ตำนานจอมราชันย์อหังการ - บทที่ 80 พอถึงขั้นสร้างรากฐานแล้ว ถึงได้รู้ว่าขั้นต่อไปนั้นยากแค่ไหน!
- Home
- ตำนานจอมราชันย์อหังการ
- บทที่ 80 พอถึงขั้นสร้างรากฐานแล้ว ถึงได้รู้ว่าขั้นต่อไปนั้นยากแค่ไหน!
บทที่ 80 พอถึงขั้นสร้างรากฐานแล้ว ถึงได้รู้ว่าขั้นต่อไปนั้นยากแค่ไหน!
ตู๋ซานชิงไฉนเลยจะรู้ได้ ดังนั้นเขาจึงได้แต่เอ่ยอย่างหดหู่ว่า “รอ!”
”รอ?”
”ข้าเดาว่าต้องใช้เวลากว่าเขาจะทำลายค่ายกลได้!” ตู๋ซานชิงทำได้แค่เพียงปลอบใจตัวเอง
ส่วนจางเชียนเองก็ทำได้เพียงรอต่อไปอย่างเงียบ ๆ
ในขณะที่ลู่เฉินยังคงเปิดประตูทำการค้าเพื่อสมุนไพรวิญญาณ เม็ดยา และอื่น ๆ
…
เสี่ยเจี้ยนรีบกลับไปที่สำนักมารราตรีในชั่วข้ามคืน และได้พาเถียนอวิ๋นเมิ่งที่บาดเจ็บสาหัสมาที่ตำหนักมารราตรี
ตำหนักแห่งนี้ รอบด้านล้วนมีประตูหินมากมาย
ในขณะเดียวกันก็มี ‘คน’ อยู่เบื้องหลังประตูหินทุกบาน
เสี่ยเจี้ยนกล่าวกับประตูหินเหล่านั้นด้วยความเคารพว่า “เหล่าผู้อาวุโส”
“สถานการณ์เป็นอย่างไร?” เสียงนี้ดังออกมาจากประตูหินบานหนึ่ง
เสี่ยเจี้ยนและเถียนอวิ๋นเมิ่งจึงเริ่มอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา
บรรดาผู้ที่อยู่หลังประตูหินจึงพากันสงสัยว่าหมอเทวดาคนนั้นคือใคร คาดไม่ถึงว่าจะเชื้อเชิญมาได้ยากเช่นนี้
ทันใดนั้น เสียงหนึ่งก็ดังก้องขึ้นมาภายในห้องโถงของตำหนัก “ไร้ความสามารถ!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเข้มงวดของสตรีผู้นี้ เสี่ยเจี้ยนก็เอ่ยด้วยความตื่นตระหนกว่า “ท่านเจ้าสำนัก ค่าย… ค่ายกลนั่นน่ากลัวจริง ๆ ขอรับ!”
ส่วนเถียนอวิ๋นเมิ่งยิ่งรู้สึกเสียใจมากกว่าเดิม “ท่านเจ้าสำนัก ท่านดูสิ สภาพข้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว!”
“ข้าให้เจ้าไปเชิญคนมา แต่เจ้าก็ยังกล้าดีไปต่อสู้กับเขา ผลคือถูกสั่งสอนมา ยามนี้ยังกล้ากลับมาบ่นอีกหรือ?” เจ้าสำนักกล่าวอย่างโกรธเคือง
เถียนอวิ๋นเมิ่งคิดจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ผู้อาวุโสในความมืดกลับขัดจังหวะขึ้น “ท่านเจ้าสำนัก พวกเขาได้รับโทษตามสมควรแล้ว ข้าคิดว่าเราควรเลิกเชิญหมอเทวดาผู้นั้น”
“อันใด ผู้อาวุโสรอง ท่านมีปัญหากับการเชิญหมอเทวดาของข้าหรือ?” สตรีในความมืดถามกลับ
ผู้ที่ถูกเรียกว่าอาวุโสรองจึงกล่าวว่า “ท่านเจ้าสำนัก ข้าไม่กล้าสงสัยท่านหรอกขอรับ เพียงแต่ว่าพวกเขาล้วนเป็นศิษย์สายตรงของข้า หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเขาก็คงจะพิการ ดังนั้นข้าจึงวางแผนที่จะรักษาพวกเขาก่อน ส่วนเรื่องหมอเทวดานั้นค่อยว่ากันทีหลังก็แล้วกันขอรับ!”
เจ้าสำนักลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สุดท้ายก็กล่าวออกมาว่า “เลิกประชุม!”
จากนั้นเสียงของเจ้าสำนักก็หายไป ส่วนผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ออกไปทีละคน ก่อนที่ประตูหินบานหนึ่งจะถูกเปิดออก เผยให้เห็นชายชราที่มีกระทั่วใบหน้าซึ่งกำลังเดินออกมา
คนผู้นี้คืออาจารย์ของพวกเขาทั้งสอง นามว่า ‘ม่อหมาจื่อ’ หรือที่รู้จักในชื่อมารเฒ่าม่อ
หลังจากที่มารเฒ่าม่อมองไปทีเถียนอวิ๋นเมิ่ง เขาก็ออกคำสั่งกับเสี่ยเจี้ยนว่า “พานางไปที่ถ้ำพำนักของข้า แล้วข้าจะรักษานาง”
”ขอรับ ท่านอาจารย์!” เสี่ยเจี้ยนพาเถียนอวิ๋นเมิ่งไปที่ถ้ำพำนักแห่งหนึ่งในสำนักมารราตรีทันที
หลังจากที่มารเฒ่าม่อเข้าไปในถ้ำพำนักแล้ว เขาก็ให้เสี่ยเจี้ยนคอยคุ้มกันอยู่ข้างนอก
ในยามนี้ เถียนอวิ๋นเมิ่งนอนอยู่ที่นั่นด้วยความรู้สึกน้อยใจ “ท่านอาจารย์ ท่าน… ท่านต้องรักษาข้าให้ได้นะเจ้าคะ!”
มารเฒ่าม่อจ้องมองเถียนอวิ๋นเมิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ครั้งที่แล้ว ข้าให้เจ้าแอบเข้าไปในสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เพื่อเอาสิ่งที่ข้าต้องการมา แต่เจ้าก็ล้มเหลว ตอนนี้ข้าขอให้เจ้าไปเอาศาสตราวุธวิถีมาร แต่ก็ไม่สำเร็จ เจ้าว่าเจ้ามีประโยชน์อันใด?”
“ท่านอาจารย์ ล้วนเป็นเพราะเจ้านั่นต่างหาก!”
”เจ้านั่น?” มารเฒ่าม่อจ้องมองเถียนอวิ๋นเมิ่งอย่างเย็นชา
เถียนอวิ๋นเมิ่งจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังอย่างกระจ่าง
“เช่นนั้นแล้วเจ้านั่นก็จัดการเจ้าถึงสองครั้งติดต่อกันใช่หรือไม่?”
”ถูกต้อง เขาทำให้ข้าไม่สามารถเข้าไปสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์และสำนักพฤกษาสวรรค์ได้!” เมื่อเถียนอวิ๋นเมิ่งคิดถึงเรื่องนี้ หัวใจของนางก็เต็มไปด้วยความโกรธแค้น
”ถ้าข้าทำให้เจ้าฟื้นฟูสมบูรณ์พร้อมอีกครั้ง เจ้ามีวิธีที่จะทำภารกิจของข้าต่อไปหรือไม่?” ชายชราจ้องเขม็งและเอ่ยอย่างมีเลศนัย
“ท่านอาจารย์ ขอแค่หายดี จะให้ข้าทำอะไรก็ได้ทั้งนั้น”
“ยังจำเรื่องที่อาจารย์บอกคราวที่แล้วได้หรือไม่?”
”เรื่องอะไร?”
”การเปลี่ยนร่าง!”
เถียนอวิ๋นเมิ่งได้ยินแล้วก็พลันตื่นตระหนก “นั่นจะทำให้ร่างกายของข้า… ไม่ใช่ของข้าอีกต่อไป”
“เจ้าคิดว่าร่างกายของเจ้ายังมีค่าอยู่หรือ?” มารเฒ่าม่อถามกลับ
เถียนอวิ๋นเมิ่งจึงเอ่ยอย่างหมดหนทาง “ท่านอาจารย์ แล้วท่านจะเอาร่างกายใดให้แก่ข้า”
“ข้าจะหาผู้ที่งามสง่าและยังต้องดูเที่ยงธรรม”
”ผู้ที่งามสง่า? ผู้ที่เที่ยงธรรม?” หัวใจของเถียนอวิ๋นเมิ่งเต้นระรัวทันที
”ถูกต้อง ด้วยร่างกายนั้น เจ้าจะสามารถแฝงกายเข้าไปในสำนักฟ้าศักดิ์สิทธิ์เพื่อหาสิ่งเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย ส่วนศาสตราวุธวิถีมาร รอให้จับเจ้าเด็กนั่นได้แล้วค่อยหาก็ไม่สาย!” มารเฒ่าม่อหัวเราะอย่างชั่วร้าย
เถียนอวิ๋นเมิ่งตกลงในทันที “ท่านอาจารย์ ข้าเต็มใจ!”
”เอาล่ะ อาจารย์เลี้ยงดูเจ้าไม่เสียเปล่า…” ชายชราหัวเราะอย่างพึงพอใจ จากนั้นก็โบกมือส่งกลิ่นหอมโชยเข้าสู่ร่างกายของเถียนอวิ๋นเมิ่ง เป็นผลให้นางหมดสติไปในทันที
….
ลู่เฉินที่อยู่ในเมืองจวนสวรรค์ยังคงจดจ่ออยู่กับการหาเงิน
และชื่อเสียงก็ยิ่งเติบโตมากขึ้นเรื่อย ๆ
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
จนกระทั่งคืนหนึ่งในสามเดือนต่อมา
ลู่เฉินยืนอยู่บนยอดเขา ทันใดนั้นก็มีเสียงปริแตกออกจากร่างกายของเขา
หนานเหยาเห็นเช่นนั้นก็พลันตระหนกตกใจ “ท่านเป็นอะไรไป?!”
ครั้นลู่เฉินได้สติกลับมาก็ฉีกยิ้ม “ข้าทะลวงขั้นแล้ว!”
”ทะลวงขั้น?” หนานเหยาไล่สายตาพิจารณาลู่เฉินอย่างถี่ถ้วน สุดท้ายจึงได้พบว่าลู่เฉินอยู่ในขั้นสร้างรากฐานแล้ว
เพียงแต่นางมองไม่ออกว่าลู่เฉินอยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับใด ดังนั้นนางจึงรู้สึกงุนงงยิ่งนัก “หากคนอื่นอยู่ในขั้นสร้างรากฐาน ข้ามองดูก็รู้ว่าอยู่ในระดับต้น หรือกลาง แต่เจ้า…”
ลู่เฉินไม่ตอบอะไร เขาเพียงนั่งขัดสมาธิและศึกษาร่างกายของตนอย่างละเอียด
ยามนี้พลังทั้งเก้ากลุ่มได้ถูกหลอมรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นลูกกลม ๆ แล้ว และลูกกลมนี้ก็ดูราวกับไข่มุกอันใสแจ๋ว
ในเวลาเดียวกัน ภายในไข่มุกก็สามารถมองเห็นพลังต่าง ๆ ทั้งเก้าชนิดที่กำลังแหวกว่ายเฉกเช่น ‘มัจฉา’
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่ลู่เฉินแทรกจิตสัมผัสเข้าไป เขาก็ได้รับบทถัดไปของเคล็ดนพชาติหวนคืนในขั้นสร้างรากฐาน
บทของขั้นสร้างรากฐาน ‘แปดสิบเอ็ดชั้นรากฐาน’
“แปดสิบเอ็ดชั้นรากฐาน? หมายความว่าอย่างไร?” ลู่เฉินรู้สึกสับสนในตอนแรก แต่หลังจากอ่านเนื้อหาแล้วเขาก็งุนงงยิ่งกว่าเดิม
คนอื่น ๆ มีเพียงระดับต้น กลาง ปลาย สูงสุด และสมบูรณ์พร้อม ห้าระดับ
แต่ตอนนี้ตัวเขาต้องตีฝ่าแปดสิบเอ็ดชั้นรากฐานนี้ถึงจะขึ้นไปที่ขั้นหลอมแก่นแท้ได้
ไม่เพียงเท่านั้น ขั้นสร้างรากฐานนี้ไม่เพียงแค่ดูดซับไอพลังในวิถีต่าง ๆ แต่ยังต้องเอาชนะผู้ที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานถึงแปดสิบเอ็ดคน!
ทว่าผู้ที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานเหล่านั้นไม่ไช่ว่าจะเลือกมาส่งเดชได้ เพราะพวกเขาต้องมีรากวิญญาณตั้งแต่หนึ่งดาวไปจนถึงรากวิญญาณเก้าดาว!
ยิ่งไปกว่านั้น รากวิญญาณทุกดาวจะต้องอยู่ในตำแหน่งที่สอดคล้องกันทั้งเก้าตำแหน่ง
ตัวอย่างเช่น ทอง ไม้ น้ำ ไฟ ดิน ลม ฟ้าร้อง แสง และความมืด
รากวิญญาณห้าชนิดแรกเป็นชนิดที่พบเห็นได้ง่าย ลู่เฉินสามารถหามันได้อย่างง่ายดาย แต่รากวิญญาณลม สายฟ้า แสง และความมืดนั้นเป็นรากวิญญาณที่หายาก และยังต้องครอบคลุมตั้งแต่หนึ่งดาวถึงเก้าดาวอีกด้วย
สิ่งนี้ยากยิ่งกว่าการหามนุษย์ทั่วไปตั้งแต่ขั้นสร้างรากฐานไปจนถึงขั้นก่อกำเนิดเสียอีก
ทว่าตอนนี้ลู่เฉินไม่มีทางเลือก และหลังจากทะลวงขั้นสร้างรากฐานแล้ว เขาก็พบว่าความเข้มข้นของพลังปราณในร่างกายมีมากกว่าผู้ที่อยู่ในขั้นสร้างรากฐานระดับต้นถึงยี่สิบเท่า
ด้วยเหตุนี้ ลู่เฉินจึงสรุปได้ว่าหลังจากผ่านทั้งแปดสิบเอ็ดชั้นรากฐาน ตนเองคงจะเปลี่ยนไปมากอย่างแน่นอน
ดังนั้นชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าลึกและเอ่ยกับตัวเองว่า “ดูเหมือนว่าต่อไป ข้าต้องเล่นกับพวกขั้นสร้างรากฐานเสียแล้ว!”
แต่ถ้าอยากหารากวิญญาณให้ครอบคลุม มีเพียงไม่กี่แห่งเท่านั้นที่สามารถไปได้
หนึ่งคือการไปหาเรื่องตามสำนักต่าง ๆ
สองคือการไปที่ลานประลอง
และสามคือการออกผจญภัยไปรอบ ๆ
แต่อย่างที่หนึ่งและสามนั้นใช้เวลานานเกินไป ซึ่งหมายความว่าหากเจ้าหาเรื่องในที่หนึ่งไว้ เจ้าก็ต้องเปลี่ยนไปอีกที่หนึ่ง
ด้วยเหตุนี้ลู่เฉินจึงมุ่งเน้นไปที่ลานประลองซึ่งเรียกอีกชื่อว่าลานฝึก
หลังจากลู่เฉินจัดการอารมณ์ความรู้สึกของตนเองได้แล้ว เขาก็กล่าวกับเจี่ยลัวว่า “เตรียมตัวให้พร้อม เราจะออกเดินทางพรุ่งนี้!”
”ออกเดินทาง?” เจี่ยลัวสงสัยว่าลู่เฉินกำลังจะไปที่ใด
ทว่าลู่เฉินไม่ได้อธิบายอะไรมากนัก เขาลงจากภูเขาและตามหาฮวาหลิงมู่ที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาคุมจิตวิญญาณขั้นที่สอง
”เป็นอย่างไรบ้าง ชำนาญหรือยัง?” ลู่เฉินถามฮวาหลิงมู่ด้วยรอยยิ้ม
”จะว่าชำนาญมันก็ชำนาญ แต่สิ่งที่เจ้าสัญญาว่าจะให้ข้า เจ้ายังไม่ได้ให้เลย!” หลังจากอยู่กันมาหลายเดือน ฮวาหลิงมู่ก็มองว่าลู่เฉินเป็นพี่ใหญ่แท้ ๆ ของนาง ดังนั้นนางจึงทำท่าออดอ้อน
”พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปหา”
“พรุ่งนี้? หรือว่าเราจะไปจากที่นี่งั้นหรือ?” เมื่อฮวาหลิงมู่ได้ยินว่ากำลังจะจากไป ร่างกายของนางก็ราวกับว่ามีแรงกระตุ้นในทันที