ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 82 ประพฤติตัวดี พูดจาเหลวไหล
บทที่ 82 ประพฤติตัวดี พูดจาเหลวไหล
ลู่เฉินเอ่ยพลางยิ้มออกมา “ลำพังความสามารถของเจ้า ยังคิดจะกำจัดอักขระยันต์หุ่นเชิดของข้าหรือ?”
โจวกังรู้สึกตะหนกขึ้นมา สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“ข้าบอกแล้ว ติดตามข้ามา แต่อย่าอยู่ห่างข้าเกินไป” เมื่อลู่เฉินเห็นสีหน้าตกใจของเขา จึงพูดอะไรบางอย่างต่อแล้วก็เงียบไป ทำให้สีหน้าของโจวกังหดหู่ลง ภายในใจพึมพำราวกับหมดหวัง “สัตว์ประหลาด สัตว์ประหลาดชัด ๆ!”
คร่ำครวญอยู่พักหนึ่ง โจวกังก็ไม่มีทางเลือกใดจนต้องมายืนอยู่ด้านหน้าประตูของคฤหาสน์ในเช้าวันถัดไป
ทันใดนั้น จางเชียนและตู๋ซานชิงก็มาถึงบริเวณนั้นก่อน โดยทั้งสองต่างก็จ้องมองไปยังประตูของคฤหาสน์
“ดูสิ ปรมาจารย์โจวก็อยู่ที่นั่น” เมื่อตู๋ซานชิงเห็นโจวกังอยู่ที่นั่นจึงรู้สึกดีใจขึ้นมา
จางเชียนรู้สึกคลายความกังวลลงบ้าง “หมายความว่า เขาทำสำเร็จแล้วหรือ?”
“ผ่านมาหนึ่งคืนแล้ว น่าจะสำเร็จแล้วล่ะ” ตู๋ซานชิงพูดอย่างพึงพอใจ จากนั้นจึงเดินนำจางเชียนไปทันที
แต่ก่อนที่คนทั้งสองจะเดินไปถึงประตูใหญ่หน้าคฤหาสน์นั้น จู่ ๆ ประตูก็ถูกเปิดออก
ลู่เฉินถือกระบี่ต้นไม้วิญญาณที่แก่ชราเดินออกมาพร้อมกับเจี่ยลัวและฮวาหลิงมู่ที่อยู่ด้านหลัง
เมื่อโจวกังเห็นลู่เฉิน จึงเดินไปด้านหน้าทันทีและเผยยิ้มออกมา “ข้าให้”
จากนั้นจึงยื่นถุงสุญญะญาณในมือให้แก่ลู่เฉิน
ทางด้านจางเชียนและตู๋ซานชิง เมื่อพวกเขาเห็นดังนั้นพลันรู้สึกสับสน
ลู่เฉินยิ้มพลางมองไปยังโจวกัง “ตามมา”
โจวกังเดินตามไปอย่างอดไม่ได้ แต่จางเชียนและตู๋ซานชิงกลับทนดูต่อไปไม่ไหวจึงพุ่งตัวออกมา โดยเฉพาะตู๋ซานชิงที่ชี้ไปยังโจวกังและกล่าวด้วยน้ำเสียงโมโห “ปรมาจารย์โจว ท่าน… แท้จริงแล้วท่านร่วมมือกับเขา?”
จางเชียนอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นจึงจ้องมองด้วยสายตาเกรี้ยวกราด
ทว่าโจวกังเพียงยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “ขอพูดกับพวกเจ้าตามตรง คุณชายผู้นี้มีความสามารถเรื่องค่ายกลเป็นอย่างมาก และถือเป็นแบบอย่างของข้า ดังนั้นถ้าพวกเจ้าจะสร้างปัญหาให้เขาละก็ เห็นทีพวกเจ้าจำต้องถามข้าเสียก่อน!”
มากความสามารถ? แบบอย่าง?
ตู๋ซานชิงโมโหจนกัดฟันกรอด “เช่นนั้นเมื่อวานท่านก็หลอกลวงพวกข้า…”
“จริง ๆ แล้วสามเดือนมานี้ ข้าพักผ่อนอยู่ที่คฤหาสน์นี้มาตลอดจนกระทั่งเมื่อวาน เพื่อเป็นตัวแทนคุณชายลู่ในการสั่งสอนพวกเจ้า ทำให้พวกเจ้าทั้งสองรู้ว่าผลของการล่วงเกินเขาเป็นเช่นไร!” โจวกังประพฤติตัวดีขึ้นมา ทำให้ผู้คนรอบข้างรวมทั้งลู่เฉินและเจี่ยลัวรู้สึกว่าอีกฝ่ายช่างไร้ยางอายเสียจริง
ทั้งตู๋ซานชิงและจางเชียนต่างก็รู้สึกโมโหจนหน้าแดงหูแดงไปหมด
“ข้าแนะนำให้พวกเจ้ารีบปล่อยวางเสีย ไม่เช่นนั้นข้าก็จะไม่เกรงใจพวกเจ้าอีกต่อไป!” โจวกังเริ่มกล่าวเตือนทั้งสอง
“ท่าน ท่านมันคนขี้โกง ไอ้คนหลอกลวง!” ตู๋ซานชิงอดที่จะต่อว่าออกมาไม่ไหว จางเชียนก็เช่นกัน ทั้งต่อว่าและสาปแช่งออกมาทุกรูปแบบ
โจวกังพูดออกมาอย่างหน้าไม่อาย “ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอยู่ในเมืองไม่สามารถลงมือได้ละก็ ตอนนี้ ข้าคงเอาพวกเจ้าไปนอนอยู่ในค่ายกล และทิ้งให้นอนตายอยู่ในนั้นไปแล้ว!”
“ท่าน!” ตู๋ซานชิงโมโหจนแทบกระอักเลือด
ส่วนจางเชียน ตอนนี้เขากำลังรู้สึกคล้ายจะเป็นลมวิงเวียนศีรษะ
โจวกังนั้นยิ้มพลางมองไปยังลู่เฉินแล้วเอ่ยว่า “พวกเราไปกันเถอะ!”
ลู่เฉินพยักหน้าเล็กน้อยแล้วเดินออกไป ส่วนหนานเหยาที่ไม่มีผู้ใดมองเห็น นางยิ้มพลางเอ่ยออกมาว่า “ชายผู้นี้พอทำตัวประจบสอพลอขึ้นมา เขาก็ใจดำกว่าท่านเป็นกองเลย!”
“อย่าเอาข้าไปเปรียบเทียบกับเขา!” ลู่เฉินเหลือบมองก่อนจะไม่ใส่ใจอีก
จางเชียนที่อยู่อีกด้านหนึ่งโกรธจนตัวสั่น “พี่ตู๋ ท่าน ท่านดูสิ ท่านเชิญใครมา!”
ตู๋ซานชิงกัดฟันกรอด “ตามพวกเขาไป!”
“ตามพวกเขาไปทำไมกัน?” จางเชียนยังคงไม่เข้าใจ
“เจ้าดูให้ดี ผู้คนกลุ่มใหญ่นี้ดูเหมือนว่ากำลังจะออกจากเมือง!”
เมื่อจางเชียนเห็นแล้วก็แสดงสีหน้าสงสัยออกมา “ท่านจะบอกว่า เจ้าหนูผู้นี้คิดจะออกจากเมืองงั้นหรือ?”
“ใช่!”
จางเชียนพลันรู้สึกพึงพอใจขึ้นมา แต่เมื่อคิดถึงโจวกังแล้ว คิ้วทั้งสองกลับขมวดเข้าหากัน “แต่ว่าโจวกังกับเด็กนั่นไปด้วยกัน ถ้าหากพวกเราคิดลงมือ เกรงว่ามันจะไม่ง่ายขนาดนั้น”
“เราต้องหาโอกาส!” ตู๋ซานชิงไม่สนใจสิ่งอื่นมากนัก เมื่อพูดกับจางเชียนจบก็แอบตามพวกเขาไปอย่างเงียบ ๆ
จางเชียนเองก็ติดตามเขาไปด้วยเช่นกัน
ขณะนั้นภายในจวนเจ้าเมือง เมื่อว่านจินทราบข่าวว่าลู่เฉินได้พาคนออกไปนอกเมืองจึงรีบเรียกหนิวเถิงมาทันที “เจ้ารีบไปดูว่าปรมาจารย์ลู่กำลังคิดจะทำสิ่งใด”
“ขอรับ” หนิวเถิงขานรับและรีบหมุนตัวออกไป
เวลาล่วงเลยไปพักหนึ่ง หนิวเถิงก็ได้พบลู่เฉินบริเวณใกล้ ๆ ประตูเมืองในระหว่างพวกเขาที่กำลังจะออกไป เขาจึงรีบเข้าไปหาทันที “ปรมาจารย์ลู่ ท่าน…?”
“ข้าจะออกไปทำธุระเสียหน่อย สำหรับคฤหาสน์นั่น ช่วยดูแลแทนข้าชั่วคราว อย่าให้ใครเข้าไป ถ้าหากพวกเขาเข้าไป ก็คงจะไม่สามารถออกมาได้อีก” ลู่เฉินคิดให้คำเตือน
หนิวเถิงที่ได้ยินก็ขานรับด้วยความยินดี “ขอรับ ข้าจะย้ำเตือนกับทหารยามแน่นอน”
ลู่เฉินส่งเสียงอืมตอบรับ จากนั้นจึงกล่าวลา
ส่วนหนิวเถิง เขารีบกลับไปยังจวนเจ้าเมืองเพื่อไปแจ้งให้ว่านจินทราบเรื่องทันที
เมื่อว่านจินได้ยินเรื่องดังกล่าว เจ้าตัวก็รู้สึกแปลกใจ “เขาจะกลับมาเมื่อไหร่?”
“ไม่ทราบขอรับ บอกเพียงแค่ว่าให้ข้าน้อยห้ามให้ผู้ใดเข้าไป เพราะถ้าหากเข้าไปก็จะไม่สามารถออกมาได้” หนิวเถิงอธิบาย
“เพราะเหตุใด?” ว่านจินสงสัย
หนิวเถิงเกาหัวด้วยความสงสัย “ข้าน้อยได้ยินมาว่า คฤหาสน์นั่นจัดวางค่ายกลจำนวนไม่น้อย เช่นนั้น…”
ว่านจินแปลกใจขึ้นมา “ค่ายกล ใครจัดกัน?”
“เขาจัดเอง”
“เขา?” ว่านจินไม่เชื่อ หนิวเถิงจึงอธิบายต่อ “ผู้น้อยได้ยินมาว่า แม้แต่โจวกังยังบอกว่าเขาเป็นผู้มีความสามารถด้านค่ายกล!”
“โจวกัง? โจวกังไหน?”
“คนของสำนักค่ายกลสวรรค์ท่านนั้น”
ว่านจินประหลาดใจขึ้นมาทันที “ปรมาจารย์ค่ายกลผู้นั้น? แสดงว่าเขาไม่ธรรมดาเลย! แม้แต่โจวกังยังนับถือ!”
“เจ้าเมือง เช่นนั้นข้าน้อย?” หนิวเถิงอยากจะขอตัว แต่ว่านจินกลับเอ่ยเตือน “ไปเถอะ ไปล้อมรอบบริเวณใกล้ ๆ คฤหาสน์นั่นไว้ อย่าให้ผู้ใดเข้าใกล้จนกระทั่งเขาจะกลับมา”
“ขอรับ!” หนิวเถิงขานรับก่อนจะออกไป
ว่านจินได้แต่พึมพำกับตัวเอง “ชายผู้นี้ช่างแปลกเสียจริง”
….
ลู่เฉินและคนอื่น ๆ ต่างก็เดินทางมาไกลแล้ว แต่ขณะที่โจวกังใช้จิตสัมผัสขั้นก่อกำเนิดกวาดสายตามองไปรอบ ๆ เขาก็ได้เอ่ยเตือนลู่เฉินขึ้นมา “สองคนนั้นกำลังตามมาด้านหลัง”
“ข้ารู้” ลู่เฉินยิ้ม
“เช่นนั้นเจ้าไม่กลัวพวกเขาแอบโจมตีเจ้าหรือ?” โจวกังทราบดีว่าหากผู้ฝึกตนขั้นก่อกำเนิดสองคนคิดจะกำจัดผู้ฝึกตนขั้นสร้างรากฐานคนหนึ่ง มันก็คงง่ายราวกับการคิดจะบี้มดสักตัว
“มีเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ?”
“ตัวต่อตัว ข้าสามารถต้านพวกเขาได้ แต่ถ้าหากพวกเขาโจมตีอย่างกะทันหัน มากสุดข้าก็แค่ปกป้องตัวเองได้ ส่วนท่าน…” โจวกังมีสีหน้าสลดลงไป
ลู่เฉินยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ “เจ้ามีธงค่ายกลไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงไม่หยิบออกมา?”
“ธงค่ายกล…” สิ่งนี้ถือเป็นของรักของโจวกังเลยก็ว่าได้ และครั้งนั้นเป็นเพราะว่าใช้ในสำนักพฤกษาสวรรค์ ทำให้ธงเขาได้รับความเสียหายเล็กน้อย และแม้มันจะฟื้นขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว ทว่าเขาก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมา
“ข้าเอาออกมาก็ได้”
โจวกังไม่อาจขัดขืนคำพูดของลู่เฉินได้ ทำได้เพียงหยิบธงด้านสีดำขึ้นมา หลังจากใส่พลังปราณเข้าไปแล้ว บริเวณรอบ ๆ ห่างออกไปประมาณสิบก้าวก็ปรากฏเป็นกำแพงโปร่งใสขึ้นมา
กำแพงนี้นอกจากโจวกังและลู่เฉินแล้ว ผู้อื่นไม่สามารถมองเห็นได้
แต่ตู๋ซานชิงที่อยู่ไกล ๆ นั้น เมื่อเห็นโจวกังหยิบธงสีดำขึ้นมา ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความสงสัย “ชายผู้นั้นได้หยิบธงค่ายกลขึ้นมาแล้ว”
“ธงค่ายกล? เอาไว้ใช้ทำอันใด?” จางเชียนที่กำลังโมโหกำลังคันไม้คันมืออยากฟาดหน้าใครสักคน
“มันสามารถตั้งค่ายกลชั่วคราวขึ้น ทำให้คนไม่สามารถเข้าใกล้ได้” ตู๋ซานชิงอธิบาย
“ไอ้คนพวกนี้มัน… บัดซบ!!” จางเชียนพูดด้วยความโกรธ
ทว่าตู๋ซานชิงกลับยิ้มเย็นชา “แต่ข้ามีวิธีทำลายมัน!”
จางเชียนที่ได้ยินจึงกล่าวออกมาด้วยความดีใจ “พูดมา!”