างชั่วร้าย