ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 86 เอาชนะไม่ได้ เช่นนั้นก็หากลุ่มผู้ฝึกกายเนื้อมาสักกลุ่ม!!
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 86 เอาชนะไม่ได้ เช่นนั้นก็หากลุ่มผู้ฝึกกายเนื้อมาสักกลุ่ม!!
บทที่ 86 เอาชนะไม่ได้ เช่นนั้นก็หากลุ่มผู้ฝึกกายเนื้อมาสักกลุ่ม!!
เมื่อเผชิญหน้ากับความสงสัยของผู้คน ลู่เฉินจึงหันไปเอ่ยกับเฮยเฟิงด้วยรอยยิ้ม “นี่มันสำคัญด้วยหรือ?”
อีกฝ่ายโมโหจนยกขวานขึ้นมา หวังจะฟันไม้เลื้อยเหล่านี้ให้ขาดสิ้น
แต่ลู่เฉินกลับยิ้มพลางมองไปยังฮวาหลิงมู่ “คอยดูว่าให้ดีว่าข้าจะใช้เคล็ดวิชาคุมจิตวิญญาณเช่นไร!”
ฮวาหลิงมู่จึงตั้งใจดูทันที
ขณะนั้นเอง บนร่างของลู่เฉินก็ปรากฏแสงสีเขียวสว่างสาดลงบนไม้เลื้อย ทำให้ไม้เลื้อยนี้จากพันหนึ่งแขน กลับกลายเป็นพันทั้งสองข้าง
เมื่อเฮยเฟิงจามขวานลงไป ก็ตัดเข้าไปได้ไม่ถึงหนึ่งในห้าของมัน
ทำให้ผู้คนที่เห็นต่างก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
ส่วนเฮยเฟิงแทบจะไม่เชื่อ เขาจามขวานซ้ำไปซ้ำมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ไม้เลื้อยของลู่เฉินกลับโผล่ขึ้นมาจากพื้นดินอีก เพียงไม่นาน ทั้งร่างของเฮยเฟิงก็ถูกไม้เลื้อยพันล้อมไว้ จนทำให้ไม่มีผู้ใดสามารถมองเห็นใบหน้าเขาได้
ผู้คนในโถงพิสุทธิ์ต่างก็ตกตะลึง พวกเขาพากันตะโกนเรียกเฮยเฟิงทันที “ท่านหัวหน้าเฮย!”
เมื่อเฮยเฟิงเห็นว่าตนไม่สามารถออกไปได้ จึงทำได้เพียงกล่าวเตือนลู่เฉิน “เจ้าหนู ทางที่ดีเจ้าจงปล่อยข้าไป มิเช่นนั้น…”
“อยากให้ข้าปล่อยเจ้า… ได้! แต่ว่าเจ้าต้องยอมแพ้!” ขณะนั้นลู่เฉินยังไม่คิดปล่อยไป
แต่ทุกคนกลับคิดว่าลู่เฉินนั้นบ้าเกินไปแล้ว โดยเฉพาะคนในเมืองที่ต่างก็มองดูกันอยู่ “ชายผู้นี้ ช่างกล้าหาญยิ่งนัก!”
“คาดว่าหลังจากเขาเข้าเมืองมาแล้ว ก็จะไม่อยากออกไปแล้ว!”
“ไร้สาระ ขืนออกไป ก็ต้องถูกคนของโถงพิสุทธิ์ไล่ฆ่าเป็นแน่!”
เมื่อเฮยเฟิงรู้สึกว่าลู่เฉินกำลังหัวเราะตนอยู่ เขาพลันเกิดโทสะขึ้นมามากขึ้น “เจ้าหนู ทางที่ดีเจ้าอย่าได้ท้าทายข้าเกินไป!”
ลู่เฉินเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่ยอมรับความพ่ายแพ้ จึงทำได้เพียงเพิ่มพลังเข้าไปอีก
เมื่อเฮยเฟิงรู้สึกว่าทนไม่ไหว สุดท้ายจึงได้แต่ขอร้องออกมา “ก็ได้ ข้ายอมแพ้!”
ครั้นอีกฝ่ายยอมรับความพ่ายแพ้ กระแสอากาศโปร่งแสงก็พลันล้อมรอบจุดตันเถียนของลู่เฉินไว้
ไม่เพียงเท่านั้น ลู่เฉินยังสัมผัสได้ว่าพลังปราณในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นมา และเปลี่ยนแปลงไปอย่างน่าประหลาด
จากยี่สิบเท่า เปลี่ยนเป็นยี่สิบเอ็ดเท่า!
ลู่เฉินถึงกับแปลกใจ “หรือว่าเมื่อบรรลุทั้งแปดสิบเอ็ดรากฐาน ก็จะสามารถไปถึงความหนาแน่นของพลังปราณได้หนึ่งร้อยเท่า?”
ขณะที่ลู่เฉินกำลังคิดสงสัยอยู่นั้น เฮยเฟิงก็ตะโกนขึ้นมา “ตอนนี้สามารถปล่อยข้าได้หรือยัง?!”
ลู่เฉินจึงเก็บไม้เลื้อยออกมา ส่วนเฮยเฟิงก็หวาดกลัวเสียจนตะโกนไปยังผู้ในคนโถงพิสุทธิ์ทันที “ถอนกำลัง!”
คนพวกนี้ต่างก็รีบแยกย้ายกันออกไปทันที
ฮวาหลิงมู่พูดด้วยความนับถือว่า “พี่ใหญ่ประหลาด เมื่อไหร่ข้าถึงจะเก่งกาจแบบท่าน?”
“ตั้งใจฝึกฝน จะเก่งได้แน่” ลู่เฉินพูดจบก็เดินนำฮวาหลิงมู่และคนอื่น ๆ เข้าเมืองไป แต่โจวกังที่อยู่อีกด้านหนึ่งกลับตกอยู่ในอาการตะลึงงันไปแล้ว
สำหรับจางเชียนที่อยู่ไม่ไกลนั้น พวกเขาเองก็รู้สึกตื่นตระหนกขึ้นมา “เขาจะจัดการพวกเราหรือไม่?”
“มากสุดพวกเขาก็สามารถจัดการกับผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานได้ แต่จะมาจัดการเรา? เจ้ารู้สึกว่าเป็นไปได้หรือ?” ตู๋ซานชิงยอมรับในความเก่งกาจของลู่เฉิน แต่สำหรับพวกเขาที่มีพลังขั้นหลอมแก่นแท้น่ะหรือ คงเป็นไปได้ยาก!
เมื่อจางเชียนได้ฟังก็รู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย “เช่นนั้น เรารีบเข้าเมืองกันเถอะ!”
“ไป!”
ตู๋ซานชิงและจางเชียนที่อยู่ด้านหลังจึงรีบตามไปทันที
หลังจากเข้าเมืองมาแล้ว เรื่องที่ลู่เฉินทำให้คนของโถงพิสุทธิ์พ่ายแพ้นั้นก็ค่อย ๆ แพร่กระจายออกไป ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต่างก็เคารพและศรัทธาในตัวลู่เฉิน แต่ก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่าลู่เฉินไม่รู้จักประมาณตน
ไม่นานนัก ทั้งสองฝ่ายก็เกิดความขัดแย้งกันขึ้นมา
ทว่าลู่เฉินไม่ได้สนใจคนเหล่านี้ แต่กลับมองหาโรงเตี๊ยมสักแห่งเพื่อเข้าพัก
“ต่อจากนี้ พวกเราต้องทำอะไรหรือ?” สีหน้าของโจวกังเต็มไปด้วยความสงสัย ซึ่งลู่เฉินก็เพียงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ดังที่ข้าได้มอบหมายไปก่อนหน้านี้ เจ้าเพียงแค่ทำตามนั้นก็พอ”
โจวกังพยักหน้า “เช่นนั้นย่อมได้ ข้าจะช่วยเจ้าสำรวจอย่างละเอียด”
จากนั้นโจวกังก็ออกจากโรงเตี๊ยมไป
เมื่อลู่เฉินเดินมาถึงภายในห้องพัก เขาจึงสั่งให้ฮวาหลิงมู่รออยู่อีกด้านหนึ่ง และเข้าไปสอนเคล็ดวิชาหนึ่งให้แก่เจี่ยลัวที่อยู่อีกด้านหนึ่ง
เมื่อเจี่ยลัวได้ฟัง สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นความสงสัย “มันเก่งกาจเช่นนั้นเลยหรือ?”
“วิชาคัดสรรศพ หรือที่เรียกว่า ‘วิชาศพสวรรค์’ สามารถรับกลิ่นไอซากศพได้อย่างรวดเร็วผ่านซากศพที่เสียชีวิตได้ไม่นาน” ลู่เฉินอธิบาย
เจี่ยลัวทั้งเชื่อและสงสัยในคราเดียวกัน ซึ่งหลังจากลู่เฉินได้สอนวิชานี้แล้ว เจี่ยลัวก็ออกไปยังบริเวณใกล้เคียงเพื่อหาร่างของซากศพและทำการทดลอง
ส่วนฮวาหลิงมู่ เมื่อบัดนี้เหลือเพียงนางคนเดียว เด็กสาวก็ได้เอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย “พี่ใหญ่ประหลาด พวกเขาไปกันหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ข้า”
“เช่นไร? เจ้าก็อยากออกไปหรือ?”
ฮวาหลิงมู่พยักหน้ารับ “ที่นี่น่าเบื่อเกินไป!”
“ยังจำแก่นหทัยพฤกษาควบแน่นที่ข้าสอนได้อยู่หรือไม่?”
“จำได้!”
“ที่แดนวิญญาณแห่งนี้ เพียงแค่หาสถานที่ที่เหมาะสมได้ เจ้าก็จะสามารถทำการฝึกฝนอย่างสงบได้”
“ที่ใด?” ฮวาหลิงมู่อยากรู้ขึ้นมาทันที
“ไม่ต้องรีบ ไปนำแผนที่มาก่อน”
“แผนที่?”
“ที่นี่ ในทุก ๆ ช่วงเวลาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น ดังนั้นการหาแผนที่ในช่วงไม่กี่ร้อยปีที่ผ่านมานั้นจึงสำคัญที่สุด” ครั้นลู่เฉินเอ่ยจบก็เดินนำฮวาหลิงมู่ออกไปตามถนน
เมื่อเวลาผ่านไปครู่หนึ่ง ลู่เฉินก็พบร้านขายของชำแห่งหนึ่ง
ที่นี่ต้องมีแผนที่ที่ลู่เฉินต้องการอย่างแน่นอน
เถ้าแก่ของที่นี่เป็นชายชราคนหนึ่ง เรือนผมสีขาว และมีตาเพียงข้างเดียว
เมื่อเถ้าแก่เห็นทั้งสองเดินเข้ามา เขาก็จ้องมองคนทั้งสองพลางยิ้มและเอ่ยถามว่า “ท่านทั้งสอง ต้องการอะไรหรือ?”
“แผนที่!”
“ไม่ทราบว่าพวกท่านต้องการเขตไหน?”
ฮวาหลิงมู่ไม่เข้าใจ “เขตไหน?”
“ที่นี่มีสิบเขต จากด้านนอกมายังด้านใน เขตที่หนึ่งถึงเขตที่สิบ และแต่ละเขตก็จะมีพื้นที่พักอาศัยอยู่หนึ่งแห่ง แต่ยิ่งเป็นสถานที่ที่ลึกเข้าไปก็จะยิ่งมีอันตรายมาก ขณะเดียวกันทุกแห่งก็ยังสามารถพบของดี ๆ ได้มากมาย” เถ้าแก่อธิบายด้วยรอยยิ้ม
ฮวาหลิงมู่ไม่ได้เข้าใจมากนัก ลู่เฉินจึงเป็นฝ่ายเอ่ยถาม “สิบเขตนี้ ช่วงนี้เขตใดที่มีพลังไอวิญญาณพฤกษาหนาแน่นที่สุด?”
“ไอวิญญาณพฤกษาหนาแน่นที่สุด?” เถ้าแก่แปลกใจที่ลู่เฉินถามเช่นนี้
“ใช่ เพียงแค่เจ้าบอกว่ามาเขตใดที่มีไอวิญญาณพฤกษาหนาแน่นมากที่สุดก็พอ”
เถ้าแก่ได้ยินแล้วก็เปิดลิ้นชักและตู้เพื่อค้นหา สุดท้ายก็พบกับสมุดหนังสัตว์สีเหลืองเล่มหนึ่ง “เขตที่หก แต่เขตที่หกนี้ ก็เป็นเขตที่ไม่สมบูรณ์ที่สุดเช่นกัน”
“ไม่สมบูรณ์ที่สุด?” ลู่เฉินสงสัย
เถ้าแก่อธิบายว่า “แผนที่เหล่านี้ของพวกข้า ทุก ๆ หนึ่งร้อยปีก็จะมีคนที่มีความเชี่ยวชาญคอยรวบรวมให้ใหม่มาตลอด แต่เขตที่หกนั้น นับตั้งแต่มีสิ่งแปลก ๆ เกิดขึ้นเมื่อช่วงหลายร้อยปีก่อน ก็ไม่มีผู้ใดกล้าผ่านไปใกล้ ๆ ดังนั้นจึงมีหลายสถานที่ที่ไม่สมบูรณ์”
ลู่เฉินได้ฟังแล้วก็แปลกใจ “สิ่งแปลกประหลาด?”
“ใช่ มักจะมีกลุ่มแสงสว่างสีเขียว ราวกับหิ่งห้อย แต่สิ่งนี้เวลาเจอผู้คนก็มักจะเจาะเข้าไปในร่างกาย จากนั้น คนคนนั้นก็จะเสียชีวิตไป”
“แล้วที่เจ้าบอกว่าเขตหกนั้นมีไอวิญญาณพฤกษาหนาแน่นที่สุด เพราะเหตุใด?”
“เพราะแมลงพวกนั้นจะกระจายไอวิญญาณพฤกษา และเมื่อรวมกับไอวิญญาณพฤกษาที่นั่นแล้ว มันจึงหนาแน่นกว่าเขตอื่น ดังนั้นเขตที่หกจึงเรียกว่า เขตวิญญาณพฤกษา!”
ลู่เฉินพยักหน้าแล้วถามต่อ “เช่นนั้นแผนที่นี่ราคาเท่าไหร่?”
“หนึ่งฉบับ ราคาสิบล้านศิลาวิญญาณระดับดับต่ำ” เถ้าแก่ยิ้ม
สิบล้านสำหรับลู่เฉินนั้นไม่ถือว่ามากมายนัก ดังนั้นชายหนุ่มจึงหยิบถุงสุญญะญาณออกมาอย่างง่ายดาย ทว่าระหว่างนั้นกลับมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากประตูทางเข้า “ไม่อนุญาตให้ขาย!”
ทันใดนั้น คนกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏตัวออกมา
และเจ้าของเสียงเมื่อครู่นั้นก็คือเฮยเฟิง
เถ้าแก่ผู้นี้ยิ้มรับ ปากก็ถามว่า “ท่านหัวหน้าเฮย ท่านมาได้อย่างไร?”
“อะไร? ข้ามาไม่ได้หรือ?” เฮยเฟิงถามอย่างไม่พอใจ แต่เถ้าแก่เพียงแค่ยิ้มรับแล้วถามกลับไปว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น แต่เพียงแค่แปลกใจที่ท่านไม่อยู่ปล้นนอกเมือง เหตุใดจึงมาที่นี่ได้?”
“ธุรกิจของโถงพิสุทธิ์ …เจ้าอย่าพูดจาไร้สาระ!” เฮยเฟิงกล่าวจบก็โยนป้ายสัญลักษณ์ออกมาให้เถ้าแก่ตรวจสอบอย่างละเอียด
เถ้าแก่มองมายังลู่เฉินและฮวาหลิงมู่ด้วยความสงสัย “พวกท่านทำให้โถงพิสุทธิ์ไม่พอใจงั้นหรือ?”
ลู่เฉินยังไม่ทันได้เอ่ยตอบ เฮยเฟิงก็เอ่ยแทรกขึ้นมา “นี่ไม่ใช่เรื่องของเจ้า อย่าถามให้มาก!”
“ท่านหัวหน้าเฮย ที่นี่คือร้านของข้า ข้าไม่สามารถถามได้หรือ?” เถ้าแก่ยิ้มอย่างมีเลศนัย
เฮยเฟิงพลันหยิบขวานขึ้นมาและชี้มันไปยังเถ้าแก่ “เชื่อหรือไม่ ข้าสามารถหาคนมาพังที่นี่ได้!”
เถ้าแก่ยิ้มออกมาอย่างเสียมิได้ “ได้ ๆ เช่นนั้นข้าไม่ถาม”
เฮยเฟิงมองมายังลู่เฉินและยิ้มอย่างเย็นชา “เจ้าหนู อย่าคิดว่าเข้าเมืองแล้วทุกอย่างจะเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”
“โอ้? บทเรียนเมื่อครู่ยังไม่เพียงพอหรือ?” ลู่เฉินยิ้ม แต่เฮยเฟิงผู้นี้กลับตวาดออกมาด้วยความโมโห “นอกเมืองเจ้าสามารถใช้วิชาได้ แต่ในเมืองเช่นนี้ เจ้าไม่สามารถใช้ได้!”
ครั้นกล่าวจบ ชายร่างโตกลุ่มหนึ่งก็เดินออกมาจากด้านหลังของเฮยเฟิง
ชายร่างโตเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกกายเนื้อ ถึงแม้ไม่มีพลังปราณ แต่ก็สามารถแสดงความแข็งแกร่งออกมาผ่านทางร่างกายได้!